หลี่เฟิ่งเซียนยื่นมือไปรับน้ำชามาดื่ม ยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้สาวใช้หุบปากก่อน สาวใช้กลอกตายื่นน้ำชาให้คุณหนูใหญ่
“น้ามม...” เสียงหนึ่งลากแหบแห้งดังมาจากด้านหลัง ทั้งสองคนหันไปทันที ที่แท้เจ้าคนชั่วของหลี่เฟิ่งเซียนก็ตื่นแล้ว!! เขามองมาด้วยสายตางงงวย คล้ายยังไม่แน่ใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“เจ้าฟื้นแล้ว!!” หลี่เฟิ่งเซียนดีใจ กระโดดทีเดียวถึงข้างเตียง เข้าไปช่วยพยุงเจ้าคนชั่วของนางที่พยายามชันตัวลุกขึ้น
“ช้าๆ หน่อย เจ้ายังไม่สบายอยู่ นี่ยู่ยี่ เจ้ารีบเอาน้ำมาสิ” ประโยคหลังนางหันไปพูดกับสาวใช้
“ข้าชื่อหยวนหยวนเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบเช่นนั้น แต่ยังคงรีบไปหยิบถ้วยน้ำที่หลี่เฟิ่งเซียนวางเอาไว้ ก่อนจะวิ่งไปหาคนป่วยผู้นั้น หยวนหยวนเติมน้ำและเอาไปยื่นให้หลี่เฟิ่งเซียน
“เจ้าค่อยๆ ดื่ม” หลี่เฟิ่งเซียนยื่นน้ำไปให้ตรงปากของเจ้าคนชั่ว
เขามองนางวูบหนึ่งก่อนจะก้มลงดื่มน้ำที่นางป้อนให้
“ท่าน..เจ้าปลอดภัย?” เขาถาม เสียงยังแหบแห้งอยู่มาก
“ข้าปลอดภัย เจ้าก็ปลอดภัย” นางตอบ เขาพยักหน้าและสังเกตเห็นว่าที่ข้างแก้มของนางยังคงติดแผลปลอมนั่นอยู่
“นี่ ข้าหลับไปนานเพียงใด”
“15 วัน ตั้งแต่วันที่ออกจากกองเพลิง เจ้าก็ไม่ยอมตื่นอีกเลย” นางตอบ
“นางยังคิดว่าท่าน คงไม่รอดเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ” สาวใช้เสริม
“เจ้า.. ตั้งแต่หนีออกไปยังไม่ได้อาบน้ำเลยหรือ?” เขากลับถามเรื่องอื่น หลี่เฟิ่งเซียนไม่เข้าใจ คิดว่านางอาจมีกลิ่นแปลกหรือมีสิ่งใดผิดปกติ
“เจ้าน่ะสิไม่ได้อาบน้ำ ยังต้องเสียเวลาข้าคอยมาเช็ดตัวให้ ให้ยู่ยี่นางเช็ดก็ไม่สะอาด” หลี่เฟิ่งเซียนว่าให้เขา
เจ้าคนชั่วทำตาโตตกใจ ก่อนจะเกิดปื้นแดงๆ ขึ้นที่ใบหูและลามไปสองแก้ม เขารีบก้มหน้าเพื่อซ่อนความอับอาย
“ข้าหมายถึง เหตุใดแผลปลอมบนแก้มของเจ้ายังไม่หลุดออก” เขาพยายามอธิบาย น้ำเสียงฟังดูสดใสมากขึ้น
“เฮอะ ยังจะกล้าพูดเรื่องนี้ เป็นเจ้าที่เก็บงำความลับนี้ไม่ยอมบอกข้าตรงๆ ไม่ใช่หรือ?” หลี่เฟิ่งเซียนด่าเขาทันที
