LOGIN
เช้าวันอันสดใสที่ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็พากันโห่ร้องยินดี เมื่อม้าเร็ววิ่งเข้ามารายงานว่าขบวนของกองทัพของแม่ทัพเฉินมู่หยางนั้นได้เดินทางกลับมายังเมืองหลวงแล้ว อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเดินทางเข้าสู่ประตูเมืองหลวง ทั่วทั้งเมืองล้วนตื่นเต้นยินดี ทางวังหลวงฮ่องเต้มีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาทันที หลังจากที่พวกเขาเข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว
ภายในวังหลวงนั้นมีการจัดเตรียมงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารที่กลับมาจากการสู้ศึกที่ชายแดนที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่าห้าปีแล้ว และตอนนี้ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด แม่ทัพเฉินมู่หยางแม่ทัพใหญ่ของกองทัพนี้ได้เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเป็นทัพแรก ส่วนกองทัพในบังคับบัญชาของแม่ทัพอื่น ๆ ก็กำลังทยอยกันเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง
ประชาชนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างพากันตื่นเต้นดีใจ และพากันออกมารอต้อนรับขบวนทหารตั้งแต่เช้าตรู่ ผู้คนพากันออกมายืนรออยู่สองข้างทางตั้งแต่ประตูใหญ่ด้านหน้าเมืองจนกระทั่งสุดถนนที่มุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวง
ส่วนที่จวนสกุลเฉินที่เป็นจวนของแม่ทัพเฉินมู่หยางก็ล้วนแต่ตื่นเต้นยินดีนัก ที่ได้รับข่าวดีเช่นนี้ คนทั้งจวนพากันดีใจ โดยเฉพาะท่านย่าและแม่นมหวังพากันดีใจจนน้ำตาไหล เพราะทั้งเป็นห่วงและคิดถึงหลานชายเพียงคนเดียวที่ตอนนี้ชนะศึกกลับมาแล้ว
พวกเขาไม่ได้พบหน้ากันมานานถึงห้าหนาวเข้าไปแล้ว มีเพียงจดหมายที่แม่ทัพเฉินเขียนมาส่งข่าวคราวเป็นระยะ หากไม่ยุ่งกับการสู้ศึกจนเกินไป ส่วนทางครอบครัวส่งจดหมายให้เขาอยู่เสมอ เพียงแต่ได้รับการตอบกลับบ้างไม่ได้รับบ้าง คงเพราะเขาติดพันการสู้ศึกอยู่ จึงได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวกันด้วยความห่วงใยเพียงเท่านั้น
แต่ตอนนี้จะได้พบหน้ากันตัวเป็น ๆ แล้ว ทำให้ทั้งท่านย่าและแม่นมหวังที่เลี้ยงดูท่านแม่ทัพเฉินและน้องสาวเพียวคนเดียวของเขาที่มีนามว่ามู่หลันมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะทั้งบิดาและมารดาพากันเสียชีวิตไปด้วยไข้ป่าเมื่อตอนเดินทางกลับจากเมืองคัง และก็เสียชีวิตทันที ทำให้หลานทั้งสองเป็นกำพร้า มีเพียงท่านย่าและแม่นมหวังที่เลี้ยงดูพวกเขามาจนเติบใหญ่
และพวกเขามีเพื่อนสมัยเด็กอีกหนึ่งคนก็คือ ซ่งจินเยว่ หลานสาวกำพร้าของแม่นมหวังที่ท่านพ่อของนางเสียชีวิตเช่นกัน มีญาติห่างนำนางมาส่งให้กับแม่นมหวังเลี้ยงดูตั้งแต่นางยังเล็ก ๆ ทั้งสามจึงได้เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก และยังมีคุณชายจางเล่อถงอีกคนหนึ่ง เขาเป็นบุตรชายจวนสกุลจางที่อยู่ข้างบ้าน และเป็นเพื่อนเล่นด้วยกันมา
