เขายังออกแรงทั้งหมดดึงจนแขนข้างหนึ่งหลุดออกมาจนได้ มือข้างที่ถูกหัก มีเลือดไหลเพราะแผลถลอกเล็กน้อย ระหว่างออกแรงดึงข้อมือและกระดูกนิ้วรูดผ่านโซ่ กระดูกที่ฝืนดึงผ่านช่องเล็กๆ ถูกบดจนแตก มือของเขาที่ผอมมากอยู่แล้วมีรูปร่างผิดแปลกและเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว
เขาใช้แขนข้างที่ยังดีดึงโซ่ตรวนออกจากเสาและล้มลงตรงนั้น ไม่มีแม้แต่แรงจะพยุงตัวเองให้ยืนอยู่ได้ หลี่เฟิ่งเซียนสั่งนายทหารให้อุ้มเขาเพื่อหนีออกจากกองเพลิงทันที ไม่มีเวลามาตกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งจะกระทำกับมือของเขา
ด้านนอกกองเพลิงยังมีคนสู้รบกันอยู่ แต่ท่านอ๋องเยียนพาคนมาช่วยแล้ว ไม่นานก็จับลูกน้องของนายท่านคนนั้นได้เกือบทั้งหมด อ๋องเยียนเห็นหลี่เฟิ่งเซียนออกมาจากกองเพลิงได้แล้วก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง ท่านอ๋องให้หลี่เฟิ่งเซียนพาเจ้าคนชั่วรีบกลับไปรักษาตัวก่อน เขาจะจัดการที่เหลือเอง
หลี่เฟิ่งเซียนพาเจ้าคนชั่วของนางกลับไปโรงเตี๊ยม เชิญท่านหมอมารักษา อาการของเขาหนักมาก เพราะร่างกายของเขาอ่อนแออยู่แล้ว ยามนี้ยังขาดอาหารและถูกทำร้ายอย่างหนัก โดยเฉพาะมือข้างซ้ายที่เขาจัดการหักมันด้วยตัวเขาเอง มันจะไม่สามารถใช้งานได้เช่นเดิมอีก ได้แต่รักษาตามอาการ และเขายังมีไข้ตัวร้อนอยู่ตลอดเวลา หลี่เฟิ่งเซียนสั่งให้สาวใช้นั่งเฝ้าอาการอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน มือข้างนั้นทั้งบวมทั้งเขียวช้ำน่ากลัว
อ๋องเยียนต้องรีบกลับกองทัพ แต่เพราะเจ้าคนชั่วของหลี่เฟิ่งเซียนป่วยหนักมาก และหลี่เฟิ่งเซียนอย่างไรก็ไม่ยอมทิ้งเขา อ๋องเยียนจึงต้องจำยอม ต้องพาหลี่เฟิ่งเซียนและเจ้าคนชั่วของนางตามไปด้วย อ๋องเยียนต้องออกเงินเช่ารถม้า จ้างหมอดูแลระหว่างทาง เพื่อพาคนทั้งหมดไปด้วยกัน ระหว่างทางเจ้าคนชั่วสลบไสลไม่ได้สติตลอดเวลา
ใช้เวลาเดินทางสองวันหนึ่งคืน ในที่สุดเมื่ออาทิตย์ลับหลังเขา อ๋องเยียน หลี่เฟิ่งเซียนและคณะเดินทางเล็กๆ ของพวกเขาก็ตามขบวนกองทัพใหญ่ทัน
“ลูกพ่อ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ เจ้าดูผอมไปมาก” แม่ทัพที่เคยยิ่งใหญ่ ยามนี้กลายเป็นชายแก่ที่ห่วงลูกสาวมาก
“ข้าไม่เป็นไรท่านพ่อ” หลี่เฟิ่งเซียนร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
“แก้มของเจ้าไปโดนสิ่งใดมา ใครมันบังอาจ!” แม่ทัพหลี่โมโหทันที
