ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ตัวเขาในวัยสิบเจ็ดปีได้มีโอกาสออกท่องเที่ยวนอกวังหลวงแบบส่วนตัว มิคาดว่าครานั้นจะเป็นกลอุบายให้ผู้ร้ายส่งนักฆ่านับร้อยล่าสังหารเขา ในขณะที่เขามีองครักษ์ติดตามเพียงไม่กี่คน
พวกมันต้อนเขาให้จนมุมไร้หนทางรอด กระทั่งเขาต้องหนีตายเข้าไปในป่าใหญ่รกทึบอันเร้นลับอับชื้น เจอกับฝูงหมาป่าตัวโตเขี้ยวใหญ่
พวกมันได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งของเขาที่ได้รับจากคมดาบฝ่ายศัตรู จึงรุมขย้ำเขาจนเลือดสาด เกือบสิ้นลมหายใจอยู่ใต้ต้นไม้เย็นเยียบ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หมิงเฉิงก็ค่อยๆ หลับตา นำพาความมืดมิดเข้าแทนที่แสงสลัวเลือนรางภายในห้องอาบน้ำ
แม้ม่านตาดำถูกเปลือกตาปกคลุมจนสิ้น หากแต่ห้วงคำนึงยังคงเห็นภาพของสตรีนางน้อยในชุดจิ้งจอกขนเงิน
บางทีอาจนางมิใช่สตรีธรรมดา ทั้งยังไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหนวี่เสิน[1]
แต่เมื่อได้ไตร่ตรองให้ดี ชายหนุ่มก็แน่ใจว่าเด็กน้อยนางนั้นมิใช่ภูตผี เพราะลมหายใจกรุ่นร้อนที่รินรดยามก้มหน้ามองเขา และฝ่ามืออบอุ่นที่แตะไหล่ของเขา ล้วนบ่งบอกได้ดีว่านางเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ทว่าพลังลมปราณเหนือสามัญเยี่ยงนั่นคืออันใดเขายังไม่แน่ใจ
หลายวันที่มีชีวิตรอดออกมาจากป่าทึบ หลายปีที่มีชีวิตหลังจากนั้น ระหว่างสืบหาศัตรูที่หมายเอาชีวิตเขาแล้วจัดการกับผู้ต้องสงสัยจนฉิบหายวายวอดหมดตระกูล เขาก็ออกเดินทางกลับไปตามหานาง
เคยได้ยินมาว่าคนจากโพ้นทะเลอีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดิน อาจจะมีผมสีทอง นัยน์ตามิใช่สีดำ บ้างเป็นสีฟ้า บ้างเป็นสีเขียว เขาจึงออกเรือไปตามหานาง จนเรือล่มแทบจะจมน้ำตาย ทว่ายังไร้ร่องรอยให้สืบค้นอันใดแม้แต่น้อย แต่กระนั้นตลอดห้าปีก็ยังคงไม่ลดละที่จะตามหานาง
จวบจนกระทั่งเขาอายุได้ยี่สิบสองปี ครั้งนี้หลังจากวุ่นวายกับการเข้ารับตำแหน่งรัชทายาท เสร็จสิ้นงานเฉลิมฉลอง เขาจึงถือโอกาสตามหานางอีกครา แต่ทว่าสิ่งไม่คาดคิดพลันบังเกิด เมื่อรัชทายาทหมาดๆ เช่นเขากลายเป็นเป้าหมายให้พวกผู้ร้ายหมายช่วงชิงตำแหน่งอันหอมหวานอย่างอุกอาจ
พวกมันเห็นเขายังไม่มั่นคงในตำแหน่งจึงหมายมาดว่าจะกำชัย จึงพากันมาหลายร้อยคน ส่วนเขามีราชองครักษ์นับร้อยเช่นกัน
แต่กระนั้น ฝีมือของทั้งสองฝ่ายกลับเท่าเทียม การตามล่าดำเนินไปไกลถึงกลางป่า การสังหารยังเป็นลักษณะของพวกนักฆ่าพลีชีพ เจ้าตายข้าม้วย ตายตกไปตามกัน ยากสืบสาว
หลังจากที่ทุกคนสิ้นชีพกันจนหมด ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายองครักษ์ ตัวเขาก็สิ้นไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะหายใจ ทำได้เพียงนอนแน่นิ่งเฝ้ารอความตาย
ทันใดนั้น สิ่งไม่คาดคิดพลันปรากฏเบื้องหน้า พร้อมปลายเท้าน้อยๆ คู่หนึ่ง
