ช่วงเวลานี้ที่เรือนหลัก สวีเพ่ยเอนกายพูดคุยกับบุตรสาวที่มาเยี่ยมเยือนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หวังหรูเยว่รินชาให้มารดาแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อนางใฝ่ต่ำอยากจะเป็นอนุ...ถึงกลับใช้ความตายเข้าแลก ท่านแม่ก็ควรให้นางสมปราถนา”
สวีเพ่ยรู้ว่าบุตรสาวเอ่ยถึงผู้ใดก็แค่นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา
“แต่งออกไปเป็นอนุ แม้กระทั่งสินเดิมก็ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมแล้วเหตุใดแม่จะไม่ยินดี ทว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่มีรากฐานมาหลายปีหากแม่ยินยอมให้นางแต่งออกเป็นอนุจะถูกผู้อาวุโสตำหนิได้”
หวังหรูเยว่หัวเราะร่าขึ้นมา “ท่านแม่ปกครองเรือนด้วยความเมตตา แม้กระทั่งบุตรของอนุก็จัดหาคู่ให้อย่างเหมาะสม แต่ครั้งนี้ก็นับว่าจนใจ...ท่านแม่ไม่มีทางเลือกแล้ว”
สวีเพ่ยยิ้มตอบ “พ่อเจ้ากลับมาเย็นนี้ ข้าจะพูดเรื่องการยกเลิกการหมั้นหมายของหวังชิงหว่านที่ได้ตกลงไปก่อนหน้านี้”
หวังหรูเยว่กุมมือมารดาขึ้นมา “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยนะเจ้าค่ะ ยังเหลืองานแต่งของน้องอีกหลายคนที่ยังต้องให้ท่านแม่ไปจัดการ ยิ่งพี่ใหญ่ก็ยิ่งเห็นความหวังดีของท่านแม่อย่างแน่นอน”
สวีเพ่ยตบมือบุตรสาวเบา ๆ เพื่อหาคู่ครองที่เหมาะสมจากตระกูลที่ดีให้บุตรชาย นางจำต้องสร้างภาพเป็นฮูหยินที่ใจกว้างและมีเมตตา หากนางจัดการให้บุตรสาวอนุตบแต่งออกไปเป็นอนุจะต้องถูกหาว่าจิตใจคับแคบริษยา บุตรสาวจากตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ย่อมต้องไตร่ตรองให้มากหากจะมาเป็นสะใภ้ซึ่งอาจจะทำให้บุตรชายของนางพลาดคู่ครองดี ๆ ไป
นางจัดการคู่หมั้นหมายให้หวังชิงหว่านเป็นขุนนางชั้น 9 แม้จะตำแหน่งไม่สูงนักแต่ก็นับว่าเหมาะสมกับเด็กสาวที่เป็นอนุ ตกแต่งนั่งเกี้ยวออกไปอย่างสมศักดิ์พิธีการไม่ขาดตกบกพร่อง โชคดีที่การเลี้ยงดูที่มาผ่านมาของนางได้ผล เด็กคนนี้จึงเติบโตมาด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่รู้ผิดรู้ชั่ว กลับไม่พอใจหวังอยากจะเป็นอนุผู้อื่น สวีเพ่ยหัวเราะเสียงต่ำในใจ
พอมองออกไปข้างนอกหน้าต่างเห็นแสงแดดเริ่มเบาบางจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าออกมาจากจวนหลายชั่วยามแล้ว...สมควรจะกลับได้แล้ว”
หวังหรูเยว่หน้างอพูดขึ้น “ท่านแม่...ไม่ทันไรท่านก็เอ่ยปากไล่ข้าแล้วหรือ”
สวีเพ่ยปัดปอยผมหน้าบุตรสาวเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าพึ่งตกแต่งเข้าไป...จะต้องระวังการวางตัวให้มาก”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ....เอาไว้ข้าจะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่นะเจ้าค่ะ” ขณะนั้นม่านกั้นห้องก็ถูกเลิกขึ้นมา บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างนอบน้อม
“ฮูหยินเจ้าคะ...คุณหนูเจ็ดมาขอคารวะเจ้าค่ะ”
