"อาจิ่ว พวกเราไปกันเถอะ ท่านอ๋องเสด็จมาแล้ว"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่กำลังยืนมองด้วยความสงสัยพลันได้สติคืนมาเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเย่วหยา นางหันไปมอง ก่อนจะเอ่ยถาม
"เจ้าสนทนากับคุณชายใหญ่ไป๋เป็นเช่นไรบ้าง"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะพยักหน้าพลางเอ่ยตอบ
"อืม เขาสุภาพมาก"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้เห็นเช่นนี้ก็เพียงพยักหน้าเล็กน้อย เสี่ยวเย่วหยายื่นมือมาจับแขนของเสี่ยวจิ่วฮวาให้เดินไปพร้อมกับนาง เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองมือนั้นของเสี่ยวเย่วหยาก่อนจะถอนหายใจออกมา ชาติก่อนก็เป็นเช่นนี้ เสี่ยวเย่วหยามักจะคอยจับมือจับแขนนาง ทุกๆ คราที่ไปไหนพร้อมกันก็จะทำเช่นนี้ แต่ยามนั้นนางสลัดมือพี่สาวออก และชี้หน้าด่าว่าอย่าเสนอหน้าเข้ามาใกล้
ความรักและความห่วงใยที่เสี่ยวเย่วหยามีต่อนางไม่เคยน้อยลงเลยสักวัน
สองพี่น้องเดินมาหยุดที่ด้านหน้าเรือนใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามจ้องมองใบหน้าของท่านอ๋องผู้นั้นแต่นางอยู่ห่างจากเขามากจึงมองไม่ถนัดนัก
แต่เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นตาจังนะ?
เสี่ยวจิ่วฮวาขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเสี่ยวเย่วหยา
"นี่เย่วหยา เจ้าเคยเห็นใบหน้าของท่านอ๋องหรือไม่ เมื่อครู่ข้าได้ยินเหล่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์บอกว่าเขาเป็นบ้าใบ้สติไม่ดี"
เสี่ยวเย่วหยาที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบดึงเสี่ยวจิ่วฮวาให้เขามาใกล้นาง ก่อนจะกระซิบบางอย่างที่ข้างหู เสี่ยวจิ่วฮวายังไม่เคยชินจึงมีท่าทางเก้ๆ กังๆ ไม่น้อย
"เจ้าอย่าได้พูดไปเชียว ข้าได้ยินเรื่องเล่าลือมาว่าท่านอ๋องผู้นี้มีนามว่าเติ้งหมิงซี ที่เขาได้ตำแหน่งจวิ้นอ๋องเพราะสืบทอดตำแหน่งต่อมาจากบิดา อดีตจวิ้นอ๋องแต่ก่อนเก่งกาจและเชี่ยวชาญการรบมาก แต่เมื่อกลับจากสนามรบและปราบกบฎต่างแคว้นได้ก็ล้มป่วยและตายลง ตอนนั้นจวิ้นอ๋องคนปัจจุบันมีอายุสิบหกปีแล้ว ผู้คนเล่าลือกันว่าเขานี่แหละคือเทพสงครามต่อจากบิดาของตน เขาออกรบทำศึกได้ชัยชนะต่อเนื่อง แต่ไม่รู้เพราะเหตุตอนที่เข้าร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งสุดท้ายได้ยินว่าเขาถูกศัตรูของกบฏใช้ธนูอาบยาพิษยิงเข้าที่หน้าอกฝั่งขวาของเขาและตกจากหลังม้าจนศีรษะได้รับการกระแทก เขารอดตายมาได้ แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นใบ้ สมองไม่ดี ได้หน้าลืมหลัง ออกไปที่ไหนก็ต้องมีคนคอยประคอง บางคราก็หัวเราะเล่นสนุกเหมือนกับเด็กน้อย"
เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกตกใจไม่น้อย แต่ทว่านางกลับครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่างขึ้นมา
จวิ้นอ๋องหรือ?
เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักที่แต่จำไม่ได้
เสี่ยวจิ่วฮวาพยายามครุ่นคิด นางคิดถึงตอนที่หนีออกจากวังพร้อมพี่ชายพี่สาว พี่ชายพานางหนี แต่หลังจากนั้นนางจำไม่ได้ว่าพี่ชายจะพานางหนีไปรวมกับผู้ใด นางจำได้เพียงว่าท่านแม่และพี่สาวพี่ชายตายหมด ส่วนท่านพ่อก็ไม่ได้พบกันอีก หลังจากนั้นเติ้งเจี๋ยอดีตสามีของนางถูกสังหาร แต่ใครเป็นคนสังหารเขานางกลับจำไม่ได้ภาพนั้นมันเลือนรางเสียเหลือเกิน
เหมือนว่าความทรงจำในชาติก่อนของนางจะลืมเลือนใครบางคนไป นางเองก็จำไม่ได้ว่าคนผู้นั้นคือใครพยายามคิดเท่าใดก็คิดไม่ออก
เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นว่าอยู่ๆ เสี่ยวจิ่วฮวาก็หน้าซีดเผือดจึงคิดว่านางป่วยหรือเกิดไม่สบายขึ้นมา จึงยื่นมือมาแตะหน้าผากของเสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะเอ่ย
"อาจิ่ว เจ้าเป็นอันใด เหตุใดหน้าจึงซีดเผือดเช่นนี้เล่า"
เสี่ยวจิ่วฮวาหลับตาลงพลางขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้นางจะต้องปวดหัวเหมือนจะหน้ามืดทุกครั้ง นางพยายามตั้งสติ ก่อนจะลืมตามามองเสี่ยวเย่วหยา เสี่ยวเย่วหยาที่เห็นอย่างนั้นก็สะดุ้งก่อนจะรีบเอามือออกมาจากหน้าผากของน้องสาวทันที เสี่ยวจิ่วฮวาที่เห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"ข้าไม่เป็นอันใด คงเพราะหิว"
"หิวหรือ ข้ามีขนมดอกกุ้ยเหลืออยู่ เจ้ารับไปสิ"
เสี่ยวเย่วหยาวางขนมดอกกุ้ยใส่มือของเสี่ยวจิ่วฮวา ก่อนจะยิ้มตาหยี เสี่ยวจิ่วฮวาจ้องมองเสี่ยวเย่วหยา รู้สึกขอบตาเริ่มจะแดงระเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว แต่ทว่านางกลับเงยหน้าขึ้นก่อนจะเอ่ย
"อืม ขอบคุณ"
เสี่ยวเย่วหยาแม้จะแปลกใจแต่ก็ดีใจไม่น้อย น้องรองไม่หาเรื่องนางนับว่าเป็นเรื่องดี แต่น้องรองที่เป็นเช่นนี้ดูน่ารักมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก เรื่องเก่าก่อนนางไม่ถือสา ออกจะสงสารด้วยซ้ำที่เสี่ยวจิ่วฮวาต้องถูกเลี้ยงดูจากอนุจนกลายเป็นคนมีปมในใจเช่นนี้
เสี่ยวจิ่วฮวากัดขมนกุ้ยฮวากินคำหนึ่ง ตอนนี้ผู้คนกำลังเข้าไปคำนับจวิ้นอ๋ฮงใบ้คนนั้น นางได้ยินเสี่ยวเย่วหยาบอกอีกว่า มารดาของจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นบุตรสาวของฮูหยินผู้เฒ่าไป๋ที่แต่งกับอดีตจวิ้นอ๋อง เสี่ยวจิ่วฮวาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าเหตุใดเขาจึงมาที่นี่
เพราะเป็นเครือญาติใกล้ชิดกันนี่เอง
ผู้คนแม้เบื้องหน้าจะเคารพนบนอบ แต่มีบางคนลอบดูแคลนเขา ฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาทันที
"วันนี้ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน วันนี้งานเลี้ยงจบแล้ว ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง"
ทุกคนในงานต่างรู้ดีว่าวันนี้งานเลี้ยงคงจบลงเพียงเท่านี้แล้ว จึงแยกย้ายกันกลับจวนของตนไป เสี่ยวจิ่วฮวาและเสี่ยวเย่วหยาเดินเข้ามาหามารดาของตนที่กำลังเอ่ยร่ำลาคนตระกูลไป๋อยู่ที่โถงใหญ่ ไป๋หล่างยังคงมองเสี่ยวเย่วหยาอย่างอ่อนโยนเช่นเดิม
"วันนี้ขออภัยที่บุตรสาวก่อเรื่อง หวังว่าทุกท่านจะไม่ถือสา"
"เสี่ยวฮูหยินกล่าวหนักเกินไปแล้ว ไป๋หล่างบอกข้าหมดแล้ว คุณหนูหลินน่ะก่อเรื่องก่อนแล้วยังลงไม้ลงมือกับเย่วหยา โชคดีที่ได้คุณหนูรองเสี่ยวช่วยพี่สาวจึงไม่เจ็บตัวนัก จะว่าไปข่าวลือด้านนอกก็เชื่อถือไม่ได้เลยจริงๆ ดูสิ เย่วหยาและจิ่วฮวาก็ดูรักใคร่กันดี"
เสี่ยวฮูหยินไม่เอ่ยสิ่งใดเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอำลาและเดินทางกลับจวน ระหว่างนั้นที่เสี่ยวจิ่วฮวากำลังเดินหันหลังกลับนางก็สบตาเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวเทพสวรรค์ นางชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น ใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ในใจครุ่นคิดเพียงแค่ว่า
เหมือนเคยเห็นที่ไหนสักที่แต่จำไม่ได้!!!