“ไม่ใช่ท่านพ่อ นี่เป็นของปลอม เพื่ออำพรางตัวเจ้าค่ะ” หลี่เฟิ่งเซียนพูด
“ตอนนี้ก็ยังต้องพรางตัวอยู่หรือลูกพ่อ” ท่านแม่ทัพสงสัย
“เอ่อ ..ไม่เจ้าค่ะ แต่ยังเอาออกไม่ได้ เพราะข้าไม่รู้วิธีเอาออก”
“เจ้าไม่รู้..” เขากะพริบตาสองครั้งอย่างงุนงง
“เอิ่มม...เอาไว้ข้าจะเล่าให้ท่านพ่อฟังเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าหิวมาก” หลี่เฟิ่งเซียนตัดบท
“อ้อๆ พ่อลืมไป ..นี่เจ้า ไปสั่งให้พ่อครัวเตรียมอาหารอย่างดีมาให้ลูกสาวของข้า” แม่ทัพหันมาสั่งกับสาวใช้
หลังจากนั้น หลี่เฟิ่งเซียนก็กินไปด้วยเล่าเรื่องราวที่ตัวเองประสบให้แม่ทัพหลี่ฟังไปด้วย แต่เลือกจะข้ามเรื่องที่เจ้าคนชั่วกระทำกับนางในคุกใต้ดิน เพียงเล่าว่าเป็นเขาที่หลอกล่อพวกของขันทีหลงอี้จนนางยังปลอดภัยอยู่
ท่านแม่ทัพโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เกรี้ยวกราดด้วยอารมณ์เดือดดาล เขาไม่มีทางยอมให้ลูกสาวคนเดียวได้รับความอยุติธรรม จะกลับไปจัดการขันทีหลงอี้ให้ได้ แต่ยังดีที่ได้อ๋องเยียนผู้สงบห้ามไว้ เขาบอกว่าจ้าวเหลียงจับตัวน้องชายร่วมสาบานของขันทีชั่วนั่นได้ หากรวบรวมหลักฐานและส่งฎีการ้องเรียนขึ้นไปที่ฮ่องเต้โดยตรง นอกจากจะจัดการขันทีหลงอี้ได้ ยังสามารถทำผลงานเรื่องหอนางโลมผิดกฎหมายและเรื่องเด็กสาวที่หายตัวไปในช่วงนี้ได้ด้วย
สุดท้ายแม่ทัพจึงปล่อยให้อ๋องเยียนจัดการเรื่องพวกนี้ เพราะเขายังต้องดูแลควบคุมขบวนทัพใหญ่ไปที่ชายแดน
ผ่านไปสิบกว่าวัน การเดินทางไปยังชายแดนสวีโจวเต็มไปด้วยล่าช้า เพราะเป็นขบวนทัพใหญ่และยังเพิ่มความวุ่นวายอย่างคุณหนูใหญ่เข้ามาอีกคน
ระหว่างการเดินทาง หลี่เฟิ่งเซียนกลับมาเป็นคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจ ทิ้งเรื่องราวเลวร้ายที่ตัวเองพบเจอเอาไว้ด้านหลัง ไม่หันกลับไปทบทวนหรือพยายามนึกถึง นางไม่อยากยอมรับว่านางที่เป็นคุณหนูใหญ่เช่นนี้ ครั้งหนึ่งจะยอมกระทั่งเคี้ยวกิ่งไม้ ดื่มน้ำจากเสื้อเน่าเหม็น นอนในคุกใต้ดิน
แม้นางจะเป็นห่วงเจ้าคนชั่วมาก ยิ่งมือซ้ายยิ่งน่ากลัว มันทั้งบวมเขียวช้ำและเริ่มมีหนอง แต่นางไม่ยอมเฝ้าด้วยตัวเอง สาวใช้ในกองทัพก็มีไม่เพียงพอ เดือดร้อนทหารหลายคนต้องมาคอยดูแล ขบวนทัพเกิดความวุ่นวายหลายครั้ง จนท่านแม่ทัพต้องหักใจ ออกกฎสั่งลูกสาวสุดที่รักห้ามใช้ทหารตามใจตัวเองเด็ดขาด
