วันต่อมา
ธาวินไปพบณดลที่ห้องซ้อมดนตรีเพราะเมื่อวานทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน ด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะปรึกษาจึงรีบมารออยู่ข้างในแต่ดันเจอวเรณย์ที่จองห้องนั้นก่อนแล้ว
“นายจะซ้อมห้องนี้เหรอ” เขาเอ่ยปากถาม
วเรณย์ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย และเช้าวันนี้ธาวินก็ไม่หลบหน้าจึงรู้ว่าเขาหายโกรธตัวเองแล้วพลันรู้สึกโล่งใจแปลก ๆ “เปล่า แค่มานั่งแต่งเพลงเฉย ๆ”
“อ่อ ถ้างั้นไม่กวนนายแล้ว เดี๋ยวฉันไปเจอณดลที่อื่นก็ได้” ธาวินยิ้มให้เขาแล้วเปิดประตูออกไปแทบจะทันที คนที่ถูกทิ้งนิ่วหน้าไม่สบอารมณ์แต่งเพลงไม่ได้จึงขีด ๆ กระดาษจนจะเป็นรูแล้วขยำทิ้ง
อีกทางฟากหนึ่ง
ณดลหยิบใบประกาศรับสมัครสมาชิกวงดนตรีมาด้วย ท่าทางยังคงลังเลว่าควรสมัครดีหรือไม่จ
จนกระทั่งสองปีต่อมาธาวินที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมอสี่มาหมาด ๆ ต้องไปเข้าค่ายรับน้องที่ค่ายลูกเสือกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และวเรณย์ก็เป็นรุ่นพี่ที่ต้องมาดูแลรุ่นน้องอย่างเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เขาไม่อยากจะเข้าร่วมกิจกรรมเท่าไหร่เพราะรู้ว่าเป็นด่านลูกเสือที่ต้องคลุกดิน ฝุ่นโคลน ลุยน้ำเล่นไฟแล้วต้องถอดเครื่องช่วยฟังออกจะทำให้ไม่ค่อยได้ยินว่าใครพูดอะไรบ้างแต่มันเป็นภาคบังคับของนักเรียนชั้นมอสี่ เขาจึงจำใจต้องไปโดยปริยาย“เรย์ ฝากดูแลวินด้วยนะลูก” ก้องเกียรติบอกลูกชายก่อนจะออกเดินทาง“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้ารับปาก แล้วสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นรถไปกับธาวินเมื่อมาถึงค่ายลูกเสือ รุ่นน้องทุกคนโดนสั่งให้วิ่งไปที่รวมตัวกันที่ลานโล่งทันที หากแต่ยังธาวินยังคงยืนนิ่งอ
หลังจากทำกิจกรรมแต่ละฐานเสร็จรุ่นน้องทั้งหลายจึงถ่อสังขารมอมแมมของตัวเองกลับที่พักด้วยความเหนื่อยล้าหมดแรง ในขณะที่วเรณย์เดินอยู่ข้าง ๆ ธาวิน“ไม่หลงหรอกน่า” ธาวินเอ่ยปากบอกเขา“ใครจะไปรู้ โตขนาดนี้แล้วยังหลงทางอยู่ได้”อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็เบ้ปากให้คนตรงหน้าไปหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งไปหากัสโดยไม่สนใจวเรณย์ เขาเตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำเพราะอากาศเริ่มมืดค่ำ หากชักช้ากว่านี้คงต้องอาบน้ำเย็นแน่ ๆช่วงเวลากินข้าวรุ่นพี่แต่ละคนยืนรอตักข้าวใส่ถาดหลุมให้น้อง ๆ และณดลรับหน้าที่นั้นพอดี เขาตักเอาเนื้อไก่ชิ้นใหญ่ ๆ ใส่ถาดของธาวินจนกัสมองหน้า “พี่ครับ ขอแบบนี้ให้ผมได้ไหม”พอธาวินนั่งลงที่โต๊ะ ณดลจึงถือถาดตามมาจะ
