เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวากลับมาถึงจวนตระกูลเสี่ยวก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว นางสั่งให้หูเป่าแบ่งขนมไปให้แต่ละเรือนเท่าๆ กัน ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งพักผ่อน
ขนมถูกแบ่งออกไปให้เรือนของเสี่ยวฮูหยินและเรือนของเสี่ยวเย่วหยาตามที่เสี่ยวจิ่วฮวาสั่ง เสี่ยวฮูหยินขมวดคิ้วมุ่น พลางจ้องมองขนมนั้นของเสี่ยวจิ่วฮวาด้วยแววตาที่ครุ่นคิด จนสาวใช้ข้างกายทนไม่ไหวต้องเอ่ยเรียก
"ฮูหยินใหญ่"
เสี่ยวฮูหยินหันมามองสาวใช้ของตน ก่อนจะเอ่ย
"นี่ เจ้าบอกว่าอาจิ่วส่งมาให้อย่างนั้นหรือ แล้วยังส่งไปที่เรือนของเย่วหยาด้วย"
"เจ้าค่ะ"
"ไม่ใช่ว่านางแอบใส่สิ่งใดลงไปหรอกนะ"
"ฮูหยินเจ้าคะ วางใจเถิด บ่าวส่งคนไปจับตาดูแล้ว พบว่าขนมนั่นคุณหนูรองก็กินเช่นกัน นางก็ปกติดีนะเจ้าคะ หากท่านไม่สบายใจ บ่าวจะชิมก่อนดีหรือไม่"
"ไม่ต้องหรอก เจ้าออกไปเถอะ"
"เจ้าค่ะ"
เมื่อสาวใช้ออกไปจนหมดแล้ว เสี่ยวฮูหยินก็หยิบขนมตรงหน้ามาพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากัดกินคำหนึ่ง พบว่ารสชาติไม่เลว เป็นขนมโก๋ของร้านขนมหวานจิ่นซิ่ว ร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง กินไปหลายชิ้นก็ไม่พบความผิดปกติใด นางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย
จะด้วยเหตุผลอันใดก็ช่างเถิด นับว่าอาจิ่วของนางก็เริ่มจะรู้ความบ้างแล้ว นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีไม่น้อยเลย
ด้านเสี่ยวเย่วหยานั้น ก็กำลังมองดูขนมตรงหน้าด้วยแววตาพิลึกพิลั่นเช่นเดียวกัน สาวใช้ข้างกายของนางที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบเอ่ยกับนางทันที
"คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ท่านอย่ากินจะเจ้าคะ คุณหนูรองใจคออำมหิต ริษยาท่านมาแต่ไหนแต่ไร เกิดนางใส่ของไม่ดีลงไปแล้วท่านเกิดล้มป่วย บ่าวเองคงไม่อาจรับมือไหว ต้องถูกเสี่ยวฮูหยินตำหนิที่ไม่ดูแลท่านให้ดีเป็นแน่!!!"
"เจ้าหยุดพูดนะ เป็นเพียงสาวใช้แต่มานินทาเจ้านายเช่นนี้ใช้ได้หรือ!!!"
