“พี่เท็นเลี้ยงค็อกเทลเดียร์สักแก้วสิคะ”
“เป็นขอทานเหรอ?” เดือนสิบตอบเสียงเรียบ พยายามแกะมือปลาหมึกของหล่อนออก
“ว่าอะไรนะคะ?” เมื่อครู่หล่อนฟังไม่ผิดแน่ หล่อนถูกรุ่นพี่สาวด่า!
“นอกจากเป็นขอทานแล้วยังหูไม่ดีอีกนะ เหอะ!”
“เอ๊ะ!” คราวนี้คุณหนูคนสวยไม่อาจทนยิ้มหวานได้อีกแล้ว หล่อนเป็นผู้ปล่อยแขนเอง ตากลมโตจ้องเขม็งแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด แต่เดือนสิบผู้ที่ไม่สนใจโลกทำเพียงไหวไหล่ไม่ยี่หระต่อสิ่งที่พูด
ธนินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยกมุมปาก มองทั้งสองยิ้ม ๆ เพราะไม่คาดคิดว่าดาวคณะนิเทศศาสตร์จะเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อนสนิทของตนก่อน ทั้งยังโดนตอกหน้าแทบหงายอีก น่าเสียดายที่ยามนี้ไฟทั้งผับถูกดับให้มืดลงกว่าเดิม คนอื่นจึงไม่มีทางรู้เลยว่าเพื่อนสนิทของเขาและแม่สาวทรงโตกำลังทำอะไรกันอยู่ แม้ภาพจะดูเกาะก่ายกัน ทว่าความจริงไม่ใช่อย่างนั้นสักนิด ชายหนุ่มยักไหล่คว้าแก้วเครื่องดื่มของตนแล้วปลีกไปอีกทาง ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องสนใจจึงปล่อยให้เดือนสิบรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าเพียงผู้เดียว
ดลญายกแขนกอดอก เชิดหน้าสูง มองเดือนสิบเคือง ๆ
“นี่จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ?”
“พูดอะไร?” ใบหน้าสวยคมเริ่มยับ เนื่องจากรำคาญยัยดาวคณะทรงโตเต็มแก่
“พี่เท็นบอกว่าเดียร์เป็นขอทานนะ”
“แล้วยังไง เธอเป็นจริงอย่างที่พูดไหมล่ะ?”
“นี่!” คนที่ไม่เคยมีใครปฏิบัติเช่นนี้ถึงกับตัวสั่นด้วยความโกรธ จ้องเดือนสิบราวจะกินเลือดกินเนื้อ รู้สึกเหมือนโดนอีกฝ่ายหยามเกียรติและศักดิ์ศรีที่ตนเองมี
‘พี่เท็นน่ะยาก แกไม่มีทางได้เกียร์เขาหรอก’ เสียงของจิราวรรณดังขึ้นในหัว ดลญาเปลี่ยนสีหน้าทันทีจนเดือนสิบหรี่ตาลงกับท่าทางของเจ้าหล่อน จากที่ดูโกรธเกรี้ยวหน้านิ่วคิ้วผูกโบ กลายเป็นยิ้มกว้างอวดฟันขาวที่เรียงตัวสวย ทั้งดวงตายังประกายวิบวับยากเกินคาดเดา เดือนสิบเห็นลางไม่ดีกำลังจะขยับตัวหนี ทว่ากลับถูกดลญาใช้แขนทั้งสองล็อกกับพนักเก้าอี้ไว้ ก่อนโน้มตัวลงมาประกบจูบแผ่วเบา สาววิศวะนิ่งไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกตัวคนใจกล้าได้ผละห่างเสียแล้ว
“คิดจะทำอะไรของเธอ” เดือนสิบคำรามลอดไรฟัน ยิ่งเห็นว่ายัยทรงโตเอาแต่ส่งยิ้มหวานมาให้ยิ่งหงุดหงิด