เด็กหญิงในวันวาน นางเติบโตขึ้นมาก แต่ยังคงเป็นเพียงดรุณีรุ่นเยาว์ ในวัยราวสิบเอ็ดสิบสองปี
ท่ามกลางแสงจันทรางดงาม เขาเห็นนางผ่านม่านตาพร่าเลือน ไม่อาจรับรู้ได้แจ่มชัด ว่าใบหน้าของนางเป็นเช่นไร ก่อนจะสิ้นสติไป
ภาพตราตรึงเมื่อความมืดคลี่คลุม คือดวงตาสีเขียวมรกต เส้นผมสีทอง สีผิวเรืองรอง ในห้วงแห่งความฝัน เขายังรู้สึกและรับรู้ได้ ถึงปราณเย็นสายหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ไม่รับรู้สิ่งใด
เมื่อตื่นลืมตามาอีกครา จึงได้เห็นองครักษ์ประมาณห้าคนกำลังลากองครักษ์คนหนึ่งมาตามทาง มือของมันกำแส้หนังเอาไว้แน่น และกำลังร่ำไห้เสียขวัญ หลังจากสอบถาม จึงได้รู้ว่าเจ้านั่นถูกเด็กรังแก
ตัวเขาปราศจากวาจาอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะสั่งปลดองครักษ์ทั้งหกคนให้ไปเป็นยามเฝ้าประตูวังแทน โทษฐานปล่อยแน่งน้อยของเขาหนีหายไป
ตลอดสามปีให้หลัง เขายังคงอดทนตามหานางไม่ย่อท้อ ด้วยภาพวาดจากปากยามเฝ้าประตูอดีตองครักษ์เหล่านั้น
เนื่องจากเจ้าพวกนั้นมองใบหน้าของนางไม่ชัดเจน รู้เพียงนางมีวรยุทธ์ที่สูงส่ง วิชาตัวเบาเป็นเลิศ ท่วงท่าปราดเปรียวจนน่าตกใจ หายตัวฉับไว และมีดวงตากลมโตแดงก่ำ
ภาพที่วาดออกมาจึงแปลกประหลาดนัก
หาอย่างไรก็ไม่พบ!
จวบจนตอนนี้เขาก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว นางเองก็คงเติบโตเป็นสาวสะพรั่งเต็มวัยแล้วเช่นกัน แต่ตัวเขาก็ยังไร้วี่แววได้พบพานกับนาง
หลายวันที่ผ่านมานี้ เขาเองก็ยังไม่ว่างเว้นในการตามหาอย่างโง่งม แต่ทว่าความหวังยังคงริบหรี่เต็มทน
หมิงเฉิงเอื้อมมือขึ้นลูบสันกรามและปลายคางที่สากระคายเพราะหนวดเคราเขียวครึ้ม เนื่องจากเดินทางไกลเข้าป่าใหญ่หลายราตรี แล้วกลับมาพร้อมความว่างเปล่าเหมือนทุกที
ชายหนุ่มถอนหายใจลึกยาวอยู่ในอก ก่อนจะเลื่อนกายแกร่งลงต่ำจมน้ำไป เส้นผมดำขลับแผ่สยายตามแรงกระเพื่อมของม่านน้ำไหว มองคล้ายภูตพรายงามภายใต้กระแสธารกรุ่น
เขาปล่อยตัวปล่อยใจให้อยู่ในห้วงคำนึงเนิ่นนาน ก่อนจะเลิกคิดไปเหมือนเช่นทุกครั้ง แล้วจัดการกับธุระของตนเองจนเสร็จสิ้น โกนหนวดเคราจนเผยใบหน้าหล่อเหลางามสง่าชวนมอง
ร่างสูงที่มีหยดน้ำเกาะเพราไปทั่วในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม เปี่ยมเสน่ห์แห่งบุรุษเพศเข้มข้น เดินมาหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือนอกห้องอาบน้ำถัดจากห้องนอน ข้างกายเป็นชั้นไม้สลักลวดลายวิจิตรมีช่องลับประณีตช่องหนึ่ง
หมิงเฉิงถอดสร้อยเถาวัลย์เขี้ยวราชสีห์ออกจากลำคอ นำไปใส่กล่องเอาไว้แล้วเก็บเข้าชั้นอย่างดี มิให้เกิดแม้แต่ริ้วรอย กระทั่งเถาวัลย์ยังจัดการหาใยไหมทองคำมาถักทอสอดประสานจนเหนียวแน่นไม่เปราะแตกหรือฉีกขาด เขาจะนำมาสวมเฉพาะยามเข้าป่าไปตามหาสตรีปริศนาก็เท่านั้น
ทว่า...นานมากแล้ว...