สาวใช้รีบก้มหน้าหงุด ไม่เอ่ยวาจาใดอีก เสี่ยวเย่วหยาจ้องมองขนมนั่นอีกครา รู้สึกสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้ากิน ทำได้เพียงวางเอาไว้เช่นนั้น
ด้านเสี่ยวจิ่วฮวาเองก็ไม่ได้สนใจเท่าใดนัก ขนมนั่นนางมอบให้ไปแล้ว จะเอาไปโยนทิ้งหรือจะมอบให้ใครนางก็คร้านจะไปใส่ใจ
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งถึงงานวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลไป๋
แน่นอนว่าจวนตระกูลเสี่ยวย่อมได้รับเทียบเชิญไปร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ด้วย เสี่ยวฮูหยินสั่งให้สาวใช้นำเสื้อผ้ามาส่งให้เสี่ยวเย่วหยาและเสี่ยวจิ่วฮวาคนละนางชุด
เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็เดินออกจากเรือนตนเองมุ่งหน้าไปที่หน้าประตูจวน พบว่าเสี่ยวฮูหยินและเสี่ยวเย่วหยามารออยู่ก่อนแล้ว เสี่ยวฮูหยินมองบุตรสาวของตนเอง ก่อนจะเอ่ย
"ไปครั้งนี้อย่าทำขายหน้าจวนตระกูลเสี่ยวเล่า อาจิ่ว เจ้าต้องอยู่ข้างกายข้าไว้ ผู้ใดว่าเจ้าก็ไม่ต้องไปใส่ใจ ตอนนี้เจ้าคือบุตรสาวคนรองของภรรยาเอกแล้ว"
"เจ้าค่ะ"
เสี่ยวจิ่วฮวารับปากด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไปพร้อมกับแม่และพี่สาวระหว่างทางนางไม่ได้พูดคุยสิ่งใดมากัก ในสมองเพียงครุ่นคิดถึงเรื่องหนึ่ง
ในชาติก่อนเดิมทีเสี่ยวเย่วหยาควรจะได้แต่งงานกับไป๋หล่าง คุณชายจวนตระกูลไป๋ แต่ทว่านางกลับทำลายบุพเพวาสนาด้ายแดงของพวกเขาจนขาดสะบั้น ครั้งนี้นางจะไม่ทำเช่นนั้น เสี่ยวเย่วหยาจะต้องได้แต่งกับไป๋หล่าง
รถม้าเคลื่อนมาจอดที่หน้าจวนประตูตระกูลไป๋ บิดาของไป๋หล่างเป็นเสนาบดีกรมขุนนาง มีอำนาจไม่น้อยเลยในราชสำนัก และยังเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนอีกด้วย อีกทั้งท่านตาของไป๋หล่างก็เป็นอดีตบัณฑิตเลื่องชื่อ ไม่นานมานี้ไป๋หล่างยังสอบตำแหน่งจอหงวนและกำลังจะมีอนาคตที่ดีในราชสำนัก อีกทั้งฮ่องเต้ยังมอบหมายงานในสำนักฮั่นหลินให้เขาแล้วด้วย นั่นยิ่งทำให้ฐานะของไป๋หล่างเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
เมื่อเสี่ยวจิ่วฮวาลงมาจากรถม้าแล้วก็เดินตามแม่และพี่สาวเข้าไปด้านในจวนตระกูลไป๋ ระหว่างนั้นมีคนเข้ามาสนทนากับเสี่ยวเย่วหยาไม่ขาด เสี่ยวจิ่วฮวาไม่ได้แปลกใจเท่าใดนัก เดิมทีเสี่ยวเย่วหยาก็น่าคบหา นิสัยก็ดีมรรยาท ใบหน้าก็งดงามไม่เป็นสองรองใคร
ต่างจากนางที่ไม่ค่อยมีสหายกับใครเขา เอาแต่คิดริษยาไม่ต้องการให้ผู้อื่นเด่นเกินหน้าเกินตาของตน
เสี่ยวฮูหยินลอบสังเกตท่าทีของเสี่ยวจิ่วฮวาเป็นระยะ พบว่าบุตรสาวตัวดีไม่ได้แสดงท่าทีที่จะก่อเรื่องอันใดก็วางใจลงไปได้ไม่น้อย