“ไว้เจอกันนะคะพี่เท็น” ว่าจบดลญาก็ส่งจูบผ่านมือนิ่มของตน เพียงสัมผัสแก้มของรุ่นพี่สาวฝ่ายนั้นก็เบือนหน้าหนี ช่างประจวบเหมาะที่ไฟในผับดับลงพอดีจึงไม่มีใครเห็นการกระทำนั้น เสียงโวยวายของทุกคนดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงเพลงที่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แสงไฟหลากสีฉายชัดไปทั่วบริเวณ นักเต้นเริ่มออกลีลากลางฟลอร์พร้อม ๆ กับที่เจ้าของสะโพกผายเดินกลับไปยังโต๊ะของตนเองท่ามกลางเสียงโห่ร้องตบมือด้วยความปรีดาที่ดลญาสามารถจูบรุ่นพี่สาวได้
‘อะไรยาก ๆ นี่สิถึงเร้าใจ’ ดลญาคิด หล่อนกระหยิ่มยิ้มย่องขณะมองร่างสูงที่ยังนั่งไม่ไหวติง
ส่วนเดือนสิบหัวเสียเป็นอย่างมากที่เสียรู้ให้กับผู้หญิงคนนั้น ยิ่งเห็นสายตาของทุกคนที่กำลังมองเป็นตาเดียวยิ่งทำให้อารมณ์เดือดดาล เธอไม่ชอบเป็นจุดสนใจและมักทำอะไรคนเดียว ไม่คบหาเพื่อนเยอะด้วยเกลียดความวุ่นวายจึงมีเพียงธนินที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่รับน้องที่สนิทแค่คนเดียว คืนนี้คงมีข่าวและรูปที่ดลญาจูบเธอว่อนไปทั่วคณะแน่ ไม่รู้ว่ายัยดาวคณะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร แต่หากให้เดา หล่อนคงอยากใช้เธอเป็นเครื่องการันตีความฮอตและความเด่นดังของตัวเอง
สาววิศวะฯ พ่นลมหายใจ ชำเลืองไปยังเจ้าหล่อนที่อยู่มุมหนึ่งของผับ พอเห็นว่าหล่อนกำลังยกมือเสมอไหล่โบกมาให้ยิ่งหงุดหงิด
“ยัยบ้า!” คว้ามือถือรีบเดินไปทันที แต่ถูกธนินรั้งไว้และขอให้อยู่ต่ออีกหน่อย
“น้องเดียร์แม่งจะเอามึงแน่” ทั้งสองจึงมายืนสูบบุหรี่ด้วยกันโดยธนินเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน
“จัดให้สักดอกดิ”
“ไม่ กูไม่อยากยุ่ง” พูดพลางพ่นควันบุหรี่ลอยเคว้งไปในอากาศ ตาคมหรี่ลงเมื่อเห็นร่างของดลญากำลังเดินออกมา ร่างสูงไม่สนใจแต่ก็คอยลอบมองหล่อนอยู่ เพราะเกรงว่าจะถูกประชิดเหมือนครั้งอยู่ด้านใดผับอีก ธนินพูดอะไรต่ออีกหลายประโยคแต่เดือนสิบไม่ได้ฟังด้วยใจและตายังจดจ่ออยู่กับร่างเพรียวทว่ามีหน้าอกใหญ่อยู่
“แล้วบอกไม่สนใจ จ้องไม่หยุดเลยนะมึง” ธนินเอ่ยแซวเมื่อเห็นสายตาของเพื่อนที่ไม่ได้สนใจตนเอง
“กูกลัวแม่งเดินมาทางนี้ต่างหาก” ประจวบเหมาะกับมีใครสักคนเดินมาพอดี ธนินเข้าไปทักทายผู้หญิงคนนั้น ก่อนหันกลับมาขยิบตาให้เดือนสิบ เป็นอันรู้กันว่าคืนนี้เธอคงกลับบ้านได้เพราะไอ้ธนินมีเพื่อนสำหรับค่ำคืนนี้แล้ว