หลังกลับมาจากเข้าค่ายครั้งนี้ธาวินได้แต่ครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างที่กัสแนะนำ เขารู้ใจตัวเองมาสักพักแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่ไม่เคยนึกอยากจะสารภาพกับเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงอย่างไรเวลาที่เห็นหน้าของก้องเกียรติและจันทร์วิมลที่เลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดีก็ทำไม่ลงถ้าพวกเขารู้ว่าเด็กน้อยที่อุตส่าห์ดูแลเหมือนลูกคนหนึ่งคิดกับลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองแบบนั้นคงรับไม่ได้อย่างแน่นอน เขาจึงเก็บทุกอย่างไว้ในใจมาโดยตลอด“เป็นไปไม่ได้หรอก เรย์นี่นะจะชอบฉัน ทุกวันนี้ก็แทบจะทะเลาะกันทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง อืม หรือว่าฉันจะแสดงออกมากไปจนเขารู้ตัวนะ” ธาวินพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ ถ้ารู้ตัวคงไม่มาวอแวแบบนี้หรอก อาจจะแค่ใจอ่อนยอมรับฉันเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ว่าสงสัยคงต้องเพลา ๆ ไม่ไปใกล้ชิดกว่านี้แล้วล่ะ ถ้าความลับแตกขึ้นมาคงไม่ดี”ธาวินหาเหตุและ
คืนวันหนึ่งในฤดูหนาว รถยนต์สีเทาคันใหญ่กำลังมุ่งหน้าไปตามทางเปลี่ยวลาดชัน ถนนสองเลนเล็ก ๆ ลัดเลาะไปตามแนวเทือกเขาคดเคี้ยวหลายสิบกิโลเมตร บางครั้งมีรถจากอีกฝั่งแล่นสวนทางมาบ้างประปราย ช่วยให้รู้สึกโล่งใจได้ว่าไม่ได้มีเพียงพวกเขาบนเส้นทางอันยาวนานบรรยากาศภายนอกเงียบสงบและวังเวง สองข้างทางเป็นป่าไม้ที่ผลัดใบจนเหลือแต่กิ่งก้านตามฤดูกาล ส่วนข้างในรถมีครอบครัวแสนอบอุ่นกำลังนั่งอยู่เงียบ ๆสายตาของธาวินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงไฟจากต้นเสาที่อยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ไกลลิบกระพริบเป็นช่วง ๆ เขาตื่นเต้นที่สองสามวันนี้พ่อกับแม่พาเที่ยวต่างจังหวัดตามที่สัญญากันเอาไว้จุดหมายปลายทางบนแผนที่ถูกปักหมุดเอาไว้เป็นแผนการเดินทางในวันหยุดยาวของครอบครัว เด็กชายตัวน้อยคาดหวังไว้แล้วว่าเช้าวันรุ่งขึ้น เขาจะได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าลอยเหนือทะเลหมอกบนจุดสูงที่สุดของยอดเขา“ยังไม่ง่วงอีกเหรอครับ” แม่ของธาวินถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาของเธอเหมือนจันทร์ครึ่งเสี้ยวเวลายิ้มให้เขาเหมือนทุกครั้งลูกชายคนเดียวส่ายหน้า “ไม่ง่วงครับ แม่ไม่นอนเหรอ” เขาสังเกตมาตลอดทางว่าคนเป็นแม่มักจะคอยช่วยพ่อของเขาดูเส้นทา
ธาวินใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอิงสุนทรอย่างเรียบง่ายในแต่ละวันจะมีก้องเกียรติ จันทร์วิมลและลูกสาวทั้งสองคนแวะเวียนหาเรื่องพูดคุยกับเขาอยู่เสมอเพื่อไม่ให้เจ้าตัวเหงาหงอยอยู่คนเดียว ทั้งยังเต็มใจช่วยกันค่อย ๆ ปรับสภาพจิตใจของเด็กตัวน้อยทีละนิดแม้ธาวินจะไม่พูดอะไรเลยตลอดเกือบหนึ่งปีที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แต่ความรู้สึกของทุกคนยังคงเหมือนเดิม เอ็นดูและสงสารพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาเขาทานอาหารทุกอย่างที่ป้ามล ผู้เป็นแม่บ้านเตรียมไว้ให้ทุกสามมื้อ ไม่เคยบอกว่าต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทุกวันนี้ยังไม่เคยมีใครได้ยินเสียงพูดของเขาเลยสักครั้งหากแต่ในบางคืน เขาอาจส่งเสียงร้องเพราะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุครั้งนั้นบ้าง ทุกคนในบ้านก็จะพร้อมใจกันเข้ามาปลอบใจจนกว่าเจ้าตัวเล็กจะผล็อยหลับไป