เจ้าคนชั่วของนางแม้จะมีหมอของกองทัพคอยดูแลแล้วก็ยังไม่ฟื้นสักที ยังคงมีไข้สูงจนน่ากลัว วันหนึ่งระหว่างช่วงพัก หลี่เฟิ่งเซียนสั่งให้สาวใช้ย้ายเขาไปนอนที่กระโจมส่วนตัวของนาง เพราะเริ่มเข้าเขตสวีโจวแล้วอากาศก็เริ่มเย็นลงมาก นางกลัวว่าเขานอนในกระโจมทหารจะเป็นการเร่งให้เขาตายเร็วขึ้น
แต่สาวใช้ไม่มีแรงมากพอจะย้ายชายตัวสูงผอมแห้งผู้หนึ่งได้ หลี่เฟิ่งเซียนหลังจากด่าสาวใช้ไปยกใหญ่ สุดท้ายนางจึงตัดสินใจอุ้มเขาไปด้วยตัวเอง แม้จะทุลักทุเล แต่นางก็แบกเขาขึ้นหลังจนได้
“คุณหนูใหญ่ ระวังเจ้าค่ะ” สาวใช้คอยเดินตามหลังคอยพูดอย่างเป็นห่วงว่าคุณหนูใหญ่จะทำคนป่วยตกพื้น
“เจ้าเงียบสักที ข้ากำลังระวังอยู่” หลี่เฟิ่งเซียนบ่นอย่างหงุดหงิด
“ข้าก็บอกท่านแล้วว่าไม่ต้องย้าย อีกไม่กี่ชั่วยามก็ต้องออกเดินทางแล้ว” สาวใช้บ่น
“เจ้าหยุด ข้าเหนื่อย!” หลี่เฟิ่งเซียนตะคอก
“ได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงไม่เข้าใจ” สาวใช้ยังคงบ่นต่อไป
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดพูด!”
สองนายบ่าวต่างทะเลาะกัน จนกระทั่งหลี่เฟิ่งเซียนแบกเจ้าคนชั่วของนางเข้ากระโจมของตัวเองได้และวางเขาลงบนเตียงของนาง
“ข้าไม่เข้าใจเลยเจ้าค่ะ ท่านตั้งใจตามท่านอ๋องเยียนมาที่นี่เพื่อเกี้ยวเขา เหตุใดไม่ไปตามเกี้ยวท่านอ๋อง กลับมาวุ่นวายกับคนป่วยผู้หนึ่งที่ท่านก็รู้ดีว่าเขาใกล้ตาย” สาวใช้บ่น ระหว่างที่รินน้ำชามาให้ลี่เฟิ่งเซียน
สาวใช้คนนี้ เป็นสาวชาวบ้านที่ถูกจ้างมาดูแลอาหารระหว่างกองทัพเดินทาง ก่อนมานางเป็นเพียงสาวชาวบ้าน ไม่เคยเรียนรู้มารยาทในจวนของขุนนาง นางจึงปากมากไปบ้าง ถึงแม้เรื่องที่นางพูดจะเป็นหลี่เฟิ่งเซียนเป็นคนเล่าให้นางฟังก็ตาม
‘แต่นางจะมานั่งบ่นคุณหนูใหญ่ของจวนแม่ทัพหลี่เช่นข้าได้หรือ’ หลี่เฟิ่งเซียนด่านางในใจ เพราะไม่มีแรงจะพูดออกมาแล้ว
แต่ที่ไหนได้ ยู่ยี่ยังต้องรับเคราะห์เดินทางไปเมืองหลวงกับคุณหนูใหญ่อีก ที่เมืองหลวงไม่มีคนรับใช้แล้วหรือ เหตุใดนางถึงต้องถูกบังคับเข้าเมืองหลวง แต่บ่นไปก็เท่านั้น ทั้งท่านเขยกับคุณหนูใหญ่ต่างทำหน้าเบื่อหน่ายหลับตาแสร้งหลับ ไม่มีผู้ใดสนใจความเจ็บช้ำของหยวนหยวนตลอดการเดินทางหลี่เฟิ่งเซียนมักจะแอบมองมู่เฉินคนชั่วของนางบ่อยครั้ง ตั้งแต่นางรู้ตัวว่าชอบเขา นางก็รู้สึกดีใจที่ก่อนหน้านั้นบังคับให้เขาดื่มน้ำแกงไก่ตุ๋นยาสมุนไพรทุกเช้า เพราะยามนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นคนงามผู้หนึ่ง ริมฝีปากบางอมชมพู จมูกคมเป็นสัน สองแก้มแม้จะยังไม่เต็มกรอบแต่ก็น่าจับเล่น