สวีเพ่ยขมวดคิ้ว หวังหรูเยว่ยิ้มเยาะเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังจะไปเยี่ยมน้องเจ็ดอยู่พอดี เช่นนั้นท่านแม่ข้าจะออกไปคุยกับน้องสักหน่อยนะเจ้าค่ะ”
สวีเพ่ยพยักหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน หวังชิงหว่านเห็นคนที่ออกมาเป็นหวังหรูเยว่ก็รีบยอบกายคารวะทักทาย หวังหรูเยว่พินิจดูสีหน้าของน้องสาว ทั้งที่ซีดไร้สีแต่ไม่ได้ลดความงามของอีกฝ่าย กลับยิ่งขับให้ดูเปราะบางน่าสงสารยิ่งขึ้น ความเกลียดริษยาอีกฝ่ายผุดขึ้นมาผ่านแววตาแวบหนึ่งนางกระพริบตาครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มผิวเผินแล้วพูดขึ้น
“น้องเจ็ด...ได้ยินว่าเจ้าไม่สบายอยู่ไม่ใช่หรือเหตุใดจึงได้ออกจากเรือนมาเล่า”
หวังชิงหว่านรีบตอบ “พี่รอง...ข้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว จึงได้มาคารวะท่านแม่”
หวังหรูเยว่เย้นหยันในใจ พูดขึ้น “เจ้าคงจะมาพูดเรื่องแต่งงาน วางใจเถอะท่านแม่รับปากแล้ว...จะให้เจ้าสมปรารถนา”
หวังชิงหว่านก้มหน้าปิดแววตาตนเอง ทบทวนจากความทรงจำพี่สาวตรงหน้า คนคนนี้ไม่เคยมีความจริงใจต่อนางแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ไม่อาจจะโต้ตอบอีกฝ่ายจึงได้กลั้นใจเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ตอนนี้..ข้าสำนึกผิดแล้ว...ต่อไปจะเชื่อฟังท่านแม่แต่งงานอย่างว่าง่าย”
หวังหรูเยว่เลิกคิ้วขึ้นไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นางยิ้มมุมปากแววตาเย็นชาพูดขึ้น “เจ้าคงยอมรับเรือนเก่า ๆ ของตระกูลเซียวได้แล้วสินะ ข้านึกว่าเจ้ายังอยากจะอยู่ในจวนแม่ทัพเสียอีก แต่เอาเถอะในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วช่วงนี้ก็อยู่ที่จวนเก็บช่วงเวลานี้ให้ดี ๆ หลังจากแต่งออกไปแล้วจะกลับมาไม่ได้แล้วนะ”
หวังชิงหว่านข่มอารมณ์เอาไว้ นี้ก็เป็นส่วนหนึ่งแผนยุยงของอีกฝ่าย หลอกให้สาวใช้พานางไปดูเรือนของตระกูลเซียวที่ค่อนข้างทรุดโทรม และหากนำมาเทียบกับจวนแม่ทัพยิ่งเห็นความแตกต่างกัน ส่วนตัวหวังชิงหว่านที่เติบโตในจวนเสนาบดีในฐานะบุตรของอนุ นางก็ไม่เห็นว่าการอยู่ในฐานะนี้จะลำบากอะไร อย่างไรก็อยู่กินก็ยังดีกว่าการเป็นฮูหยินของตระกูลเล็ก ๆ อยู่มาก
แต่การเมียน้อยกับฮูหยินเอก ศักดิ์ศรีมันแตกต่างกันมาก
ทว่าโต้เถียงตอบโต้ไปก็ไร้ประโยชน์ หวังชิงหว่านทำเพียงก้มหน้ายืนนิ่งอยู่เงียบ ๆ หวังหรูเยว่เห็นว่าไม่อาจจะยุแยงอีกฝ่ายได้อีกก็เชิดหน้าเดินออกไป บ่าวที่อยู่หน้าเรือนเห็นหวังหรูเยว่ออกไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“คุณหนูเจ็ด ฮูหยินรู้สึกไม่สบายวันหลังท่านค่อยมาเถอะ”
นี้เป็นการบอกปัด หวังชิงหว่านก้มหน้าครุ่นคิดจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนท่านแม่แล้ว”
ในขณะที่หวังชิงหว่านกำลังเดินกลับออกไป นางเห็นบ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในเรือนหลักด้วยท่าทีเร่งรีบแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำทีรู้สึกเหนื่อยใจฝีเท้าช้าลงเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เจอกับเสนาบดีหวังลู่หาน กำลังเดินเข้ามาในเรือนนางรีบเดินไปคุกเข่าหน้าอีกฝ่ายทันที