เมื่อเข้ามาถึงด้านในจวนตระกูลไป๋แล้วฮูหยินจวนตระกูลไป๋ก็เข้ามาต้อนรับและพาพวกนางเข้าไปอวยพรฮูหยินผู้เฒ่า ในเรือนใหญ่นั้นไป๋หล่างยืนอยู่ข้างกายท่านย่าของตน เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเย่วหยามาถึงแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย แววตาที่มองเสี่ยวเย่วหยาก็อ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เสี่ยวจิ่วฮวาลอบสังเกตท่าทีของคนทั้งสองก็พอจะเบาใจลงได้
อย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าไป๋หล่างคงจะชอบพอพี่สาวของนางจริงๆ
"พวกเจ้าออกไปเดินเล่นด้านนอกกันเถอะ แม่จะอยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่า เย่วหยาอาจิ่วไปกับเจ้าด้วย"
"อาหล่างเจ้าพาพวกนางไปเดินชมในจวนสิ"
ฮูหยินตระกูลไป๋เองก็หมายตาเสี่ยวเย่วหยาให้มาเป็นสะใภ้เช่นเดียวกัน แม้นางจะร่างกายไม่แข็งแรงแต่ก็ไม่ได้ล้มป่วยถึงขั้นลุกเดินไม่ได้ ได้ยินว่ายามนี้ก็แข็งแรงขึ้นมากแล้ว อีกทั้งเรื่องเช่นนี้ย่อมดูแลกันได้ อีกอย่างเสี่ยวเย่วหยาก็งดงามทั้งกิริยาและมรรยาท บุตรชายของนางถึงกับไม่ยอมแต่งสตรีใด บอกเพียงว่าต้องแต่งกับเสี่ยวเย่วหยาเพียงเท่านั้น นางเองจึงไม่ได้คัดค้านอันใด เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเอ่ยปากให้ไป๋หล่างไปเดินเป็นเพื่อนพวกนาง เดิมทีคิดจะแยกเสี่ยวจิ่วฮวาออกไปแต่คงไม่ดีและจะเป็นการไม่ไว้หน้าเสี่ยวฮูหยิน นางจึงไม่ได้เอ่ยออกไป
ไป๋หล่างรับคำก่อนจะเดินออกมาพร้อมเสี่ยวจิ่วฮวาและเสี่ยวเย่วหยา สองพี่น้องไม่ได้พูดคุยสิ่งใดกัน มีแต่ไป๋หล่างที่ชวนเสี่ยวเย่วหยาพูดคุย จนกระทั่งมาถึงศาสาริมสะบัวที่เหล่าคุณหนูกำลังชมดอกไม้เขียนกลอนกันอยู่ ก็มีคนเดินเข้ามาทักทายเสี่ยวเย่วหยา อีกทั้งยังริษยานางที่ไป๋หล่างเป็นคนเดินมาส่งนางด้วยตนเอง กลับกันไม่มีใครสนใจเสี่ยวจิ่วฮวาเลยแม้แต่คนเดียว
แต่เสี่ยวจิ่วฮวาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ นางแหงนหน้ามองดูดอกไม้ที่ออกดอกสีสันงดงามไปทั่วทั้งจวนตระกูลไป๋ด้วยความชื่นชม ส่วนเสี่ยวเย่วหยาก็พูดคุยกับเหล่าคุณหนูจวนอื่นๆ ไป๋หล่างนั้นเดินไปรวมตัวกับคุณชายจวนอื่นๆ อีกด้านหนึ่งแล้ว
ไม่นานนักก็มีเสียงๆ หนึ่งเอ่ยขึ้นมา
"น่าสมเพชเสียจริง มางานเลี้ยงทั้งทีกลับไม่มีคนพูดคุยสนทนาด้วย ต่างจากพี่สาวที่มีแต่คนรุมล้อมเอาใจ ช่างน่าอับอายเสียนี่กระไร"
เสี่ยวจิ่วฮวาละสายตาจากดอกไม้ตรงหน้าแล้วหันกลับมามอง ก่อนจะพบกับหลินซินหลัน ที่กำลังเดินเข้ามา
หลินซินหลันเป็นบุตรสาวของท่านเสนาบดีกรมกลาโหม บิดาของนางเองก็มีอำนาจไม่น้อยในหมู่ชนชั้นสูง อีกทั้งหลินซินหลันนั้นก็กำลังจะแต่งงานเข้าจวนราชครูซึ่งเป็นท่านราชครูที่ฮ่องเต้ทรงให้ความสำคัญจึงยิ่งวางตัวไม่เห็นหัวใคร เสี่ยวจิ่วฮวาจำได้ว่า นางกับหลินซินหลันมักจะไม่ชอบหน้ากัน ก่อนหน้านั้นหลินซินหลันดูแคลนที่นางเป็นเพียงบุตรอนุ แล้วยังเสนอหน้ามาทำตัวโดดเด่นในงานเทศกาลซีซีอีก พอนางได้เป็นบุตรสาวภรรยาเอก หลินซินก็เหน็บแนมว่านางทำตัวสูงส่ง ไม่รู้จักกฎระเบียบ เพราะถูกเลี้ยงดูจากอนุจนเสียนิสัย ไม่คู่ควรกับคำว่าบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกเลยแม้แต่น้อย