แต่พอเริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาว แม่ทัพเฉินมู่หยางที่ขณะนั้นยังไม่ได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพ ก็ตกหลุมรักเพื่อนในวัยเด็กของตัวเองคือซ่งจินเยว่ และทั้งสองได้คบหากันเงียบ ๆ ต่อมาเมื่อผู้ใหญ่รู้เรื่องก็ไม่ได้ว่าอะไร ยินยอมให้คบหากันดังเช่นคนรัก ขณะนั้นแม่ทัพเฉินนั้นหลงรักเยว่จินมาก เพราะนางเป็นสาวน้อยที่น่ารัก สดใส และงดงามดังดอกเหม่ยกุ้ยที่แรกแย้ม
เขากับนางคบหากันดังเช่นคนรัก และขณะนั้นทหารหนุ่มน้อยนายนั้น ก็สัญญากับสาวน้อยอดีตเพื่อนวัยเด็กว่าเขาจะรักเพียงนางแค่คนเดียว จะไม่มองสตรีอื่นที่ไหนทั้งสิ้น และหากถึงเวลาที่จะออกเรือน เขาก็จะให้ท่านย่าสู่ขอนางกับแม่นมหวัง เพื่อที่จะได้รับนางเป็นฮูหยิน
ความรักของพวกเขาในเวลานั้นช่างสดใส และมีความสุขมาก ส่วนมู่หลันก็ยินดีนักกับพี่สะใภ้ที่สนิทและรักใคร่กันจนเปรียบดังสหายเช่นซ่งจินเยว่ เวลานั้นทุก ๆ คนในจวนต่างก็รับรู้ และแน่ใจว่าอีกไม่นานซ่งจินเยว่หลานสาวกำพร้าของแม่นมหวังก็คงจะได้หมั้นหมายและในที่สุดก็คงจะได้แต่งงานเป็นฮูหยินของแม่ทัพเฉินมู่หยางแน่ ๆ ไม่มีทางผิดไปจากนี้ได้
ยามเขาจะต้องออกไปรบ จินเยว่นั้นก็เป็นกังวลเพราะเป็นห่วงคนรัก วันที่เขาออกเดินทางนางหอบห่อของกินที่เป็นของแห้งที่เก็บเอาไว้ได้นาน ที่นางพยายามทำอย่างสุดฝีมือ และเพียรเสาะหาเฉพาะที่ชนิดที่เก็บเอาไว้ได้นาน ไปส่งให้กับคนสนิทของคนรักก่อนที่จะออกเดินทาง เพราะนางเป็นห่วงคนรักมาก เกรงว่าที่ชายแดนอาหารการกินจะลำบาก
วันนี้นางมอบผ้าเช็ดหน้าที่นางทำเองและปักชื่อย่อของทั้งสองเอาไว้ที่มุมผ้าเช็ดหน้าเพื่อมอบให้กับคนรักเอาติดตัวไว้ดูต่างหน้า และเพื่อเตือนใจของเขาว่านางยังรอเขาอยู่เสมอ ทั้งสองร่ำลากันด้วยความเศร้าและเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน
จินเยว่ยืนรอส่งคนรักจนกระทั่งเขาโหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าคู่ใจของเขา แล้วก็หันมาโบกมือลานางเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว จึงได้บังคับให้ม้าตัวนั้น ค่อยเยื้องย่างนำหน้าขบวนทัพของเขาแล้วก็จากไป
จินเยว่ยืนส่งคนรักจนกระทั่งขบวนทหารของเขาลับสายตาไป น้ำตาของนางเอ่อคลอตาแต่ก็หักห้ามตัวเองเอาไว้เพราะเกรงว่าจะเป็นลางไม่ดี หลังจากนั้นเป็นต้นมานางก็มักจะเขียนจดหมายถึงคนรักอยู่เสมอ และฝ่ายนั้นก็ตอบกลับมาหานางเป็นประจำ
