ภายในห้องส่วนตัวด้านในที่ลึกที่สุดของตัวเรือน
โม๋เอ๋อร์ถูกเรียกเข้ามาเพียงผู้เดียว หญิงสาวนั่งคุกเข่าต่อหน้าวั่นหรงอย่างงุนงงเป็นที่สุด
นางทำอันใดผิดไปหรือไร แต่นางไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชใส่ผู้ใดเลยนี่นา
หญิงสาวเอียงหน้าเล็กน้อยกลอกตาไปมาอย่างไม่เข้าใจในชีวิต
การถูกฮูหยินใหญ่เรียกเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพียงลำพัง นั่งจ้องหน้ากันเพียงสองต่อสอง ทำนางอดหวาดหวั่นมิได้
นางนับถือฮูหยินใหญ่ประหนึ่งมารดา จึงไม่แปลกหากนางจะเกรงใจเป็นอย่างมาก ไม่กล้าล่วงเกินเลยแม้แต่น้อย
หมาแมวหากได้ข้าวได้น้ำย่อมซื่อสัตย์สุดชีวิตอยู่เหย้าเฝ้าเรือนยินดีรับใช้ตลอดไป
บุญคุณแค่เพียงน้ำหยดย่อมทดแทนด้วยน้ำทั้งทะเลสาบ
โม๋เอ๋อร์แม้โง่เขลา แต่เรื่องนี้อย่าได้ดูเบานางเชียว
แต่สิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อวั่นหรงคุกเข่าลงตรงหน้าของโม๋เอ๋อร์
หญิงสาวให้รู้สึกตกใจนัก “ฮูหยินใหญ่ ท่านจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ? คุกเข่าให้ข้าทำไม?”
วั่นหรงถามเสียงเบา “โม๋เอ๋อร์ ข้าดูแลเจ้าดีหรือไม่?”
โม๋เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ดีเจ้าค่ะ”
“แล้วข้าเลี้ยงดูเจ้าขาดตกบกพร่องสิ่งใดหรือไม่?”
หญิงสาวรีบส่ายหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่ได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้าพึงพอใจไม่น้อย
หากเทียบกับโทษฐานความผิดร่วมที่โม๋เอ๋อร์อาจจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าแล้ว การคุกเข่าอย่างเสียเกียรติเช่นนี้ สำหรับวั่นหรงแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร นางจึงข่มใจก้มหน้ากลั้นหายใจพร่างพรูออกมาในที่สุด
“โม๋เอ๋อร์ บุญคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามา ข้าไม่ขอสิ่งใดเป็นการตอบแทนทั้งนั้น แต่เพื่อหยูเสวี่ยแล้ว แม่คนนี้ขอเห็นแก่ตัวแบกรับความอัปยศอดสูเอาไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว ขอเพียงเจ้ายอมไปเป็นพระชายาให้องค์รัชทายาทสูงศักดิ์ได้หรือไม่?”
“หา!”
เหตุที่วั่นหรงตัดสินใจเช่นนี้
ก็เพราะมั่นใจในรูปโฉมของโม๋เอ๋อร์เหลือเกิน
เด็กคนนี้นางมองออกได้ไม่ยากว่าจักสะคราญโฉมเหนือสตรีใดตั้งแต่ได้พบพานสบตากันคราแรกแล้ว ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งเลอโฉมเลิศล้ำโดดเด่นเป็นสาวงามสะพรั่งยากหาใครเทียม
อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ วั่นหรงคิดเรื่องนี้เผื่อเอาไว้แล้วตั้งแต่รับตัวโม๋เอ๋อร์เข้าบ้านเมื่อสามปีก่อน จากนั้นก็จัดการเก็บตัวหยูเสวี่ยกับโม๋เอ๋อร์เอาไว้แต่ในเรือน งานเลี้ยงใดก็ไม่เคยให้ไปปรากฏโฉมที่ไหนทั้งนั้น