สันกรามเด่นชัดชวนใจเต้น คิ้วคมยาวเรียวคล้ายรูปดาบ โดยเฉพาะนัยน์ตาคู่นั้น ยิ่งมองนางยิ่งหลงใหลแม้ตอนนี้ผมด้านหน้าที่นางตัดจะยังไม่ยาวเท่าผมส่วนอื่น แต่ก็เริ่มยาวมาถึงคางแล้ว นึกดูแล้วหลี่เฟิ่งเซียนก็แอบดีใจไม่น้อยที่ตอนนั้นนางใช้กระบี่ตัดผมของเขาไปหย่อมหนึ่ง อย่างน้อยก็ได้ตัดวาสนาสาวงามของเขาไปหลายพันเส้น ไม่เช่นนั้นนางอาจต้องมานั่งกลุ้มเรื่องที่เขางดงามจนใครก็ต้องการแย่งชิงแต่ในใจของลู่มู่เฉินกลับรู้สึกว่านางต้องไม่พอใจเขามากแน่ถึงไ
“ข้าไม่เป็นไร มันหายแล้ว แต่มันไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรก็ยังต้องเป็นเช่นนี้เวลาอากาศหนาวมากๆ” เขาหลบตามองต่ำอธิบาย“เช่นนั้นเพราะหนาวหรือถึงได้เจ็บ” นางถาม ลู่มู่เฉินพยักหน้าหลี่เฟิ่งเซียนทำหน้าดุก่อนจะวิ่งไปที่เตียงดึงผ้าห่มมาห่อตัวเขาไว้“แล้วเจ้าหนีมานอนที่พื้นเพื่ออันใดกัน ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก หากข้าเมาก็ต้องเรียกข้าให้เอาผ้าห่มให้เจ้า เข้าใจหรือไม่” นางดุลู่มู่เฉินพยักหน้ารับอีกครั้ง แต่ไม่กล้ามองนาง ไม่กล้าบอกนางว่ามือข้างนี้จะไม่หาย มันยังคงต้องเจ็บเช่นนี้ไปตลอดชีวิต แม้จะตัดทิ้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่มีอยู่จริงก็ยังเกิดขึ้น เวลานี้ก็ยังรู้สึกเจ็บมาก แต่อย่างไรก็ต้องทนต่อไป เขาไม่ต้องการให้นางไม่สบายใจแต่ห่มผ้าให้เขาแล้วนางก็ไม่ยอมไปไหน ยังคงนั่งมองเขา ทั้งยังกระเถิบมาใกล้ขึ้นจ้องมองเขาไม่วางตา ลู่มู่เฉินได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยคำพูด แต่แล้วนางก็ยกมือขึ้นมาเช็ดบางอย่างที่ข้างแก้ม“เจ้านอนน้ำลายไหลเปื้อนแก้มด้วย”“!!..” เขาตกใจรีบก้มหน้าไม่ยอมให้นางเช็ดคราบน้ำลาย“ชิ ทำเป็นเล่นตัว อย่างไรเจ้าก็แต่งกับข้าแล้ว เป็นหรือตายก็ต้องเป็นคนของข้า” หลี่เฟิ่งเซียนรู้สึกอารมณ์เสีย เมื
เขาจึงยังไม่ได้พูดคุยกับนางให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้แต่คาดเดา เพราะเขาถามอ๋องเยียนก็แล้ว ท่านหมอก็ถามแล้ว แม้แต่แม่ทัพหลี่เขาก็พยายามถามแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดตอบคำถามของเขา"ตาของเจ้างดงามมากจริงๆ ราวกับเก็บดวงดาวยามค่ำคืนไว้ทั้งท้องฟ้า" พูดแล้วนางก็ล้มใส่ตัวเขา หลับไปทั้งเช่นนั้น‘ความฝันที่เป็นได้เพียงความฝัน ห้ามคิดฝันเกินตัว มันต้องมีบางสิ่งทำให้ท่านแม่ทัพตัดสินใจเช่นนี้ นางต้องทำความผิดใดจนท่านแม่ทัพโกรธ จนต้องลงโทษนางให้แต่งกับคนอัปลักษณ์ใกล้ตายเช่นเขา’ ลู่มู่เฉินตักเตือนตัวเองเขามั่นใจว่างานแต่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะนางชอบเขา หรือเพราะดันมีคนรู้เข้าว่าเขาชอบนาง เขารู้ว่าต้องมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น นางจึงถูกบังคับให้แต่งกับเขาเขารู้ว่านางพูดชมเขาโดยไม่มีสิ่งใดลึกซึ้ง เพราะนางเป็นคนเช่นนั้น ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ เพียงแต่..ทุกครั้งที่นางพูดเช่นนี้ ในอกของเขายังคงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะ ในท้องปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกำลังโผบินลู่มู่เฉินแอบยิ้มน้อยๆ งานแต่งนี้อาจต้องจบลงสักวัน เขาย่อมรู้ดี แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นงานแต่งของเขากับนาง หากนางยังตื่นอยู่ เขาก็จะปั้น
แม่ทัพหลี่หันหน้าแบบประหลาดมากมามองลูกสาว เขากะพริบตาไล่ความงุนงง สังเกตอาการของลูกสาวที่หน้าแดงกระวนกระวายทำสิ่งใดไม่ถูก จู่ๆเขาก็เข้าใจทุกอย่าง‘ข้าว่าแล้วเชียว เท่าที่จำได้ ไอ้หนุ่มนั่นเป็นคนเดียวที่ทำให้ลูกข้าเงียบได้ใช่หรือไม่ แต่มันดูแลลูกข้าได้แน่หรือ ถึงอย่างไรนางก็ดูจะชอบมันเข้าแล้วจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นนางเป็นเช่นนี้เลย’ แม่ทัพหลี่คิด ยิ่งคิดยิ่งตกใจ นี่เขาไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ สุดท้ายเขาไม่พูดสิ่งใดแต่เดินดุ่มๆ ออกไปจากห้องโถงทันทีปล่อยให้หลี่เฟิ่งเซียนและอ๋องเยียนมองตามอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะคิดบางอย่างได้และตะโกนออกไป“ท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขานะ!!” แล้วนางก็วิ่งตามแม่ทัพออกไป อ๋องเยียนค่อยๆพ่นลมออกมา รู้สึกโล่งอกที่คนถูกฆ่าไม่ใช่เขาลู่มู่เฉินกำลังช่วยเตรียมยาให้ทหารนายหนึ่ง ขาของเขาขาด ไม่ได้ทำแผลให้สะอาดแต่ต้น ยามนี้จึงทั้งบวมและเป็นหนอง“ลู่มู่เฉิน!!” แม่ทัพหลี่ตะโกนเรียกชื่อเขาแต่ไหล “หยุดนะท่านพ่อ ห้ามฆ่าเขาเด็ดขาด!” หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งตามหลังแม่ทัพหลี่มาติดๆ ตะโกนอย่างร้อนรนลู่มู่เฉินไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นางคงก่อเรื่องอีกแล้ว เขาถอนหายใจ ยื่นห่อยาให้ทหารอย่างใจเย็น ก