หนึ่งปีผ่านไปธาวินเข้าเรียนชั้นประถมปีที่หนึ่งช้ากว่าเพื่อนร่วมรุ่นไปสองปีเพราะผลกระทบจากอุบัติเหตุ ก้องเกียรติจ้างครูพิเศษมาสอนเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อปรับพื้นฐานการเรียนใหม่ทั้งหมด รวมถึงช่วยให้เขาเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมอีกครั้งหนึ่งแม้พี่สาวทั้งสองคนอย่างเมธาวีและเกวลินจะอยากแอบไปดูน้องที่ห้องเรียนมากแค่ไหนแต่ก็ต้องอดใจเอาไว้เพราะตึกเรียนชั้นมัธยมกับชั้นประถมแยกจากกันโดยสิ้นเชิงดังนั้น ทุกคนจึงฝากความหวังไว้ที่วเรณย์ให้คอยไปส่งและรอรับกลับบ้านพร้อมกัน แม้เจ้าตัวจะทำสีหน้าไม่เต็มใจก็ตาม แต่พอคิดอีกแบบหนึ่งแล้ว คงจะเป็นการดีที่ได้กันธาวินออกจากพี่สาวทั้งสองไปโดยปริยายความคิดนี้ดูเหมือนจะไม่เลว แต่วเรณย์ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมห้องชั้นประถ
หลังจากนั้นเป็นต้นมาวเรณย์จึงเรียนรู้ที่จะดูแลสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาเป็นครั้งแรก ทุกคนในบ้านต่างเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กน้อยคนนี้จนคิดว่าความสัมพันธ์ของลูกชายกับธาวินอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นบ้างเฮ้อเสียงถอนหายใจของเกวลินทำให้คนเป็นแม่ลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู เธอบอกอย่างใจเย็นว่า “อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักนะลูก”“พ่อกับแม่ก็ตามใจน้องอยู่เรื่อยเลย หนูไปเล่นกับวินดีกว่า” เกวลินส่ายหน้าเพราะน้องชายไม่สนใจที่จะทำความคุ้นเคยกับธาวินเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนกันให้ได้ทุก ๆ ครั้งพวกเขามักจะมีแผนกระชับมิตรหลอกล่อให้เจ้าชายน้อยของบ้านลดกำแพงความรู้สึกลงมาบ้าง แต่พอทำบ่อยเข้า เขาจึงรู้ในทันทีว่าควรจะต้องหนีไปให้ไกลที่สุด และสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการเล่นกับแฮปปี้มา
วันเกิดครบรอบอายุสิบเอ็ดปีของวเรณย์เจ้าลูกชายคนเล็กของบ้านยังคงต้องการความเอาใส่ใจและเป็นที่หนึ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญอยู่เหมือนเดิม รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นของเขาด้วยแค่เพียงได้ยินเพื่อนสนิทอย่างคีตาบอกว่าวันเกิดปีนี้ถ้าได้จัดงานที่สวนสนุกเหมือนการ์ตูนเรื่องนั้นก็คงจะดี เขาจึงคิดว่าถ้าเพื่อน ๆ มาร่วมงานวันเกิดครั้งนี้ได้จะต้องมีแต่ความสนุกสนานและชอบเขามากขึ้นแน่นอนจึงเอ่ยปากขอร้องผู้ปกครอง“พ่อครับ วันเกิดปีนี้ผมเลือกของขวัญเองได้ไหมครับ” วเรณย์ถามด้วยความลังเลแม้จะรู้ว่าพ่อและแม่ไม่เคยปฏิเสธเขา แต่การที่จะจัดงานในสวนสนุกไม่รู้จะยุ่งยากเกินไปหรือเปล่า“ปกติพ่อกับแม่ก็ซื้อตามใจเรย์อยู่แล้ว ปีนี้ลูกอยากได้อะไรเหรอครับ” ก้องเกียรติถามบ้างเพราะสีหน้าของลูกชายดูคาดหวังไม่น้อย