นานเหลือเกินที่เขาพบเพียงความว่างเปล่า การกระทำของเขาที่ผ่านมาช่างไร้ความหมาย
บางทีคงถึงเวลาแล้ว ที่เขาควรตัดใจ...
----------[1]女神 Nǚshén เทพธิดา
ตำหนักบูรพา...คู่ยวนยางยังคงไม่สนใจฟ้าดิน พวกเขานอนคุยกันบนเตียงอุ่นด้วยเนื้อตัวเรียบลื่นเปล่าเปลือย คลอเคลียกันไปมา เรียกเสียงครางแผ่วเป็นระยะ บอกรักกันด้วยลีลาร้อนแรงไม่มีเบื่อเมื่อเส้นเสียงครวญครางกระชั้นถี่ ถูกแทนที่ด้วยลมหายใจหนักหน่วงอันเกิดจากการปลดปล่อยขั้นสุด แล้วค่อยๆ ผ่อนลงคงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นในจังหวะปกติ การพูดคุยหยอกล้อระหว่างคู่ชีวิตจึงบังเกิด“ภรรยาอยากบอกสามีว่า ชอบท่านั้นที่สุดเลย”โม๋เอ๋อร์กล่าวเสียงใส นัยน์ตาวาบหวาม นึกถึงฉากรักร้อนแรงที่หมิงเฉิงมอบให้ แล้วเลือกฉากหนึ่ง ที่สุขสมสุดยอดนางกล่าวอีกประโยคด้วยความลังเลไม่แน่ใจ“อืม...อันที่จริง ท่านั้นก็ชอบ ท่านั้นก็ชอบ อ๊า...เลือกไม่ถูกเลย สับสนที่สุด”หญิงสาวกระสับกระส่ายเหลือเกิน ทั้งยังคิดมากอีกด้วย“หากเจ้าชอบ ไม่ว่าท่าใด ข้าย่อมทำบ่อยๆ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มกล่าวออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ “อันที่จริง สามีเจ้ายังมีอีกหลายกระบวนท่า ทั้งยังสุขสมถึงใจที่สุดของที่สุด เพื่อภรรยา...”โม๋เอ๋อร์หัวเราะคิก แนบเนื้อกายนุ่มบดเบียนกายแข็งขึง แล้วเอ่ยว่า “ภรรยาชอบสามีที่สุดเลย”เรียวคิ้วคมเริ่มขมวด เอ่ยเสียงแตกพร่าอย่างขัด
สงครามกบฏกลางเมืองยังคงดำเนินไป ไฟสงครามยังคงแผดเผา ร้อนฉานไปทั่วพระราชวังต้าหมิงจากราตรีจวบจนทิวากระทั่งราตรีมาเยือนอีกคราแล้วต่อด้วยทิวาอีกครั้ง การปะทะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นยังคงดังกึกก้องสะท้านฟ้าหมิงจินนำทัพขึ้นหน้าอย่างอาจหาญ สู้ศึกกับหมิงเยวี๋ยนไม่มีถอย สร้างความสงสัยแก่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางไม่น้อย ทุกคนจับกลุ่มอยู่ในวิหารหลวง ยืนมองหมิงจินเป็นตาเดียวกันด้วยเห็นได้ชัดแล้วว่าบุตรชายปรากฏกายประกาศกร้าวอย่างห้าวหาญ แสดงอานุภาพเผยศักดาต่อธารกำนัล เจียงฮองเฮาจึงตัดสินใจบอกความจริงในที่สุดเนิ่นนานผ่านไป ...หลังจากอธิบายทุกสิ่งทุกเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ นับแต่ตั้งครรภ์กระทั่งคลอดจนถูกปองร้าย แล้วลอบเลี้ยงดูโอบอุ้มมาเช่นไร ความเคลือบแคลงสงสัย จึงถูกแทนที่ด้วยความตกใจกันยกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ และจบด้วยเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีจากบรรดาขุนนางโดยเฉพาะหมิงฮ่องเต้ทุกคนให้รู้สึกปรีดากันถ้วนหน้า ที่พระมารดาแห่งต้าหมิง มีบุตรชายเก่งกล้าถึงสองคน หนึ่งคือพยัคฆ์ร้ายราชันทมิฬหมิงเฉิง ที่อาจหาญตั้งแต่เด็ก กระทั่งเติบใหญ่ยังสู้ศึกชนะสิบทิศ ต่างแคว้นไม่กล้ารุกราน มีแต