แต่พัก ๆ หลัง ๆ ก็จะมีห่างหายไปบ้าง นาน ๆ ครั้งจึงจะส่งจดหมายมา นางคิดว่าเขาคงจะติดพันการรบ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก นางยังคงเพียรเขียนจดหมายหาคนรัก บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ทางบ้านให้เขาฟัง หวังเพียงว่าจะช่วยให้เขาได้คลายความคิดถึงบ้าน และมีกำลังใจสู้ศึก ทั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่านางยังคงเฝ้ารอเขาอย่างภักดี แม้อยู่ทางนี้จะมีแม่สื่อมาทาบทามหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่นางก็ปฏิเสธไปเสมอ เพราะหัวใจนางเฝ้ารอเพียงเฉินมู่หยางคนรักของนางเพียงเท่านั้น
พอบ่าวชายที่ใช้ให้ไปดูขบวนทหารว่าเข้าประตูเมืองมาหรือยัง ได้วิ่งเข้ามารายงานฮูหยินผู้เฒ่าว่าบัดนี้ ขบวนของท่านแม่ทัพเฉินมู่หยางได้เข้าประตูเมืองมาแล้วและกำลังมุ่งหน้าไปทางวังหลวง
“คงจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กระมังเจ้าคะ” แม่นมหวังเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“คงจะเช่นนั้น เขามาถึงเมืองหลวงแล้ว คงจะต้องเข้าไปถวายรายงานเรื่องการศึกนี้แก่ฮ่องเต้ก่อน จึงได้กลับจวนได้ รออีกนิดก็จะได้พบหน้ากันแล้ว อาหารที่สั่งให้ทำเพื่อต้อนรับเขาเรียบร้อยแล้วหรือ”
ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปถามแม่นมหวัง ที่พยักหน้ารับทันที
“เจ้าค่ะ อาหารทุกอย่างล้วนเป็นอาหารที่ท่านแม่ทัพชื่นชอบทั้งนั้นเจ้าค่ะ เยว่เอ๋อลงมือเข้าครัวเองเลยนะเจ้าคะ " ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างพอใจ เพราะรู้ว่าจินเยว่ก็เฝ้ารอคอยคนรักของนางอย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน คราวนี้คงจะได้ลงเอยกันเสียที ฮูหยินผู้เฒ่าคิดอย่างสบายใจ
เมื่อทหารที่แม่ทัพมู่หยางให้มาส่งข่าวที่จวนว่าเขากำลังจะออกจากวังหลวงมาแล้วมาส่งข่าวให้กับที่จวนได้ทราบ พวกเขาก็พากันออกไปรับท่านแม่ทัพเฉินมู่หยางกันที่หน้าจวนกันอย่างตื่นเต้น บ่าวทั้งชายและหญิงเข้าแถวเรียงหน้ากระดานเพื่อรอต้อนรับท่านแม่ทัพ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าและหลานสาวคนเล็กมู่หลัน และแม่นมหวังรวมถึงซ่งจินเยว่หลานสาวก็ต่างพากันมายืนออกันอยู่หน้าประตูเพื่อรอรับแม่ทัพหนุ่มกลับเข้าจวน
และเวลาสำคัญก็มาถึง พวกเขาเห็นแม่ทัพมู่หยางควบม้ามาแต่ไกล ด้านหลังเขาก็มีคนสนิทสามสี่คนที่ต่างก็ควบม้าติดตามกันมา และเมื่อเขาควบม้ามาใกล้จะถึงหน้าประตู ก็ทำเอาทุกคนชะงักค้างนิ่งงันกันไปหมด
เพราะในอ้อมแขนของท่านแม่ทัพ มีสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าบนม้าตัวเดียวกันกับเขามาด้วย สตรีนางนั้นอยู่ในวัยใกล้เคียงกับมู่หลันและจินเยว่ และมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่น้อย และเมื่อม้าสีน้ำตาลตัวสูงใหญ่งามสง่าที่เป็นม้าคู่กายของท่านแม่ทัพหยุดลงตรงหน้าประตูใหญ่ต่อหน้าต่อตาทุก ๆ คนแล้ว