วั่นหรงทำกระทั่งว่ายินยอมให้โหวเซินผู้เป็นสามีของตนพาฮูหยินรองที่เขารักหนักหนาพาธิดาสุดที่รักของพวกเขาออกงานแทนนาง โดยที่นางทำทีว่าเจ็บป่วยไม่สะดวกเดินทางเสียทุกครั้งไป
แม้แต่วันเกิดแต่ละปี ยังมีเล่ห์กลสารพัดมิให้ผู้ใดได้ยลโฉมบุตรสาว กระทั่งพิธีปักปิ่นอันสลักสำคัญ วั่นหรงยังให้หยูเสวี่ยแกล้งเป็นหวัดปิดหน้าเหลือแต่ดวงตา เพื่อที่ว่าไม่ต้องการให้ผู้ใดที่มาร่วมพิธี ได้เห็นใบหน้าของบุตรสาวทั้งสิ้น
ตระกูลใหญ่สูงส่ง หากมีบุตรหลานเป็นบุรุษ แน่นอนว่าต้องออกย่ำพสุธาประกาศกร้าวให้ก้องฟ้า ว่าข้าคือใคร
แต่บุตรหลานที่เป็นสตรีกลับตรงกันข้าม พวกนางไม่ได้รับสิทธิ์ในการออกเที่ยวเตร่หรือปรากฏโฉมต่อธารกำนัลอยู่แล้ว สิบกว่าปีที่ได้รับการเลี้ยงดูแต่ในบ้าน เติบใหญ่อย่างมิดชิด ประคบประหงมภายในเรือนเร้น นับว่าสมควรยิ่ง
การแต่งงานที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้เห็นหน้ากันครั้งแรกเมื่อผ้าสีแดงมงคลเปิดขึ้น จึงไม่นับว่าเป็นอะไร
ทั้งนี้ในวันที่ราชโองการมอบสมรสพระราชทานมาถึงจวนโหวโดยขันทีผู้หนึ่ง
วั่นหรงยังให้หยูเสวี่ยแกล้งเจ็บป่วยหนัก ผื่นขึ้นเต็มหน้าและเนื้อตัว จำต้องน้อมรับพระราชโองการอยู่หลังฉากบังตา
ยามต้องมารับกระดาษผ้าสีทองจากมือขันที ยังเป็นนางที่ยอบกายรับเองแต่เพียงผู้เดียว
ทุกสิ่งก็เพื่อการณ์นี้ การที่วันหนึ่ง หยูเสวี่ยสุดที่รักจักต้องถูกจับยัดเยียดให้แก่บุรุษสูงศักดิ์มากภรรยา จนชีวิตไร้ความสุขเฉกเช่นนาง
โม๋เอ๋อร์จะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพื่อหยูเสวี่ยของนาง
ไม่นานต่อมา...
เมื่อความชัดเจนบังเกิดในใจด้านมืดดำจนไม่สนใจความถูกต้องในทุกสิ่ง ไม่เห็นแล้วว่าเรื่องใดควรมิควร ขอเพียงบุตรสาวสุดที่รักผู้อ่อนหวานบอบบาง ไม่ต้องมีชีวิตที่ลำบากด้วยมีสามีมากภรรยาทั้งยังโหดเหี้ยมเย็นชาน่าสะพรึง
วั่นหรงจึงแอบเคี่ยวกรำโม๋เอ๋อร์เป็นพิเศษโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้หรือระแคะระคาย
เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา ฮูหยินใหญ่แห่งจวนโหวก็ดูแลสาวใช้คนสนิทของบุตรีผู้นี้อย่างดีเสมอมา
ยามฝึกฝนทุกสิ่งที่สตรีพึงมี ทั้งหยู่เสวี่ยและโม๋เอ๋อร์ก็ได้ร่ำเรียนด้วยกันอยู่แล้ว จึงไม่แปลกอันใดทั้งนั้น
ท่ามกลางการถูกฝึกหนักให้เป็นสตรีดีพร้อม โม๋เอ๋อร์ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูของฮูหยินใหญ่ตลอดเวลาว่า
“โม๋เอ๋อร์เด็กดี ต่อให้เจ้าดีดพิณไม่เก่ง วาดภาพไม่งาม ร่ายกลอนไม่ไพเราะ แต่ขอเรื่องเดียว เจ้ายั่วยวนให้มากหน่อย ร่ายมารยาเข้าไป ใส่เสน่ห์เข้าไว้ มีจริตเป็นที่สุด ทำให้ชายผู้นั้นหลงใหลเจ้าให้ได้ แล้วเจ้าจะปลอดภัย ทุกสิ่งจะลงตัว เจ้ามีอำนาจมากพอที่จะสามารถปกป้องหยูเสวี่ยได้ เพียงแค่เท่านี้ ข้าก็นอนตายตาหลับแล้ว...”