ตำหนักบูรพา...คู่ยวนยางยังคงไม่สนใจฟ้าดิน พวกเขานอนคุยกันบนเตียงอุ่นด้วยเนื้อตัวเรียบลื่นเปล่าเปลือย คลอเคลียกันไปมา เรียกเสียงครางแผ่วเป็นระยะ บอกรักกันด้วยลีลาร้อนแรงไม่มีเบื่อเมื่อเส้นเสียงครวญครางกระชั้นถี่ ถูกแทนที่ด้วยลมหายใจหนักหน่วงอันเกิดจากการปลดปล่อยขั้นสุด แล้วค่อยๆ ผ่อนลงคงเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นในจังหวะปกติ การพูดคุยหยอกล้อระหว่างคู่ชีวิตจึงบังเกิด“ภรรยาอยากบอกสามีว่า ชอบท่านั้นที่สุดเลย”โม๋เอ๋อร์กล่าวเสียงใส นัยน์ตาวาบหวาม นึกถึงฉากรักร้อนแรงที่หมิงเฉิงมอบให้ แล้วเลือกฉากหนึ่ง ที่สุขสมสุดยอดนางกล่าวอีกประโยคด้วยความลังเลไม่แน่ใจ“อืม...อันที่จริง ท่านั้นก็ชอบ ท่านั้นก็ชอบ อ๊า...เลือกไม่ถูกเลย สับสนที่สุด”หญิงสาวกระสับกระส่ายเหลือเกิน ทั้งยังคิดมากอีกด้วย“หากเจ้าชอบ ไม่ว่าท่าใด ข้าย่อมทำบ่อยๆ” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มกล่าวออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ “อันที่จริง สามีเจ้ายังมีอีกหลายกระบวนท่า ทั้งยังสุขสมถึงใจที่สุดของที่สุด เพื่อภรรยา...”โม๋เอ๋อร์หัวเราะคิก แนบเนื้อกายนุ่มบดเบียนกายแข็งขึง แล้วเอ่ยว่า “ภรรยาชอบสามีที่สุดเลย”เรียวคิ้วคมเริ่มขมวด เอ่ยเสียงแตกพร่าอย่างขัด
ราตรีเหมันต์หิมะโปรยละอองคลุ้ง ทว่าเมืองหลวงต้าหมิงยามนี้ กลับไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็น เพราะกำลังมีเปลวเพลิงแห่งสงครามลุกกระพือโหมไหม้กองทัพกบฏยังคงเหิมเกริม ยิ่งมายิ่งมาก โดยมีทรราชนำทัพหน้าอย่างอหังการ คนผู้นั้นคือองค์ชายใหญ่หมิงเยวี๋ยน ขนาบข้างด้วยแม่ทัพหนุ่มเว่ยหลุนการก่อกบฏครั้งนี้เป็นฝีมือขององค์ชายใหญ่แห่งราชอาณาจักรต้าหมิง เขาเป็นผู้นำการก่อกบฏอย่างอาจหาญ ประกาศกร้าวยึดครองทุกสิ่ง ทั้งยังร่วมมือกับนักพรตเซียนขู่สิงอีกชั้นหนึ่ง รวมถึงเว่ยหลุนที่ทำทีเข้าหาหมิงเหอเพื่อหลอกใช้อีกฝ่าย ทั้งยังมีนักพรตเซียนขู่สิงส่งปีศาจจิ้งจอกเยาเยามาเป็นบ่าวรับใช้คอยเสริมความชั่วให้ชิงเฟยหากแผนการกบฏสำเร็จ หมิงเหอกับชิงเฟยย่อมไม่รอดอยู่แล้ว ตัวหมิงเยวี๋ยนแค่ยืมมือชายชั่วหญิงโฉดทั้งสองก็เท่านั้นข้อตกลงระหว่างหมิงเยวี๋ยนกับเซียนขู่สิง คืออำนาจในราชสำนักส่วนหนึ่ง แผ่นดินทั้งภูเขา สำนักอารามทั้งหลายในใต้หล้า เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่คับฟ้าไปด้วยกันทว่าใครไหนเลยจักคาดคิด ว่านักพรตผู้สูงส่งตบะกล้าแกร่งจะเจอก้างชิ้นใหญ่ที่เป็นถึงโม๋กุ่ยเสิน เขาถูกทำลายพลังวัตรไปหลายส่วน ลูกศิษย์ยังตายเกลื่อน แม้ว่ากายเนื้อ