หลังกลับมาจากเข้าค่ายครั้งนี้ธาวินได้แต่ครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างที่กัสแนะนำ เขารู้ใจตัวเองมาสักพักแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับอีกฝ่าย แต่ไม่เคยนึกอยากจะสารภาพกับเขาเลยแม้แต่น้อยเพราะถึงอย่างไรเวลาที่เห็นหน้าของก้องเกียรติและจันทร์วิมลที่เลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดีก็ทำไม่ลงถ้าพวกเขารู้ว่าเด็กน้อยที่อุตส่าห์ดูแลเหมือนลูกคนหนึ่งคิดกับลูกชายแท้ ๆ ของตัวเองแบบนั้นคงรับไม่ได้อย่างแน่นอน เขาจึงเก็บทุกอย่างไว้ในใจมาโดยตลอด“เป็นไปไม่ได้หรอก เรย์นี่นะจะชอบฉัน ทุกวันนี้ก็แทบจะทะเลาะกันทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง อืม หรือว่าฉันจะแสดงออกมากไปจนเขารู้ตัวนะ” ธาวินพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ ถ้ารู้ตัวคงไม่มาวอแวแบบนี้หรอก อาจจะแค่ใจอ่อนยอมรับฉันเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ว่าสงสัยคงต้องเพลา ๆ ไม่ไปใกล้ชิดกว่านี้แล้วล่ะ ถ้าความลับแตกขึ้นมาคงไม่ดี”ธาวินหาเหตุและ
หลังจากทำกิจกรรมแต่ละฐานเสร็จรุ่นน้องทั้งหลายจึงถ่อสังขารมอมแมมของตัวเองกลับที่พักด้วยความเหนื่อยล้าหมดแรง ในขณะที่วเรณย์เดินอยู่ข้าง ๆ ธาวิน“ไม่หลงหรอกน่า” ธาวินเอ่ยปากบอกเขา“ใครจะไปรู้ โตขนาดนี้แล้วยังหลงทางอยู่ได้”อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นก็เบ้ปากให้คนตรงหน้าไปหนึ่งทีแล้วรีบวิ่งไปหากัสโดยไม่สนใจวเรณย์ เขาเตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำเพราะอากาศเริ่มมืดค่ำ หากชักช้ากว่านี้คงต้องอาบน้ำเย็นแน่ ๆช่วงเวลากินข้าวรุ่นพี่แต่ละคนยืนรอตักข้าวใส่ถาดหลุมให้น้อง ๆ และณดลรับหน้าที่นั้นพอดี เขาตักเอาเนื้อไก่ชิ้นใหญ่ ๆ ใส่ถาดของธาวินจนกัสมองหน้า “พี่ครับ ขอแบบนี้ให้ผมได้ไหม”พอธาวินนั่งลงที่โต๊ะ ณดลจึงถือถาดตามมาจะ
จนกระทั่งสองปีต่อมาธาวินที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมอสี่มาหมาด ๆ ต้องไปเข้าค่ายรับน้องที่ค่ายลูกเสือกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน และวเรณย์ก็เป็นรุ่นพี่ที่ต้องมาดูแลรุ่นน้องอย่างเขาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้เขาไม่อยากจะเข้าร่วมกิจกรรมเท่าไหร่เพราะรู้ว่าเป็นด่านลูกเสือที่ต้องคลุกดิน ฝุ่นโคลน ลุยน้ำเล่นไฟแล้วต้องถอดเครื่องช่วยฟังออกจะทำให้ไม่ค่อยได้ยินว่าใครพูดอะไรบ้างแต่มันเป็นภาคบังคับของนักเรียนชั้นมอสี่ เขาจึงจำใจต้องไปโดยปริยาย“เรย์ ฝากดูแลวินด้วยนะลูก” ก้องเกียรติบอกลูกชายก่อนจะออกเดินทาง“ครับ” เจ้าตัวพยักหน้ารับปาก แล้วสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่ขึ้นรถไปกับธาวินเมื่อมาถึงค่ายลูกเสือ รุ่นน้องทุกคนโดนสั่งให้วิ่งไปที่รวมตัวกันที่ลานโล่งทันที หากแต่ยังธาวินยังคงยืนนิ่งอ