แม่ทัพมู่หยางก็โหนกายลงจากม้า แล้วก็หันกลับไปจับเอวคอดของสตรีนางนั้นที่โดยสารมากับม้าตัวเดียวกันกับเขาให้ลงจากม้าแล้วอุ้มนางวางไว้บนพื้นข้างกายของเขา
ตอนแรกมู่หลันเม้มปากของนางเอาไว้แน่นไม่ยินยอมให้เจ้าคนร้ายกาจนั่น สอดลิ้นสากที่ไล้เลียริมฝีปากของนางอยู่เข้าไปในปากจิ้มลิ้มของนางอย่างเด็ดขาด แต่แล้วเพียงไม่นาน มู่หลันก็เคลิบเคลิ้มยอมเผยอริมฝีปากอิ่มของนางให้ลิ้นสากที่ร้อนรุ่มของเล่อถงเข้ามาชิมความหวานในปากของตนเอง ทั้งยังเข้าเกี่ยวพันลิ้นเล็กแสนนุ่มนิ่มของนาง จนร่างงามสั่นสะท้านไปหมด ในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรงเอนกายพิงอกแกร่งของเขาอย่างเต็มใจเพราะที่จริงแล้วภายในใจของมู่หลันนั้น แทบจะเต้นระบำรำฟ้อน เพราะนางหลงรักจางเล่อถงมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจนางเลย เอาแต่ตามติดจินเยว่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางกับพี่ใหญ่รักกัน เขาไม่เคยหันมามองมู่หลันเลยสักครั้ง จนนางเคยน้อยใจว่านางไร้ความงามจนถึงขนาดที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยหรือ แม้นางจะรักจินเยว่มาก แต่นางก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้ ว่าเหตุใดสหายวัยเด็กที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆทั้งพี่ใหญ่ ทั้งเล่อถง เอาแต่ตามติดและคอยเอกอกเอาใจแต่จินเยว่ นางเหมือนไร้ตัวตน พี่ใหญ่นั้นนางไม่ว่าอะไรเพราะนางเต็มใจที่จะได้จินเยว่เป็นพี่สะใภ้ แต่เล่อถง บุรุษไร้หัวใจผู้นั้น ไม่เคยมองมาที่นางเลย แม้นางจะเฝ้าปรุงแต่งโฉมเพ
หนิงอันเชื่อตามสัญชาตญาณของตนเองว่าสาวใช้นางนี้ไม่ได้พูดปด จึงพยักหน้าแล้วก็ตัดสินใจก้าวกลับขึ้นไปบนรถม้า แล้วบอกกับคนขับว่านางจะว่าจ้างให้ไปส่งที่เมืองใกล้ชายแดนแทน ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของนาง คนขับรถพยักหน้า แล้วหนิงอันก็ก้าวกลับเข้าไปในรถม้าตามเดิม เมื่อทรุดนั่งลงแล้ว นางก็เปิดผ้าม่านข้างรถม้าออกจ้องมองไปที่จวนแม่ทัพเฉินเป็นครั้งสุดท้าย แม้นางจะรักชายผู้นั้นมาก แต่นางเองก็รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้รักนาง เพียงแต่นางใช้ยาเสน่หารัญจวนเพื่อชักจูงจิตใจเขาเท่านั้น แต่หากมันหมดฤทธิ์ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพบหน้ากันอีกเพราะเขาไม่ได้รักนางด้วยหัวใจที่แท้จริงของเขา แต่มันคือการบังคับเขาด้วยฤทธิ์ของยาพิษ มือบางขอหนิงอันปล่อยผ้าม่านลงให้มันปิดสนิทดังเดิม แล้วก็นั่งเอนกายพิงรถม้าแล้วก็หลับตาลงอย่างปลงกับชีวิตที่พลิกผันของตนเองแล้วตัดสินใจว่าอย่างน้อยนางก็ไม่ถูกโทษทัณฑ์ ไปจากที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองอื่น อย่างน้อยนางพอมีวิชาแพทย์และความรู้เรื่องสมุนไพรติดตัวอยู่บ้าง คงจะพอใช้มันเลี้ยงชีพได้ หนิงอันหลับตาลงน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้มของนาง นางยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วและสลัดความคิดค