ทางเดินภายในเรือนหมิงเสียงกง เกิดเสียงฝีเท้าวิ่งว่องไวหากรู้เช่นนี้ เขาย่อมเข้าหอกับนาง หากรู้เช่นนี้ เขาย่อมกอดนางเอาไว้ตั้งแต่คืนแรกที่แต่งงาน หากรู้เช่นนี้ เขาจักถนอมนางมากกว่าที่เคย จะไม่เอ่ยคำเย็นชาเช่นวันนั้นแม้ครึ่งคำหากรู้อย่างนั้น บางที ในท้องนางอาจมีลูกของเขาแล้วหมิงเฉิงกล่าวซ้ำๆ เพียงประโยคเดิมๆ ย้ำเตือนอยู่ในใจ ความรู้สึกหนึ่งไหลวนท่วมท้นในโพรงอกเจ้าเป็นของข้า ไม่มีสิทธิ์หายไปที่ใดทั้งนั้นเราแต่งงานกันแล้ว เป็นสามีภรรยากัน ตลอดไป...ชายหนุ่มพุ่งร่างหนาใหญ่เข้ามาในห้องส่วนตัว วิ่งวุ่นวายไปทั่ว พลันนึกขึ้นได้ว่านางเคยขอร้องแช่น้ำพุร้อนของเขา ท่าทางของนางต้องการเป็นอย่างมาก ดื้อรั้นหนักหนา ยามนี้นางอาจอยู่ที่บ่อน้ำนั่นเพียงไม่กี่ก้าว หมิงเฉิงก็มายังบ่อน้ำพุร้อนชายหนุ่มเห็นเสื้อผ้าสีเหลืองสดของคนที่กำลังตามหาถูกถอดทิ้งเอาไว้ที่ขอบบ่อในสภาพเปื้อนเลือดสีแดงฉาน เขาจึงไม่เสียเวลาตรึกตรอง รีบกระโจนตัวลงบ่อน้ำทันที บ่อนี้กว้างและลึกพอประมาณ สามารถแช่น้ำดำดิ่งได้ทั้งตัว ความอุ่นร้อนแล่นพล่านแทรกซึมไปทั่วร่างหนาในม่านน้ำพรางตา เห็นเพียงดวงหน้างามพิลาศเลือนรางหมิงเฉิงลงน้ำมา
ชั่วยามนี้ เหล่าภูตผีปีศาจทุกตัวล้วนเป็นอิสระ อำพรางตัววูบวาบหายไปจนสิ้น ไม่คิดทำร้ายมนุษย์ให้เสื่อมกายทิพย์แต่อย่างใด สงครามจึงเปลี่ยนไปในทิศทางอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทหารของวังหลวงไม่ต้องถอยร่นอีกแล้ว กำลังวังชาและพลังมากมายล้วนกลับเข้าร่าง พวกเขาเริ่มเห็นเค้ารางถึงกำชัยมุมหนึ่งห่างจากกลุ่มคนที่กำลังก่อสงครามเข่นฆ่าเผ่าพันธุ์ตนเอง เยาเยายืนเกาะต้นเสาแน่น ต่อสู้กับบทสวดมนต์อยู่เนิ่นนาน จนสุดท้ายก็ได้รับอิสระนางจึงเรียกรวมเผ่าปีศาจจิ้งจอกทั้งหลายให้เข้าจัดการกับพวกของนักพรตนอกรีตอย่างบ้าคลั่งสงครามจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างทหารกับกบฏ และนักพรตกับปีศาจจิ้งจอก…ตะวันลาลับขอบฟ้า ม่านราตรีเริ่มโรยตัว พาความมืดสลัวเข้าครอบคลุมไปทั่วทุกมุมเมือง ทว่าไม่นาน จันทร์งามเด่นกลับค่อยๆ โผล่พ้นขอบนภา แขวนค้างกลางเวหา นำพาความหวังแผ่วจางบางประการรำไรท่ามกลางปุยหิมะขาวจัด ที่ยังคงลอยว่อนไปทั่วเพราะศึกกบฏกะทันหันอันเกิดขึ้นกลางวังหลวง โอบล้อมเชื้อพระวงศ์เอาไว้ในพระวิหารจนสิ้นและโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ กลับมีเชื้อพระวงศ์คนสำคัญกำลังยืนตระหง่านอยู่ที่ตำหนักบูรพา เพื่อรอเวลาเข้าประหัตประหารกล