เสี่ยวจิ่วอวาปรายตามองหลินซินหลันครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตามาดูดอกไม้ต่อ หลินซินหลันที่เห็นเช่นนั้นก็โทสะพุ่งประทุ รีบก้าวเดินเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวาทันที
"เจ้ากล้าดียังไงมาเมินเฉยต่อข้า"
เสี่ยวจิ่วฮวาหันกลับมามองหลินซินหลันอีกครั้งก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่ชอบมองพวกต้นหญ้าต่ำเตี้ยให้เสียสายตา"
"นี่เจ้า!!! อ้อ เดี๋ยวนี้ได้เป็นบุตรสาวของภรรยาเอกแล้วเลยปากเก่งขึ้นสินะ คนเขาโจษจันกันทั้งเมืองหลวงว่าเจ้ามันไม่มีความดีอะไรเลย จิตใจชั่วร้าย ไม่สนใจใคร ไม่ว่าอยู่ในจวนหรืออยู่นอกจวนไร้มรรยาทไร้กฎระเบียบ รังแกแต่พี่สาวตนเอง สตรีเช่นเจ้าชาตินี้คงหาสามีที่ดีไม่ได้หรอก!!!"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ถูกด่าก็ไม่โกธร กลับยิ้มตาหยี แล้วเอ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี
"ตายจริง ขอบคุณพี่ซินหลันที่ชมข้านะ ท่านเองก็ไม่ต่างกันหรอก ทำตัวเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ แต่รู้เรื่องในจวนของคนอื่นทุกกระเบียดนิ้ว เขาเรียกว่าอันใดนะ อ้อ สอดรู้สอดเห็นใช่หรือไม่"
"เสี่ยวจิ่วฮวา!!!"
เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นว่าเหตุการณ์เริ่มไม่ดีเสียแล้วจึงเดินเข้ามาหาเสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะจับแขนน้องสาวเอาไว้และเอ่ยปราม
"อาจิ่ว อย่าไปสนใจคำพูดนาง จำที่ท่านแม่บอกเอาไว้ไม่ได้หรือ หลินซินหลัน เจ้าก็พูดให้น้อยๆ หน่อยเถิด"
เสี่ยวจิ่วฮวาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีกทั้งยังไม่ได้สลัดมือของเสี่ยวเย่วหยาออกจากแขนของตน เสี่ยวเย่วหยาเองก็แปลกใจไม่น้อย
ด้านหลินซินหลันที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยขึ้นมาทันที
"ทำไม!! เจ้าปกป้องนางแต่นางเคยเห็นหัวเจ้าหรือไม่ เจ้ามันโง่ซ้ำซาก ให้นางรังแกอยู่ได้ คนโง่เช่นเจ้าไม่สมควรเป็นสหายของข้าด้วยซ้ำเย่วหยา!!!! คิดว่าข้าไม่รู้หรือที่เจ้ามางานวันนี้ก็เพราะอยากเข้าใกล้คุณชายไป๋ เจ้าฝันไปเถิด ตราบใดที่เจ้ายังหดหัวเช่นนี้ เจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะได้แต่งกับเขาหรอก ข้าเชื่อว่าเขาย่อมไม่แต่งคนโง่เช่นเจ้าเข้ามาเป็นภรรยาเอกแน่นอน เจ้ามันโง่ คนโง่!!!"
เพียะ!!!!
"เสี่ยวจิ่วฮวา เจ้าตบปากข้าด้วยเหตุใด!!!"
"ขออภัยมือข้ากระตุกน่ะ ตายจริง กระตุกอีกแล้ว โอะ!! กระตุกไม่หยุดเลย มันจะกระตุกไปตบคนปากเสียอีกแล้วดูสิ!!"
หลินซินหลัน “..........”