ด้านเติ้งหมิงซีก็จ้องมองเสี่ยวจิ่วฮวาเช่นเดียวกัน เขาทำท่าทางเอียงคอมองนางราวกับเด็กน้อย ก่อนจะหัวเราะชอบใจออกมาและปรบมือเปาะแปะเหมือนกับเด็กๆ พร้อมกับชี้ไม้ชี้มือทำท่าเหมือนจะพูดกับนางอยากเล่นกับนาง ฮูหยินผู้เฒ่าจวนตระกูลไป๋ที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยทันที
"ขออภัยที่ทำให้คุณหนูรองเสี่ยวตกใจ ท่านนี้คือจวิ้นอ๋องเติ้งหมิงซี พวกเจ้ารีบพาท่านอ๋องกลับไปพักที่จวนเถอะ งานเลี้ยงจบแล้ว ของขวัญชิ้นนี้ข้าจะเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ท่านอ๋องเดินเหินลำบากพวกเจ้าจะต้องดูแลเจ้านายให้ดี!!"
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยกับนางจบก็หันไปเอ่ยกับคนที่ติดตามจวิ้นอ๋องมาต่อทันที เพราะเกรงว่าเติ้งหมิงซีจะทำให้เสี่ยวจิ่วฮวาตกใจ เสี่ยวจิ่วฮวาเอาแต่ครุ่นคิดจนลืมพิธีการมรรยาท เมื่อเห็นสายตาตำหนิของมารดานางจึงนึกขึ้นได้ และย่อกายคำนับจวิ้นอ๋องทันที
"ขออภัยที่หม่อมฉันเสียมรรยาทเพคะ"
เติ้งหมิงซีเอียงคอมองนางอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มตาหยี และปรบมืออยู่เช่นนั้น จนกระทั่งมีคนรับใช้พากลับออกไป เมื่อคนไปแล้วเสี่ยวจิ่วฮวาจึงเดินทางกลับจวนพร้อมมารดาและพี่สาว ระหว่างทางนางเองกลับสงสัยในใจ ในเมื่อเป็นเครือญาติกันเหตุใดต้องทำท่าทางเหมือนไม่อยากพบหน้าและยังเอ่ยวาจาไล่ทางอ้อมด้วยเล่า
หรือว่ารังเกียจที่เขาเป็นเช่นนี้ จะโหดร้ายเกินไปแล้วกระมัง?
ด้านเติ้งหมิงซีนั้นตอนที่เขากำลังจะเดินขึ้นไปบนรถม้า ก็หันกลับมามองเสี่ยวจิ่วฮวาอีกครา แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้มตบมือเหมือนคนไม่รับรู้สิ่งใด แต่ในใจของเขากลับครุ่นคิด
เจอกันอีกแล้ว สตรีที่ข้าฝันถึงนางนั้น!!