ถึงแม้ว่าโม๋เอ๋อร์จะไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากแต่เรื่องสมสู่ระหว่างเพศเมียและเพศผู้ เป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่นับว่าเป็นอันใด
นางจึงแย้มยิ้มพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทุกสิ่งไม่มีดื้อดึง
“เซียนเอ๋อร์”“อาเหอ...ข้าไม่ไหวแล้ว”ยามนั้น ทั่วทั้งบ่อน้ำส่องแสงสีทองสลับสีแดงชนิดเข้มข้น ยังผลให้ผู้จ้องมองแสบตาจนมิอาจฝืน เฉินเหอไท่พยายามเหลือเกินที่จะเพ่งพิศภรรยา ทว่าก็ไม่อาจทำได้ ทั้งยังคล้ายกับว่าตัวเขาถูกพลังบางอย่าง ผลักจนกระเด็นออกจากบ่อน้ำ ทำได้เพียงแข็งขึงหยัดยืนให้ร่างสูงตระหง่านอยู่ริมบ่อเท่านั้นรอบกายของเขาคล้ายมีพายุหมุน เส้นแสงแสบตาพาให้ไม่สามารถทอดมองสิ่งใดสายลมดังอู้ๆ สองหูอื้ออึง นัยน์ตายังพร่ามัว ทั้งสมองยังขาวโพลน ผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ เมื่อพลังเร้นลับมหาศาลสลายหายไป เฉินเหอไท่จึงได้โอกาสลืมตา ทว่าเมื่อได้เห็นลำตัวหนาแกร่งพลันชาวาบในบ่อน้ำร้อนปราศจากร่างภรรยา…“เซียนเอ๋อร์”ชายหนุ่มกระโจนลงน้ำ แหวกว่ายพร้อมร้องเรียกอย่างตื่นตระหนกในแบบที่ไม่เคยเป็น“เซียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด”บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้กว้างมาก ทั้งยังลึกยิ่ง เฉินเหอไท่ดำน้ำลงไป แล้วว่ายขึ้นมา ดำลงไปอีก มองหา ขึ้นมา ดำลงไป วนเวียนอยู่เช่นนั้น เขาดำน้ำวกวนทั่วก้นบ่อ ก็ยังไม่พบภรรยา จากนั้นก็ว่ายขึ้นมาแล้วตะโกนก้อง“เซียนเอ๋อร์ ตอบข้า”ยิ่งนานเสียงเรียกยิ่งร้อนรนขึ้นทุกที“ได้โปรด เซียนเอ๋อร์”แต่ก
สายลมโชยผ่าน ม่านแดดที่คลี่คลุมเจือจางลง แทนที่ด้วยอาทิตย์อัสดงเมื่อคำนวณเวลาว่าภรรยาตื่นนอน ร่างสูงจึงเดินเข้าเรือน ก็เจอคนงามพาท้องกลมใหญ่เดินแช่มช้าออกมาจากห้องแล้ว“หิวหรือไม่?”เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยามเข้าจับประคองอย่างถนอม“หิวเจ้าค่ะ” เซียนเซียนแย้มยิ้มตอบ พลางซุกซบหาไออุ่นเฉินเหอไท่พาร่างขาวอวบกลมไปเอนหลังกับเบาะนุ่ม ก่อนโน้มตัวก้มหน้าจรดริมฝีปากร้อนชื้นกับหน้าผากกลมมน“รอครู่เดียว”ยามเอ่ยยังลูบหน้าท้องภรรยาแผ่วเบาอย่างรักใคร่ ทั้งยังไม่ลืมลูบไล้ลงต่ำไปที่เนินเนื้ออุ่นนุ่มที่บัดนี้บวมตึงยิ่งนัก ส่วนสงวนของนางบ่งบอกได้ว่า ใกล้กำหนดคลอดแล้วชายหนุ่มละฝ่ามือออกจากใต้กระโปรงภรรยาแล้วประทับจุมพิตที่แก้มสาวอีกครั้ง บอกเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า“เจ้าทนอีกไม่นาน”“อืม...”“กินให้อิ่ม หลับให้สบาย เข้าใจหรือไม่?”เซียนเซียนคลี่ยิ้มละมุนตาเอ่ยปากรับคำเนิบช้า“เจ้าค่ะ ท่านพี่”เฉินเหอไท่กดจูบที่กลีบปากนุ่มแดงแรงๆ หนึ่งทีแล้วลุกขึ้นไปจัดเตรียมอาหารเมื่อกินเสร็จ ชายหนุ่มยังจับหญิงสาวขึ้นอุ้มแนบอก พาเดินชมทิวทัศน์ยามราตรี รับสายลมเย็นฉ่ำชั่วครู่ ก็พาเข้านอนทุกวันหมุนเวียนไปเ