“...” เขาอยากจะพูดมากมาย แต่กลับไม่มีคำใดออกมา
“เจ้าเจ็บตรงไหน?” นางรีบถามเขา กลัวเขาจะเจ็บตรงไหน
“ยู่ยี่ เจ้ารีบไปพาท่านหมอมา เร็วๆ” หลี่เฟิ่งเซียนหันกลับไปพูดกับสาวใช้
“ข้าชื่อหยวนหยวน” สาวใช้เพียงพูดเบา เพราะเห็นแล้วว่าคุณหนูใหญ่ไม่ใส่ใจนางอีก แต่นางยังอดพูดไม่ได้ ก่อนจะหมุนตัวไปเรียกท่านหมอมา
“หากเจ้าอาบน้ำแล้ว เหตุใดแผลปลอมนั่นยังไม่หลุดออก” เจ้าคนชั่วก็พูดเพียงเบาๆ แต่คุณหนูใหญ่ผู้นั้นใส่ใจ นางจึงได้ยินชัดทุกคำ
“ข้าอาบ แต่ล้างไม่ออก” หลี่เฟิ่งเซียนตอบ
“เจ้าไม่มีเกลืออาบน้ำหรือ” เขายังคงพูดเบา
“ข้ามี แต่ไม่ได้ใช้”
“...” เขาเงยหน้ามองนางแทนการถามคำถาม
“ข้ามีแผล จึงไม่อยากใช้เกลืออาบน้ำ ข้ากลัวเจ็บแสบ” นางตอบ แม้เขาจะไม่ได้ถามแม้สักคำ
หลังจากคำตอบของนาง เขาก็เริ่มมองสำรวจนาง ขมวดคิ้วกังวล
“ข้าไม่เป็นไรมาก เป็นเพียงแผลเล็กๆ แต่ต่อไปอาจจะมีปัญหาได้หากข้าอยากแต่งกับท่านอ๋องเยียน เพราะการจะแต่งเข้าราชวงศ์ ต้องสวยหมดจด ห้ามมีแผลเป็น” นางอธิบาย
“แผลของเจ้า ใหญ่มากหรือ” เขาถามเบาๆ
“เล็กน้อยมาก” หลี่เฟิ่งเซียนตอบคำถามไร้สาระของเขา หากเป็นผู้อื่น นางอาจตัดรำคาญคร้านจะคุย แต่พอเป็นเจ้าคนชั่ว นางคล้ายอยากพูดกับเขาไปเรื่อยๆ
“ถ้าเล็กน้อย เจ้าจะเป็นแผลเป็นได้อย่างไร” เขาคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่า เพราะในมือของกองทัพ จะไม่มียาสมานแผลชั้นดีเลยหรือ นางต้องเป็นแผลขนาดใหญ่ ใหญ่ชนิดที่แม่ทัพหลี่พลิกแผ่นดินแล้วก็ยังไม่สามารถหายารักษาจนไม่มีร่องรอยได้
“ข้ายังไม่ตาย ยังมีชีวิตรอด ถึงจะเจ็บใจที่ถูกตัดผมไปกำใหญ่ แต่ข้าก็ได้แก้แค้นคนที่ตัดผมของข้าไปแล้ว ไม่ต้องกังวล”
ใช่ นางเจ็บใจเรื่องที่ถูกตัดผมมากกว่าอีก สมัยก่อน ตอนที่ท่านแม่ของนางยังอยู่ ท่านแม่เคยสอนว่าห้ามตัดผม มันจะเป็นการตัดพรหมลิขิตความรัก นางรักษาพรหมลิขิตของนางมาทั้งชีวิต กลับถูกสารเลวคนหนึ่งตัดทิ้งไปมากมาย เช่นนี้ต่อไปนางก็จะได้เจอชายงามน้อยลงแล้ว
“เจ้าหายดีหรือยัง?”