มวนบุหรี่ถูกขยี้ลงที่ของมันพร้อมกับร่างของธนินและผู้หญิงของมันหลีกพ้นสายตาไป เดือนสิบตบกระเป๋ากางเกงหารีโมตรถ หูกลับได้ยินเสียงโต้เถียงแว่ว ๆ ใจจริงไม่อยากสนใจ ทว่ากลับมีเสียงหวีดร้องดังขึ้น ร่างสูงจึงวิ่งไปยังต้นเสียง ภาพที่เห็นคือดลญากำลังอยู่บนพื้นโดยมีผู้ชายสองคนจับที่แขนทั้งสองข้างและพยายามฉุดกระชากหล่อนให้ลุกขึ้นนั่ง เดือนสิบขมวดคิ้วเฝ้าสังเกตอยู่อีกประมาณสองสามนาทีก่อนจะร้องเรียกให้บอดีการ์ดของผับเข้ามาช่วย ชายสองคนถูกกันออกไปอยู่อีกฟาก จึงเป็นเดือนสิบที่ต้องเข้าไปประคองดลญาให้ยืนขึ้น ทว่าแข้งขาหล่อนอ่อนแรงซวนเซจวนล้มจนร่างสูงต้องโอบเอวไว้
บทจบ ได้ทั้งเกียร์ได้ทั้งเธอดลญายิ้มแห้งเมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณนุ่นคือลูกพี่ลูกน้องของธนิน หญิงสาวตีไหล่คนรักเนื่องจากถูกปล่อยให้คิดไปเองอยู่พักใหญ่ ถ้าไม่เกิดเรื่องงอนตุ๊บป่องเมื่อสัปดาห์ก่อนหล่อนก็ยังไม่รู้ว่านุ่นคือใคร แล้วที่เคยสังสรรค์จนกลับบ้านดึกดื่นนั่นก็เพราะธนินขอร้องให้อยู่ต่อ “พี่เท็นก็ไม่บอกเดียร์” “ถ้าบอกก็ไม่รู้สิว่าแฟนหึง” คนพี่ยิ้มกริ่ม เดี๋ยวนี้เดือนสิบชักร้าย เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เจ้าเล่ห์ขึ้น พูดเก่งขึ้น และทำรักมากขึ้น ความต้องการมีไม่สิ้นสุด หล่อนระทดร
“ยังไง บอกฉันมาสิ” หากคนที่บอกจะชดใช้กลับส่ายศีรษะไปมา หล่อนเองก็ไม่รู้เช่นกัน“ระ…หรือพี่เท็น” ก้อนบางอย่างจุกอยู่กลางอกไปจนถึงลำคอ ดลญาพูดต่อไม่ออก แต่พยายามเอื้อนเอ่ยทั้งที่เจ็บไปทั้งใจกับข้อเสนอที่ตนเองได้เอ่ยออกไป“อยากให้เดียร์ไปให้พ้น ๆ” ประโยคนั้นเบาเสียจนต้องเงี่ยหูฟัง ร่างสูงมองมือเล็ก เมื่อมีอาการประหม่าดลญามักจะจิกเล็บลงบนอุ้งมือ“แล้วเธออยากไปให้พ้น ๆ ฉันไหมล่ะ?” คำตอบคือการส่ายหน้ารัว ๆ“งั้นก็อยู่”“คะ?!” ใจดลญาเต้นแรง แหงนหน้ามองคนพี่ที่ส่งสายตาทอประกายมาให้“ฉันเพิ่งรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยลืมยัยตัวแสบเจ้าแผนการจอมหลอกลวงได้เลย” คราวนี้เป็นดวงตากลมโ
บทที่ 19 ในใจมีเพียงเธอไหล่กว้างไหวสั่นแรงขึ้นขณะปิดหน้าร้องไห้หน้าห้องฉุกเฉิน เป็นเวลาเกือบชั่วโมงแล้วที่ร่างไร้สติของดลญาอยู่หลังประตูบานนั้น เดือนสิบโทรหาบิดาและธนินด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พูดไม่ได้ศัพท์จนบิดาต้องบอกให้ใจเย็นจะรีบไปหาส่วนธนินติดธุระอยู่ต่างจังหวัดแต่จะรีบมาทันทีที่เสร็จงาน ดวงตาคมแดงก่ำน้ำตาไหลพรากมองสิ่งที่อยู่ในมือ ‘สร้อยเกียร์วิศวะ’ ดลญายอมทิ้งชีวิตเพื่อเจ้าสิ่งนี้ทั้ง ๆ ที่มันแสนไร้ค่า เดือนสิบลูบหน้าแรง ๆ เสยผมขึ้น ส่ายศีรษะไปมา ในหัวมันขาวโพลนตอนที่ลากร่างไร้สติขึ้นมาบนฝั่ง ตะโกนเรียกหล่อน ไม่มีเสียงตอบกลับยิ่งทำให้ลนลาน แทบคลั่งเมื่อเห็นว่าในมือหล่อนกำอะไรอยู่ มือเล็กกำมันแน่นไม่ปล่อยจนเธอต้องใช้แรงง้างนิ้วทั้งห้าให้ปล่อยไม่นานคุณดนัยก็ถึงโรงพยาบาล เดือนสิบโผเข้ากอดท่านทันที ร่ำไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเมื่อครั้งที่รู้ความจริงเกี่ยวกับดลญา ช่วงนั้นบุตรสาวท่านเป็นบ้าไปเลย ไม่กินและไม่นอนเอาแต่ร้องไห้ กว่าจะกลับมาเป็นปกติ