เมื่อได้ยินว่าบุตรชายกลับมาถึงวังหลวงแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ดีใจไม่น้อย นางโผเข้ากอดบุตรชาย ก่อนจะจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกคนหามเข้ามาคราหนึ่ง และจึงเอ่ยถามเติ้งจื่อหยวน"นางคือ?""เสด็จแม่ นางคือสตรีของข้า ข้ารักนาง ท่านอย่าให้นางไปที่ใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันไปสบตากับเติ้งหมิงซีคราหนึ่ง เห็นว่าสามีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของคนทั้งสองหลายวันต่อมาอาการของฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีขึ้นมากแล้ว วันต่อมาก็มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่า เสี่ยวฮองเฮาเรียกนางให้เข้าไปพบฮวาชิงเหยี่ยนไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความ นางตรงไปที่ตำหนักคุณหนิงในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเสี่ยวฮองเฮาที่กำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ภายในตำหนัก"ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินก็มองฮวาชิงเหยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ลุกขึ้นเถิด หูเป่าหาที่นั่งให้นาง""เพคะฮองเฮา"ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกประหม่าไม่น้อย นางมาที่นี่เดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อมาอยู่ในวังและยังมีกฎเกณฑ์มากมายจึงยิ่งไม่คุ้นชิน เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมองออก จึงไม่ได้แสดงท่าทีกดดันนางเท่าใดนัก"
เติ้งหมิงซีลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ทราบข่าวก็เริ่มกระวนกระวายเพราะห่วงบุตรชาย โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากทั้งเจียงซวี่และหลี่จิ่ง ทำให้ไม่กี่วันต่อมาก็สามารถสืบพบกบฏเหล่านั้นได้ และจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันทิ้งไปเสีย แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลฮวาเกือบทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยนอกจากฮวาชิงเหยี่ยน เมื่อสอบสวนอย่างละเอ่ียด ก็พบว่าคนพวกนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เคยขึ้นตรงต่อเติ้งเจี๋ยมาก่อน และหวังจะแก้แค้นแทนเจ้านายของตน ส่วนคนตระกูลฮวานั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว และถูกหลอกใช้ให้ส่งข่าวความเป็นไปในเมืองหลวงให้ทราบเพียงเท่านั้น ยามนี้สกุลฮวาตายสิ้น บุตรชายเขาและบุตรสาวนักโทษนางนั้นก็ยังหายไปด้วยกันอีกเมื่อจัดการเรื่องนี้จบแล้ว ก็มีฎีการ้องเรียนไม่หยุดว่าเติ้งจื่อหยวนมีใจคิดไม่ซื่อ มีใจคิดก่อกบฏ เพราะเหตุนี้เติ้งหมิงซีจึงสั่งลงโทษพวกขุนนางเหล่านั้น จนเหล่าขุนนางต่างเงียบปากไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องใดออกมาอีกด้านเติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนนั้น ยามนี้คนทั้งสองหลบมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ด้านนอกเมืองหลวง ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกเจ็บเท้าไม่น้อยเล
เช้าวันต่อมาก็มีคนพบศพของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ ในตัวเขามีจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขากำลังติดต่อกับคนที่เติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนพบเจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ร่วมมือกับกบฏนอกวังหลวงเติ้งจื่อหยวนรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเลย แต่เรื่องนี้จะเก็บเงียบไม่ได้ย่อมต้องกราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อเติ้งหมิงซีรู้จึงสั่งตรวจสอบคนใกล้ชิดกับชายผู้นั้นทันทีไม่เว้นแม้แต่จวนสกุลฮวาสุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่าฮวาหยวนเองก็มีส่วนสมคบคิดกับชายผู้นั้นเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนส่งเรื่องราวและความเป็นไปของในเมืองหลวงให้แก่เหล่ากบฏ เพื่อแลกกับเงินไปใช้จ่ายในโรงพนันเขาคิดว่าอย่างไรย่อมไม่มีคนสาวมาถึงตัวเขา แต่ฮวาชิงเหยี่ยนบุตรสาวตัวดีกลับไปรู้เรื่องเข้า เขาตัดใจฆ่านางไม่ลง จึงสั่งให้นางแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นไปเสีย เมื่อแต่งงานออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่สามารถก่อคลื่นลมใดได้อีกแต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ใจของเขาคิด สุดท้ายตระกูลฮวาทั้งตระกูลกำลังจะถูกสั่งประหารชีวิตโทษฐานกบฏแต่เพราะเติ้งจื่อหยวนไปขอร้องบิดา ทำให