หวังลู่หานรู้เรื่องที่บุตรสาวกระโดนน้ำแล้ว เขาปรายตามองด้วยสายตาเอือมระอากล่าวน้ำเสียงเย็นชา “เหตุใดเจ้าเป็นคนไม่รู้ความเช่นนี้”
หวังชิงหว่านรีบหมอบกายลงเงยหน้าขึ้นมองบิดากล่าวเสียงสะอื้น “ท่านพ่อได้โปรดลงโทษลูกเถิด ... ต่อไปข้าจะเชื่อฟังไม่ดื้อดึงเด็ดขาด วันนี้ข้าตั้งใจมาขอรับโทษจากท่านแม่...ดูเหมือนว่าท่านแม่เองก็โกรธเคืองข้าเสียแล้ว ฮื้อ”
เสียงร้องประสานกับแววตาอ้อนวอน ด้วยหวังชิงหว่านมีใบหน้าคล้ายคลึงกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่หลายส่วนอีกทั้งยังงดงามบอบบางช่างเอาใจ เดิมหวังลู่หานก็ลำเอียงเข้าข้างนางมาโดยตลอด ครั้งเห็นนางร้องไห้กล่าวสำนึกผิดก็ทำให้ใจของหวังลู่หานอ่อนยวบลงทันทีกล่าว
“แล้วเรื่องแต่งงานของเจ้าเล่า”
“ข้าย่อมเชื่อฟังบิดามารดา ที่ผ่านมาล้วนเป็นข้าไม่รู้ความโง่เขลา ท่านพ่อต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ขณะนั้นสวีเพ่ยก็เดินมายืนเคียงข้างกับหวังลู่หานสีหน้าอ่อนล้ากล่าวโพล้งออกมาอย่างกลุ้มใจ “ท่านพี่...เด็กคนนี้ช่างดื้อยิ่งหนัก”
หวังชิงหว่านหันไปคำนับให้สวีเพ่ยแล้วพูด “ท่านแม่...ท่านได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว”
สวีเพ่ยเผยสีหน้าจนใจ ทว่าแววตายังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากล่าว “ลุกขึ้นเถอะ..พื้นเย็นไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้าพึ่งฟื้นจากไข้ล้มป่วยไปอีกจะลำบาก ในเมื่อเจ้าสำนึกผิดแล้วเรื่องแต่งงานข้าก็จัดการตามเดิม...ไป๋ชิงพาคุณหนูเจ็ดกลับเรือนได้แล้ว”
ไป๋ชิงเดินเข้ามาประครองหวังชิงหว่านให้ลุกขึ้น นางย่อกายคารวะทั้งสองคนก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไป
หวังลู่หานมองตามหลังบุตรสาวด้วยสายตาอ่อนใจแล้วหันมากุมมือของสวีเพ่ยขึ้นมากล่าว “ขอบใจฮูหยินมาก...หลายวันที่ข้าไม่อยู่จวนลำบากเจ้าแล้ว”
สวีเพ่ยกล่าวตอบ “ย่อมเป็นหน้าที่ของข้าแต่ข้าจัดการไม่ดีนัก ท่านพี่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยกลับต้องมาเจอเรื่องราวให้ต้องกังวลใจอีก”
หวังลู่หานมองฮูหยินด้วยสีหน้าอ่อนโยนกล่าว
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น...เข้าเรือนกันเถอะ”
หวังชิงหว่านหันมองกลับมองเห็นทั้งสองคนเคียงคู่กันก็ลอบถอนหายใจ การแต่งงานเช่นนี้นางเองก็ใช่ว่าจะชื่นชอบ แต่หากอยากจะออกไปเริ่มต้นชีวิตแบบไร้ข้อกังวลก็มีเพียงวิธีการนี้
นางเป็นสายลับทุกในสืบข้อมูลบางครั้งก็ไม่มีแผนการให้เลือกมากนัก หนทางนี้นางก็ว่าสะดวกง่ายและปลอดภัย แต่งออกไปแล้วนางก็เป็นคนของตระกูลเซียว ตระกูลเล็ก ๆ ที่ไร้พิษภัยหากอยู่แล้วไม่สบายใจ ก็หาวิธีให้ได้ใบหย่า สตรีที่ถูกหย่าก็เหมือนมียันต์คุ้มกาย ผู้ใดก็ไม่อยากเข้าใกล้ ตอนนั้นนางจะได้โบยบินแบบที่ตนเองต้องการแบบไม่ผิดหลักกฏหมายของแคว้นด้วย
ก็แค่แต่งงาน น่าสนใจดี
นางเองก็ไม่เคยแต่งงานมาก่อน