เฉินเหอไท่กักเก็บตัวตนนางเอาไว้ด้วยอ้อมแขนอบอุ่น แลกลมหายใจผะผ่าวเข้าผสาน นับเป็นการยับยั้งปราณเย็นขั้นสุดขั้วเอาไว้ได้ด้วยปราณร้อนระอุแห่งเขา ให้เปลี่ยนเป็นความร้อนแรงแห่งรักชายหนุ่มนับเป็นมนุษย์ที่มีพลังหยางเข้มข้น กระทั่งไอมารของเทพปีศาจยังต้องสยบอย่างยินดีเซียนเซียนอ่อนระทวยอยู่ใต้ร่างสามี กลายร่างเป็นเพียงภรรยาแสนดี ซุกซบไออุ่นอย่างออดอ้อนหญิงสาวมักจะเปล่งเสียงสดใสฉอเลาะ เรียกรอยยิ้มละมุนให้เกิดจากใบหน้าหยาบกระด้าง นำพาความอ่อนโยนแทนที่ความกร้าวแกร่งได้อย่างเหลือร้ายไม่นานต่อมา ฝ่ายภรรยาก็เริ่มมีอาการผิดปกติ นางเบื่ออาหารที่ชอบกินและง่วงนอนตลอดเวลา ไม่ชอบเอ่ยคำหวานออดอ้อนฉอเลาะอีกแล้ว แต่มักจะพร่ำบ่นดินฟ้าอากาศอย่างหงุดหงิดอันไร้เหตุผล ฝ่ายสามีแรกเริ่มก็อดทนไม่คิดขัดใจ กระทั่งรู้ว่านางตั้งครรภ์ นำพาความดีใจจนแทบเนื้อเต้น แต่กลับไม่อาจทนเห็นนางเบื่ออาหารทั้งไม่อาจให้นางปฏิเสธการกินอีกต่อไปไม่ว่าคนงามจะงอแงโวยวายอย่างไร เขาก็ได้แต่อมยิ้ม แล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายหยอกเย้า ออดอ้อนฉอเลาะให้นางอารมณ์ดี จะได้กินอาหารบำรุงได้มากหน่อย คืนวันแห่งวสันต์จึงเปลี่ยนเป็นหวานฉ่ำด้วยการหยอกเอินหลอ
กลางป่ารกทึบแมกไม้เขียวขจีดอกไม้บานสะพรั่งสัตว์ป่าน้อยใหญ่เคลื่อนกายแวะเวียนเซียนเซียนถูกเฉินเหอไท่พามาไกลหลายพันลี้จากแคว้นต้าซ่งจนถึงแคว้นต้าหมิง เพื่อเร้นกายอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจนรกหรือสวรรค์ทั้งนั้นเขามีบ้านหลังใหญ่อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ด้านซ้ายมีน้ำตกด้านขวาเป็นทิวทัศน์ร่มไม้ไหว ด้านหลังยังมีบ่อน้ำพุร้อนสราญใจสถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในแผนการที่เกี่ยวข้องกับการโค่นล้มเฉินหย่งจื้อที่วางเอาไว้ ชายหนุ่มสั่งลูกน้องฝีมือดีเข้ามาจัดการปลูกสร้างเนิ่นนานแล้ว เรียกได้ว่าเป็นดินแดนสำหรับภรรยาที่เขาลอบสรรสร้างเพื่อนางโดยเฉพาะใต้ร่มไม้ปลายน้ำตก ละอองเย็นฉ่ำฟุ้งกระจายผสานสายลมโบกโชย กลีบดอกไม้ปลิวละลิ่วเคล้าแสงตะวัน มีร่างสองสายแนบชิดสนิทเนื้อแทบแยกไม่ออก“ข้าชอบที่นี่” เซียนเซียนแย้มยิ้มงดงาม สดใสมีชีวิตชีวา แนบแผ่นหลังบอบบางกับแผงอกอบอุ่นของเฉินเหอไท่ ปล่อยร่างอรชรเข้าสู่วงแขนแข็งแรงราวสตรีไร้กระดูกชายหนุ่มจรดปลายจมูกกับเรือนผมเรียบลื่น เอ่ยเสียงนุ่ม “แน่นอนว่าเจ้าต้องชอบ”หญิงสาวเงยหน้าจูบปลายคางคมสันเบาๆ ส่งกระแสร้อนวาบให้ซาบซ่านถึงหัวใจ แล้วก้มหน้าซุกซบอยู่ในอ้อมกอดคล้ายแมวน้อยแสนเชื่อง คว