เรื่องซุบซิบความสัมพันธ์ของคนในโรงงานมีมากมายนับไม่ถ้วน คบคนนี้ เลิกคนนั้น เป็นชู้ ลักลอบได้เสียกัน ดลญาอยู่นานจนเริ่มชินชากับเรื่องพวกนี้ หล่อนปรับตัวเข้ากับสังคมได้แล้วแม้จะไม่ได้มีเพื่อนสนิทเลยสักคนก็เถอะ การอยู่ลำพังนั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด เพียงแต่ไม่มีคนไว้คอยพูดคุยปรึกษาก็เท่านั้น ดลญาไม่ใคร่สนใจผู้ใด หล่อนทำงานของตนเองให้เสร็จลุล่วงไปวัน ๆ ทว่าก็ต้องมีเรื่องราวให้ปวดเศียรเวียนเกล้าอีกครั้ง คู่อริเก่าอย่างนวลตาเริ่มเข้ามาหาเรื่องอีกครั้ง เนื่องมาจากแฟนเก่านวลตามาจีบดลญา หล่อนบอกปฏิเสธฝ่ายนั้นไปแล้วแต่ชายหนุ่มยังดื้อด้านตามรังควานไม่เลิก“แรด!” ดลญากลอกตา ก้นหย่อนลงเก้าอี้ทำงานไม่ถึงสามวินาทีก็ถูกด่ากระทบกระเทียบ หล่อนทำเฉยเหมือนไม่ได้ยิน หากอีกฝ่ายกลับเดินมาชนไหล่จนเกือบตกเก้าอี้ ดลญาถอนหายใจแรง ๆ ถึงชินกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ อิจฉาริษยา แต่หล่อนก็เบื่อ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ไปยุ่งกับใครกลับโดนเกลียดเสียอย่างนั้น&n
บทที่ 18 สถานะที่ไม่ชัดเจนคุณดนัยและเดือนสิบเลือกใช้สวนหย่อมแทนการพูดคุยในห้อง ผู้มากอายุกว่ากระชับกรอบแว่นมองบุตรสาวนิ่ง ๆ เดือนสิบเองเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิดจึงเอาแต่ก้มหน้าประสานมืออยู่กลางลำตัว“กลับมาคบกันเหรอ?” คำถามของผู้เป็นพ่อยิงตรงเข้าประเด็น ไม่อ้อมค้อม“เปล่าค่ะ” คำตอบของบุตรสาวทำให้คิ้วเข้มต้นฉบับขมวด“ไม่คบแล้วหนูคนนั้นมาอยู่ในห้องแกได้ไง?”“เอ่อ…” เดือนสิบเล่าเหตุการณ์คร่าว ๆ ถึงสาเหตุที่ดลญาต้องมาอยู่กับเธอ ท่านนั่งเงียบฟังไม่ปริปากเอ่ยขัดจังหวะจนจบ“เรื่องบนเตียงไม่เกี่ยวกับว่าคบกันหรือไม่คบสินะ”“ไม่
วันหยุดสุดสัปดาห์เดือนสิบมีนัดกับธนินเนื่องจากไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องทำ“มึงว่าอะไรนะ?! ตอนนี้น้องเดียร์อยู่คอนโดฯ มึงเหรอ?” สีหน้าและท่าทาของธนินดูตกใจกับสารใหม่ที่เพิ่งได้รู้ ชายหนุ่มหรี่ตามองเพื่อนที่ยังคงหน้านิ่งจิบเบียร์และหยิบถั่วเข้าปาก“น้องเดียร์ก็แปลก เป็นคุณหนูดี ๆ ไม่ชอบ อยากตกระกำลำบากมาเป็นสาวโรงงาน กูล่ะงงจริง” ธนินเกาหัวแกรก ๆ เมื่อฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเพื่อนสนิท