แม่ทัพหนุ่มเหยียดยิ้ม แล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างหน้าตาเฉยว่า“บังเอิญข้า มีความชอบไม่เหมือนผู้อื่นเสียด้วย ข้าชอบมีอะไรกับคนที่เกลียดข้า มันสะใจดี ข้าไม่ชอบคนที่ชอบข้า เกลียดกันก็มีอะไรกันได้ไม่จำเป็นต้องรักกัน อย่างที่เจ้าก็เห็นเมื่อคืนนี้ด้วยตนเองแล้ว ว่ามันสุขสมเพียงไร เจ้าก็เตรียมตัวเป็นนางบำเรอข้าเช่นนี้ หากข้าอยากนอนกับเจ้าเมื่อใดข้าก็จะมาหา แต่เจ้าอย่าหวังจะได้พบบุรุษที่ไหนอีกเลย ข้าจะให้องครักษ์เฝ้าเจ้าไว้ไม่ให้ออกนอกจวนเด็ดขาดข้าจะสั่งให้บ่าวจับตามองเจ้าทุกฝีก้าว เจ้าอยากได้อะไรก็บอกสาวใช้ก็แล้วกัน ข้าจะให้พ่อบ้านหาไว้รับใช้เจ้าสักคน แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าออกไปจากจวนเด็ดขาด ข้าจะบอกผู้อื่นว่าเจ้าเป็นเมียข้า แต่แท้จริงแล้วเจ้ามีฐานะเป็นเพียงนางบำเรอของข้าเท่านั้น พอใจเจ้าหรือยังเล่า”แม่ทัพหนุ่มบอกกับนางด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน เมื่อง้องอนดี ๆ แล้วไม่ยอมคืนดีสักที ไม่ยอมรับว่าเป็นฮูหยินของเขา เช่นนั้นก็เป็นนางบำเรอก็ได้ แต่อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเมียเหมือนกัน และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีไปมีบุรุษใดได้อีก อย่าคิดฝันว่าจะได้สมหวังกับเจ้าเล่อถงนั่นเลย ข้ารู้นะว่ามันหลงรักเจ้า มันถึงยอมทุ่มเทช่วยเจ้
แม่ทัพหนุ่มก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะเขาสะกดกลั้นความต้องการของตนมานานแล้ว เพราะต้องการสั่งสอนภรรยาแสนดื้อเช่นนาง เขายกสะโพกหนาขึ้นเสยเข้าหานางแล้วเร่งความเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นบดขยี้ ถี่ยิบและเน้นหนัก ขึ้นหานางจนกระทั่งแตกระเบิดพร่างพรายไปด้วยกันอีกครั้งแล้วพลิกร่างอวบอิ่มของนางลงด้านล่าง แล้วก็สอดอาวุธคู่กายของเขากลับเข้าไปอีกครั้ง แล้วโยกขย่มนางอย่างเร่าร้อน เร่งกระแทกกายแกร่งเข้าสุดออกสุด และบดขยี้อย่างเน้นย้ำทุกจังหวะที่โจ้นจ้วง ตอกย้ำแรง ๆ ถึงความมีตัวตนของตนเอง ดังจะย้ำเตือนกับนางว่าเขาคือสามีของนาง สามีที่ยังรักนาง โหยหาและต้องการนางสุดหัวใจ“เยว่เอ๋อ โอ้วววว โอ้ววว เยว่เอ๋อ ยอดรักของข้า เจ้าคือภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ข้ารักเจ้า โอ้ววว โอ้ววว”แม่ทัพหนุ่มร้องครวญครางเรียกสตรีในหัวใจด้วยเสียงแหบพร่าดุจโหยหานางเหลือเกิน บั้นเอวสอบโยกไหวรัวเร็วและถี่ยิบแต่สิ่งที่นางตอบสนองเขาก็คือ “อ๊าย อ๊ะ อ๊ะ ข้าเกลียดท่าน ข้าเกลียด อ๊าย อ๊ะ”แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ ที่นางบอกว่าเกลียดเขา เขาจึงยิ่งกระแทกเข้าออกแรงขึ้นอีก เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องในห้องน้อยนั้น เตียงสี่เสาหลังใหญ่ในห้