“อะไรนะ เจ้าพูดอะไร พูดดังหน่อย ข้าไม่ได้ยิน”
หลี่เฟิ่งเซียนก้มหน้าไปใกล้เพื่อฟังว่าเขาพูดอะไร ครั้งนี้เขาไม่ใช่เพียงพูดเบา แต่เบามากจนนางแทบไม่ได้ยิน ได้ยินเพียงเขางึมงำบางอย่าง แต่เจ้าคนชั่วกลับเอียงตัวหนี
“เจ้ารีบไปเอาน้ำเกลือล้างแผลปลอมนั่นออกเถิด” เขาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามามองสบตาของหลี่เฟิ่งเซียน
“เจ้ายังกล้ารังเกียจ ข้าต้องใช้ชีวิตกับแผลสกปรกนี่ทั้งวันทั้งคืนข้ายังไม่บ่น” หลี่เฟิ่งเซียนโกรธ มองกลับไปอย่างดุดัน
แต่พอนางจ้องมองดวงดาวในตาของเขา คล้ายถูกจี้จุดไม่อาจขยับได้ เขาค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสตุ่มใสปลอมบนแก้มของนาง เขาอยากมั่นใจว่าตุ่มใสปลอมจะไม่สร้างความระคายเคืองบนแก้มของนาง
“หยุดนะ!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนมาแต่ไกล
“เจ้าคิดจะทำอะไรลูกสาวของข้า” เขาแทบจะวิ่งเข้ากระโจม รีบร้อนเดินเร็วเข้ามาในกระโจมของลูกสาวสุดที่รัก
“เหลวไหลอะไรท่านพ่อ” หลี่เฟิ่งเซียนพูด
“เขาเพียงสอนวิธีเอาแผลปลอมบนแก้มของลูกออกเท่านั้น ท่านคิดมากอะไร ท่านดูหน้าตาเขา รูปร่างผอมแห้งนี่ ท่านคิดว่ามีความงามที่ใดกัน” นางร่ายยาว แต่เขากลับก้มหน้าเล็กน้อยไม่กล้ามองท่านแม่ทัพตรงๆ
“แล้วเจ้าไปนอนบนเตียงของลูกข้าทำไม ลงมาเดี๋ยวนี้” แม่ทัพหลี่เสียงดังใส่เจ้าคนชั่วของหลี่เฟิ่งเซียน
“พูดอะไร เขาป่วยอยู่นะท่านพ่อ ข้าต้องแบกเขาตั้งนานกว่าจะพาเขามานอนที่เตียงของข้าได้ อยู่ๆ ท่านจะมาเอาเขาลงไม่ได้” นางเถียงแม่ทัพหลี่
แต่สำหรับเจ้าคนชั่ว เขาลนลานรู้สึกผิด เขานอนอยู่บนเตียงคุณหนูใหญ่ ทั้งยังต้องให้นางแบกเขามา คิดแล้วเขาได้แต่รีบดึงผ้าห่มออก พยายามจะลงจากเตียง
“หยุดเลยนะ!! ข้าแบกเจ้าตั้งนานกว่าจะพามาถึงที่นี่ได้ ถ้าเจ้ากล้าลงมาข้าจะหักขาของเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนไม่พอใจเจ้าคนชั่ว
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ
ค่ำวันนั้นนางไปหามู่เฉินคนชั่วของนาง แต่ท่านหมอบอกว่าเขาไม่อยู่ออกไปอาบน้ำ หลี่เฟิ่งเซียนไปรอเขาที่ห้องของเขาอยู่นานเขาก็ยังไม่กลับ นางจึงบุกไปที่ห้องอาบน้ำ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่นั่น หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางกลัวว่าเขาจะออกไปข้างนอกค่ายแล้วเกิดถูกจับตัวไปขายอีกครั้งหลี่เฟิ่งเซียนวิ่งกลับไปที่ห้องของนางเพื่อหยิบกระบี่ไปช่วยเขา แต่กลับพบเขากำลังนั่งปลอบใจยู่ยี่ที่ร้องไห้อยู่ นางมองเขากำลังใช้มืออีกข้างตบหลังยู่ยี่เบาๆ อย่างปลอบโยน จู่ๆ นางก็เกิดไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวนพวกเขา ในใจของนางมีบางอย่างหนักอึ้งจนนางเองก็อธิบายไม่ได้หลี่เฟิ่งเซียนหอบกล่องใส่เข็มไปนั่งเหม่อมองดวงดาวบนท้องฟ้าที่ริมน้ำ เพราะนางไม่กล้าเข้าห้องของตัวเอง สายลมเย็นส่งเสียงหวีดเป็นบางครั้ง เสียงน้ำไหลกระทบก้อนหิน แม้จะหนวกหู แต่ช่วยให้นางสงบ ไม่ต้องได้ยินเสียงจี้ดๆ ที่ได้ยินในหูตั้งแต่เห็นสองคนนั้นนั่งด้วยกันยิ่งมืดดวงดาวยิ่งแจ่มชัด แต่จู่ๆ กลับมีแสงไฟใกล้นางมาทุกที หลี่เฟิ่งเซียนกลัวว่าจะมีคนร้ายมาแอบจับตัวนางไปอีก จึงรีบหลบหลังพุ่มไม้ แอบก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่รู้จักระวัง มืดแล้วยังไม่ระวังตัว ถูกจับไป