เติ้งจื่อหยวนหันมาสบตากับฮวาชิงเหยี่ยนอีกครา คนทั้งสองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเป็นฮวาชิงเหยี่ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเคยมาหาของป่าที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ท่านกับข้าเราต้องลงเขาไปด้วยกันในเวลานี้ ซึ่งมีเพียงทางเดียวคือกระโดดลงไปในแม่น้ำด้านล่างนั่นถึงจะหนีได้ ท่านกลัวหรือไม่"เติ้งจื่อหยวนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายเถอะ ประโยคนี้ควรเป็นเขาที่ถามนางมากกว่าสิ เหตุใดจึงกลายเป็นนางมาเอ่ยถามเขาเช่นนี้เล่ายามนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาต้องเร่งหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งจื่อหยวนจึงหันมาเอ่ยกับฮวาชิงเหยี่ยนในทันที"ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด เราไปกันเถอะ""อืม"เติ้งจื่อหยวนจับมือของฮวาชิงเหยี่ยนเอาไว้แน่น ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะพากันกระโดดหนีไปนั้น ก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเฉียดที่แขนของฮวาชิงเหยี่ยน จนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันไปมอง ทำให้สบตากับคนที่ยิงธนูใส่นางได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่เห็นอีกคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง เติ้งจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เขาใช้มีดสั้นที่มักพกติดกายมาด้วยเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บ และสั่งให้อง
ฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็ตั้งรับไม่ทัน นางพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของเฉินเย่ แต่ทว่าเฉินเย่เหมือนจะระวังตัวและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี จึงไม่เหลือทางให้นางได้จัดการเขาเลย "ดิ้นรนไปเถิด เจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าหรอก ข้าชอบเจ้ามากนะชิงชิง เป็นของข้าเถอะ" พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้ามาคิดจะจูบที่หน้าผากของนาง แต่ทว่าเฉินเย่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกใครบางคนลากไปจัดการเสียก่อน แสงเทียนที่สลัวรางทำให้มองเห็นทุกอย่างได้บ้าง ฮวาชิงเหยี่ยนมองเห็นว่าเติ้งจื่อหยวนกำลังจัดการเฉินเย่อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฝีมือของเขาดีมาก เฉินเย่ไม่ทันได้เอ่ยปากร้องขอความเมตตาก็โดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว เมื่อซ้อมคนเสร็จเติ้งจื่อหยวนก็สั่งให้คนของเขาลากเฉินเย่ไปโยนเอาไว้ที่ตลาดในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ต้องสั่งสอนให้รู้จักความอัปยศและความอับอายเสียบ้างเมื่อจัดการคนเรียบร้อย เติ้งจื่อหยวนก็หันมาเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนในทันที "เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่"ฮวาชิงเหยี่ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าสาม ท่านมาได้อย่างไรกัน"เติ้งจื่อหยวนจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางหันมามองเติ้งจื่อหยวนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้นางด่าเขาในใจเอาไว้มากมาย ยามนี้เมื่อได้เขาช่วยเหลือจนได้เงินคืนมาก็รู้สึกผิดในใจ"ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็ว่ามา"เติ้งจื่อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "เลี้ยงบะหมี่ข้าก่อน แล้วข้าจะบอก"ฮวาชิงเหยี่ยนคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงพาเขาไปกินบะหมี่ที่ร้านลุงหลี่ตามเดิม หลี่จิ่งมองดูคนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่งเห็นทีอาจิ่วคงกำลังจะมีลูกสะใภ้คนที่สามเสียแล้ว!!เมื่อกินอิ่มแล้ว เติ้งจื่อหยวนจึงเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนทันที"เจ้าชื่ออันใด""ฮวาชิงเหยี่ยน เรียกชิงชิงก็ได้ ท่านเล่า""เรียกข้าว่า เจ้าสามก็ได้"ฮวาชิงเหยี่ยนพยักหน้าคราหนึ่ง ชื่อแปลกพิลึกดีเติ้งจื่อหยวนจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ย"ภาพเหล่านั้นเจ้าวาดได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกับยุคสมัยนี้เลย ข้าชอบมาก มันคือที่ใดกัน"ฮวาชิงเหยี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี นางคิดใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมา"ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เหลือเ