“ อ๊าย ข้าเจ็บ อย่านะ ไม่ อย่าทำเช่นนี้ ไม่….. ” นางดิ้นรนไปมา พยายามจะดิ้นหนีออกไปให้ไกลจากการรุกรานของเขาแต่แล้วก็พบว่าข้อมือตนเองถูกมัดติดกับหัวเตียง นางกรีดร้องเสียงดังยิ่งขึ้นเพราะตกใจ ที่อยู่ ๆ ก็ตื่นมาพบว่าตนเองถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ และนอนแผ่กางแขนและขาอยู่บนเตียงในห้องที่ใดก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ห้องพักห้องเล็กที่อยู่บนร้านผ้าไหมแน่ ๆ “ ช่วยด้วย อย่านะ ท่านแม่ทัพ อย่านะ อย่า อ่่าาา อ่าาาาห์ ” เมื่อเขาสอดนิ้วเข้าไป เขาพบว่ามันแห้งสนิทและคับแน่นยิ่งนัก นิ้วแกร่งของเขาแทบจะดันเข้าไปไม่ได้ เขายกยิ้มพอใจ นางยังมิได้ถึงกับมีอะไรกับเจ้าจางเล่อถงนั่น ตอนนี้เขาสบายใจขึ้นมากเพราะลงมือพิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว ว่านอกจากเขาแล้วยังมิมีชายใดมากล้ำกลายนาง ถ้าเช่นนั้นวันนี้จะต้องตอกย้ำความเป็นสามีของนาง เพื่อให้นางรู้ว่านางมีเจ้าของแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีเขาไปได้อีกเป็นอันขาด เขาจะขังนางเอาไว้ที่จวนของสหายของเขาที่เมืองหนิงโจวแห่งนี้ เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจะติดตามทั้งเขาและนางมาได้ ที่นี่เป็นจวนของสหายของเขา ที่เขาส่งจดหมายไปขอยืมเพื่อจะพำนักชั่
“แต่ข้าไปก็ได้นะ แต่เจ้าก็ต้องกลับไปกับข้าด้วย เจ้ากลับข้าก็กลับ หากเจ้าไม่กลับข้าก็จะปักหลักอยู่กับเจ้าที่นี่แหละ”แม่ทัพหนุ่มยืนกราน เพราะเขาไม่มีทางถอยแน่ ๆ เพราะดูท่าแล้ว นางกำลังจะหนีเขาไป เพราะถึงกับย้ายออกมาอยู่ที่ร้านแห่งนี้ และคงวางแผนที่จะหนีไปแต่งงานหรือไม่ก็ยอมเข้าเรือนหลังของเจ้าเล่อถงแน่ ๆ ซึ่งเขาไม่มีทางยอมหรอก หากนางจะทำเช่นนั้น เขาจะอาละวาดให้งานแต่งของนางล่มแน่ ๆ หรือก็จะตามไปอาละวาดทุกๆ ที่ ที่นางไปอยู่กับชายใดก็ตาม ให้มันรู้กันไปสิ เมียคนเดียวเขาจะพากลับไปไม่ได้“ข้าไม่กลับไปกับท่าน เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นท่านจะมาบังคับข้าไม่ได้ กลับไปเสีย หาไม่ ข้าจะฟ้องท่านย่าว่าท่านมาวุ่นวายรบกวนการทำงานของข้า”แม่ทัพหนุ่มยักไหล่ ฟ้องก็ฟ้องไปสิ เขาไม่ได้สนใจ เพราะเขาบอกท่านย่าแล้วว่านางเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขามาเฝ้าเมียไม่ให้คิดจะคบชู้ มันผิดตรงไหน และนางก็ไม่ใช่คนตัวเปล่า สามีก็มานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ ยังคิดจะหว่านเสน่ห์ชายอื่นได้อีก ใครผิดกันแน่ ๆ ก็เห็น ๆ อยู่ อย่างไรเขาก็ไม่ยอม จะให้ไปพบเจ้าเล่อถงที่จวนเขาก็ยินดี ไปบอกมันว่าสตรีที่มันหมายปองมีสามีแล้วหลังจากนั้นแม่ทัพ