หลี่เฟิ่งเซียนค่อยๆหันกลับไป กะพริบตาปริบๆ ไม่อยากเชื่อว่าใครๆก็มองออก แต่นางไม่รู้ตัว นี่นางโง่เพียงนี้เชียวหรือ“เจ้าไม่ชอบเขา แล้วสั่งทำกล่องเข็มให้เขาทำไมหรือ” นางยังคาใจ“ท่านเป็นคนสัญญาว่าจะออกเงินสร้างสิ่งที่เขาอยากได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ เขาบอกว่าอยากได้กล่องเข็มครบ 18 แบบ ข้าจึงไปสั่งร้านช่างในหมู่บ้านให้ ใช้เวลาหลายสิบวันกว่าจะเสร็จ วันก่อนช่างเอามาส่งแต่ข้าลืมบอกท่าน” ยู่ยี่อธิบายนางสัญญาไปเช่นนั้นจริงๆ นางรีบร้อนจะตามอ๋องเยียนไปขี่ม้าดูบึงใหญ่ จึงรับปากเขาไปส่งๆ จนนางก็ลืมไปแล้ว ดังนั้น ถือว่ากล่องเข็มนี้นางเป็นคนมอบให้เขา ไม่ใช่ยู่ยี่หัวใจของหลี่เฟิ่งเซียนพองโต นางไม่ต้องแย่งชิงเขากับยู่ยี่ เขาไร้ญาติขาดมิตร ครอบครัวก็ไม่มี ขอเพียงนางรวบหัวรวบหาง เขาต้องเป็นของนางแน่ ถึงเขาจะน่าเกลียดมากไปหน่อย แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยนัยน์ตาของเขางดงามมาก นางชอบนัยน์ตาของเขาที่ราวกับเก็บดวงดาวไว้ทั้งท้องฟ้ายามค่ำคืนคิดแล้วนางก็หยุดตัวเองไม่ได้ อยากจะไปหาเขาตอนนี้เสียเลย หลี่เฟิ่งเซียนวิ่งไปหาลู่มู่เฉิน ไม่สนใจว่ายามนี้ดึกมากเพียงใด ยู่ยี่ห้ามอย่างไรนางก็ไม่ฟัง นางเอากล่องเข็มไปด้วย นางอยาก
“แล้ว..เกิดอะไรขึ้น” แม่ทัพหลี่เบาเสียงลง กลัวจะทำให้ลูกสาวเสียงดังมากขึ้น“...ข้าก็ไม่รู้ เขาคงไม่อยากให้ข้าไปยุ่งกับเขา” นางตอบเบาลง“เหลวไหล ใครจะไม่อยากยุ่งกับลูกพ่อ” แม่ทัพหลี่รีบเอาใจ“มาๆ กินเยอะๆ เดี๋ยวพ่อไปถามให้ ถ้าเขาไม่ยอมพูด พ่อจะบังคับให้เขาพูดให้ได้” เขาหยิบอาหารใส่ถ้วยให้นาง เอาอกเอาใจลูกสาวเต็มที่“ไม่ต้อง ข้า..ข้าจะ ไปถามด้วยตัวเอง”หลี่เฟิ่งเซียนพอจะนึกบางอย่างได้ นางพาลู่มู่เฉินมาที่นี่ อ้างว่ามารักษาตัว แต่ไม่เคยถามว่าเขาอยากอยู่หรือไม่ ท่านพ่อของนางเป็นถึงแม่ทัพ หากเขาไม่เอ่ยปาก ผู้ใดจะกล้าออกไปจากที่นี่ บางทีลู่มู่เฉินอาจไม่อยากอยู่ที่นี่ เขาอาจรู้สึกไม่ต่างจากถูกคุมขังในกรงสุนัข เขาอาจอยากกลับไปหาครอบครัวสุดท้ายหลี่เฟิ่งเซียนตัดสินใจจะถามให้กระจ่าง นางตามหาเขาจนพบเขาอยู่ที่ห้องเก็บยา“ลู่มู่เฉิน ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” หลี่เฟิ่งเซียนมาถึงก็ถามตรงๆ“..อืม” เขาหันมามองนางครู่หนึ่ง และหันไปยุ่งกับการตวงยาต่อไป“เจ้าอยากกลับบ้านของเจ้าหรือไม่”“ใครบ้างจะไม่อยากกลับบ้าน”เขาตอบตามจริง แต่นางรู้สึกบางอย่างในอกหนักอึ้ง“เจ้ามีบ้านหรือไม่ มีพ่อแม่ ภรรยา...หรือคนที่รอใ