วันต่อมาธาวินไปพบณดลที่ห้องซ้อมดนตรีเพราะเมื่อวานทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน ด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายมีเรื่องจะปรึกษาจึงรีบมารออยู่ข้างในแต่ดันเจอวเรณย์ที่จองห้องนั้นก่อนแล้ว“นายจะซ้อมห้องนี้เหรอ” เขาเอ่ยปากถามวเรณย์ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย และเช้าวันนี้ธาวินก็ไม่หลบหน้าจึงรู้ว่าเขาหายโกรธตัวเองแล้วพลันรู้สึกโล่งใจแปลก ๆ “เปล่า แค่มานั่งแต่งเพลงเฉย ๆ”“อ่อ ถ้างั้นไม่กวนนายแล้ว เดี๋ยวฉันไปเจอณดลที่อื่นก็ได้” ธาวินยิ้มให้เขาแล้วเปิดประตูออกไปแทบจะทันที คนที่ถูกทิ้งนิ่วหน้าไม่สบอารมณ์แต่งเพลงไม่ได้จึงขีด ๆ กระดาษจนจะเป็นรูแล้วขยำทิ้งอีกทางฟากหนึ่งณดลหยิบใบประกาศรับสมัครสมาชิกวงดนตรีมาด้วย ท่าทางยังคงลังเลว่าควรสมัครดีหรือไม่จ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพิ่งทำให้วเรณย์ตระหนักได้ว่าธาวินโกรธเขาจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้รู้จักกันมาถึงแม้ปกติแล้วเขาจะเป็นคนคอยทำตัวห่างเหินกับธาวินแต่ช่วงนี้กลับไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลย เพราะอีกฝ่ายหลบหน้าเขาเองเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน“อย่าลืมเอากล่องของว่างที่ป้ามลทำไว้ไปด้วย” วเรณย์เอ่ยบอกคนตรงหน้า เขาคิดในใจว่าอีกสักพักต้องได้ยินเสียงพึมพำจากธาวินเหมือนอย่างเคยอืม ขอบคุณที่เตือนหรือไม่ก็อืม ไม่ลืมหรอกอะไรแบบนี้ทว่า ธาวินแค่เดินมาหยิบกล่องของว่างออกไปเงียบ ๆ โดยไม่เหลียวมองเขาเลยวันหยุดอยู่บ้าน วเรณย์จะเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงคลอเบา ๆ ตรงระเบียงห้องแต่ดีดไปยังไม่ถึงท่อนที่สอง เสียงปิดหน้าต่างห้องข้าง ๆ ก็ดังปังจนดีดผิดคีย์ผ่านไปแ
วันต่อมาธาวินจึงไปห้องซ้อมดนตรีกับณดลตอนเที่ยงเพราะห้องจะว่างช่วงนั้นพอดี จึงมีแค่เพียงพวกเขาอยู่ในห้องเท่านั้นณดลหยิบกีต้าร์ออกมาจากกระเป๋าแล้วปรับเสียงให้เข้ากันกับเพลงที่จะเล่น สลับกับมองใบหน้าของธาวินด้วยความกังวลเล็กน้อย “ไม่ได้เล่นนานแล้ว อาจจะเพี้ยนนิดหน่อยนะ”“ไม่เป็นไรหรอก ยังไงหูฉันก็เพี้ยนอยู่แล้ว” เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ แล้วนั่งรอฟังด้วยความตั้งใจนิ้วเรียวดีดสายกีต้าร์ทีละจังหวะ นุ่มนวลและให้ความรู้สึกเหมือนจะล่องลอย ธาวินสัมผัสได้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่มือสมัครเล่นทั่วไปแน่ ๆณดลไม่เพียงแค่เล่นกีต้าร์โปร่งได้ เสียงร้องของเขาที่เปล่งออกมายังเพราะเหลือเชื่อจนคนที่นั่งฟังอยู่ตกตะลึงพลันอมยิ้มด้วยความชื่นชมจนกระทั่งเพลงจบลงอย่างสมบูรณ์