ดวงเนตรพญามังกรสีรัตติกาลเบิกขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ เฉินเหอไท่นำทัพออกหน้าไปตามแผนการที่วางเอาไว้ ทำการศึกห่างออกไปไกล ปิดเส้นทางมิให้ผู้ใดเข้ามาระรานยามที่เขาไม่อยู่ตัวเขาต้องจัดการทุกสิ่งให้เสร็จสิ้นที่ข้างนอก จึงป้องกันอาณาเขตแห่งนี้เอาไว้ให้อยู่อย่างปกติที่สุดทว่า...สิ่งที่เห็นทำให้เฉินเหอไท่นึกตระหนกไม่น้อย ถึงแม้ว่าแผนการยึดอำนาจเบ็ดเสร็จของเฉินเหอไท่จะสำเร็จลุล่วง หากแต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือเฉินหย่งจื้อส่งคนเข้ามาบุกโจมตีคฤหาสน์ จนเกิดศึกนองเลือดตลบหลัง เป้าหมายคือสะบั้นดวงใจแห่งเขาชายหนุ่มให้ได้คิดว่าเขาดูเบาความต่ำช้าของน้องชายผู้นี้มากจนเกินไปเสียแล้วเรื่องที่เขามีหญิงคนรักและแต่งงาน เจ้าเฉินหย่งจื้อกลับนำมาเป็นเครื่องมือหมายกำจัดเขาอย่างต่ำตมสิ้นคิดซึ่งแน่นอนว่าหากเซียนเซียนเป็นเพียงสตรีธรรมดาย่อมต้องกลายเป็นตัวประกันเข้าทางศัตรู แล้วถูกนำมาข่มขู่เขาทว่าความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น เฉินเหอไท่ย่อมรู้ดีกว่าใครสายตาคมเข้มกวาดมองไปทั่ว มีแววร้อนรนผสานอยู่อย่างไม่อาจระงับ ยิ่งเดินเข้ามายิ่งเห็นคราบเลือดข้นคลั่กปานธารารินไหล ก็ยิ่งหลั่งเหงื่อเย็นที่ฝ่ามือประเมินดูแล้วถึง
ค่ำคืนแห่งการรื่นเริงภายในพระราชวังต้าซ่งยังมีต่อเนื่องสามวันสามคืน หลังศึกปราบกบฏเสร็จสิ้นเมื่อฮ่องเต้ทรงอารมณ์ดีเต็มที่ จึงเรียกสนมถึงสองนางมาปรนนิบัติอย่างสุขสมบนเตียงบรรทมในตำหนักส่วนพระองค์ มีเสียงครวญครางถึงสามเสียงด้วยกันนอกจากเส้นเสียงรัญจวน ยังมีเสียงหัวเราะร่วนที่ร่วมกันเหยียดหยันอ๋องโง่บัดซบผู้หนึ่ง สนมทั้งสองล้วนด่าทอเฉินเหอไท่เพื่อเอาใจเฉินหย่งจื้อ ว่าสมควรตายเพียงใด ต่ำช้าแค่ไหนชั่วจังหวะที่เฉินหย่งจื้อกำลังปลดปล่อยตัวตนร้อนผ่าวเข้าสู่กายสาวของสนมคนงาม ลำคอพลันเจ็บแปลบ กรามพลันหลุดออก ความรู้สึกชาหนึบพลันถาโถมสองตาของฮ่องเต้ต้าซ่งเหลือกถลน เปล่งวาจามิได้ อึกอักอึดใจก็เห็นสนมคนหนึ่งตายอยู่หัวเตียงเมื่อใดมิอาจทราบ ส่วนอีกคนที่อยู่ใต้ร่างก็นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ลูกนัยน์ตาปูนโปนแทบออกมานอกเบ้า กลีบปากอ้าค้าง ยามใดก็สุดรู้ไร้เสียงเล็ดลอด ตกตายเงียบเชียบ ว่องไวรวบรัดหรือว่าจะเป็น...ความคิดชั่ววูบเกิดขึ้นพร้อมกับเงาร่างหนาใหญ่ในอาภรณ์สีดำจัดปรากฏกายเบื้องหน้า สู่ครรลองสายตาเฉินหย่งจื้อยิ่งเบิกตาโพลงเฉินเหอไท่ทักทายน้องชายจอมตระบัดสัตย์ด้วยแววตาคมกริบที่มองสบนิ่งขรึม เผย