วันเปิดเทอมชั้นมอสี่ของวเรณย์เขารู้สึกดีใจที่ยังได้อยู่ห้องเดียวกันกับคีตาเหมือนอย่างเคย ทั้งสองแทบจะเป็นเพื่อนที่ตัวติดกันจนหลายคนแซวว่าเป็นแฝดไปแล้วความนิยมของเขาและวงไอริสเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากน้องมอต้นกลายเป็นพี่มอปลายไปแล้ว ปิดเทอมไปไม่กี่เดือน ส่วนสูงของวเรณย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตอนนี้นับว่าราวกับนายแบบใบหน้าหล่อใสเหมือนไอดอล ท่าทางตอนเล่นดนตรี ร้องเพลง เล่นบาสหรือกระทั่งนั่งอยู่เฉย ๆ มักจะมีสายตาของสาว ๆ จ้องมองไม่วางตาจนใครหลายคนอิจฉาหลายครั้งวเรณย์จะได้รับจดหมายสารภาพรักจากทั้งรุ่นน้องและรุ่นพี่ในโรงเรียนแต่เขากลับไม่สนใจใครเลยสักคน“นี่ รุ่นพี่ห้องห้ามารอนายอยู่หน้าห้องอีกแล้ว” คีตาสะกิดเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน “พี่เขาก็น่ารักนี
เช้าตรู่วันต่อมาเมธาวีเห็นว่าเต็นท์ของน้องชายยังไม่มีความเคลื่อนไหวจึงเปิดเข้าไปดู ภาพที่เห็นทำให้ต้องกลั้นขำกับความน่าเอ็นดู ถ้าเจ้าน้องชายคนเล็กตื่นขึ้นมาแล้วรู้ว่าตัวเองนอนหนุนต้นแขนธาวินแถมกอดอีกฝ่ายไว้คงจะต้องอึ้งน่าดูเกวลินสงสัยว่าทำไมพี่สาวถึงอมยิ้มจึงเดินมาดูด้วยแล้วเรียกพ่อกับแม่พลางถ่ายรูปเอาไว้เพราะเหตุการณ์แบบนี้คงจะไม่ได้มีบ่อย ๆ ก่อนจะปิดเต็นท์ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นวเรณย์งัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคนในเต็นท์ข้าง ๆ พึมพำว่า “หมอนใบนี้นุ่มจัง” พลันนึกได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในเต็นท์จะไปมีหมอนนุ่ม ๆ เหมือนที่บ้านได้อย่างไรดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโตเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหนุนหน้าอกของธาวินที่หลับไม่รู้เรื่องบ้าไปแล้ว นี่ฉันทำอะไรลงไป ทำไมถึงได้มานอนตรงนี้ได้เจ้านี่
ภูกระดึงรถตู้คันใหญ่สำหรับครอบครัวเคลื่อนเข้ามาจอดตรงลานกว้างของอุทยานแห่งชาติในเวลาแปดนาฬิกาพอดิบพอดี เมธาวีรีบพาน้องสาวคนรองไปติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์เพื่อประทับตราลงในพาสปอร์ตอุทยาน จัดการข้าวของจองลูกหาบและสอบถามเรื่องที่พักแรมข้างบน“ทั้งหมดหกคน เต็นท์สามหลังค่ะ” เกวลินกล่าวกับเจ้าหน้าที่ พลางหันมองน้องชายคนเล็กที่ยังคงไม่รู้เรื่องอะไรด้วยสีหน้ามีเลศนัยก่อนจะกลับมารวมกลุ่มกับคนในบ้านที่เหลือก้องเกียรติตรวจความพร้อมของลูก ๆ ในบ้านทำราวกับว่าตนเองเป็นหัวหน้าลูกเสือที่กำลังตื่นเต้นกับการท่องเที่ยวครั้งนี้จนอดใจไว้ไม่อยู่“เอาล่ะ พ่อจะเดินนำ ตามด้วยแม่ พี่เม พี่ลิน วินแล้วก็เรย์ปิดท้ายขบวนนะ” เขามองหน้าลูกชายแล้วยักคิ้วให้ฝากความหวังว่าจะช่วยดูแลความเรียบร้อยครั้งนี้ได้