เมื่อได้ยินว่าบุตรชายกลับมาถึงวังหลวงแล้ว เสี่ยวจิ่วฮวาก็ดีใจไม่น้อย นางโผเข้ากอดบุตรชาย ก่อนจะจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกคนหามเข้ามาคราหนึ่ง และจึงเอ่ยถามเติ้งจื่อหยวน"นางคือ?""เสด็จแม่ นางคือสตรีของข้า ข้ารักนาง ท่านอย่าให้นางไปที่ใดเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"เสี่ยวจิ่วฮวาหันไปสบตากับเติ้งหมิงซีคราหนึ่ง เห็นว่าสามีเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ก่อนจะสั่งให้หมอหลวงในวังมาตรวจดูอาการของคนทั้งสองหลายวันต่อมาอาการของฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีขึ้นมากแล้ว วันต่อมาก็มีนางกำนัลเข้ามาบอกว่า เสี่ยวฮองเฮาเรียกนางให้เข้าไปพบฮวาชิงเหยี่ยนไม่ได้ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความ นางตรงไปที่ตำหนักคุณหนิงในทันที เมื่อเข้ามาถึงก็พบกับเสี่ยวฮองเฮาที่กำลังนั่งจิบชาร้อนอย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่ภายในตำหนัก"ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ"เสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ยินก็มองฮวาชิงเหยี่ยนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ลุกขึ้นเถิด หูเป่าหาที่นั่งให้นาง""เพคะฮองเฮา"ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกประหม่าไม่น้อย นางมาที่นี่เดิมทีก็ใช้ชีวิตไม่ง่าย เมื่อมาอยู่ในวังและยังมีกฎเกณฑ์มากมายจึงยิ่งไม่คุ้นชิน เสี่ยวจิ่วฮวาเองก็พอจะมองออก จึงไม่ได้แสดงท่าทีกดดันนางเท่าใดนัก"
เติ้งหมิงซีลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ส่วนเสี่ยวจิ่วฮวาที่ได้ทราบข่าวก็เริ่มกระวนกระวายเพราะห่วงบุตรชาย โชคดีที่ได้ความช่วยเหลือจากทั้งเจียงซวี่และหลี่จิ่ง ทำให้ไม่กี่วันต่อมาก็สามารถสืบพบกบฏเหล่านั้นได้ และจัดการถอนรากถอนโคนพวกมันทิ้งไปเสีย แต่น่าเสียดายที่คนตระกูลฮวาเกือบทั้งหมดไม่มีใครรอดชีวิตเลยนอกจากฮวาชิงเหยี่ยน เมื่อสอบสวนอย่างละเอ่ียด ก็พบว่าคนพวกนั้นเดิมทีเป็นกลุ่มคนที่เคยขึ้นตรงต่อเติ้งเจี๋ยมาก่อน และหวังจะแก้แค้นแทนเจ้านายของตน ส่วนคนตระกูลฮวานั้นก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ไม่ได้เรื่องได้ราว และถูกหลอกใช้ให้ส่งข่าวความเป็นไปในเมืองหลวงให้ทราบเพียงเท่านั้น ยามนี้สกุลฮวาตายสิ้น บุตรชายเขาและบุตรสาวนักโทษนางนั้นก็ยังหายไปด้วยกันอีกเมื่อจัดการเรื่องนี้จบแล้ว ก็มีฎีการ้องเรียนไม่หยุดว่าเติ้งจื่อหยวนมีใจคิดไม่ซื่อ มีใจคิดก่อกบฏ เพราะเหตุนี้เติ้งหมิงซีจึงสั่งลงโทษพวกขุนนางเหล่านั้น จนเหล่าขุนนางต่างเงียบปากไม่กล้าเอ่ยปากพูดเรื่องใดออกมาอีกด้านเติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนนั้น ยามนี้คนทั้งสองหลบมาอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ด้านนอกเมืองหลวง ฮวาชิงเหยี่ยนรู้สึกเจ็บเท้าไม่น้อยเล
เช้าวันต่อมาก็มีคนพบศพของชายวัยกลางคนผู้นั้นที่โรงเตี๊ยม แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หวาดหวั่นยิ่งกว่าก็คือ ในตัวเขามีจดหมายฉบับหนึ่ง เนื้อหาในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า เขากำลังติดต่อกับคนที่เติ้งจื่อหยวนและฮวาชิงเหยี่ยนพบเจอ และดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ร่วมมือกับกบฏนอกวังหลวงเติ้งจื่อหยวนรู้สึกว่ามันเกินความคาดหมายไปไม่น้อยเลย แต่เรื่องนี้จะเก็บเงียบไม่ได้ย่อมต้องกราบทูลเสด็จพ่อ เมื่อเติ้งหมิงซีรู้จึงสั่งตรวจสอบคนใกล้ชิดกับชายผู้นั้นทันทีไม่เว้นแม้แต่จวนสกุลฮวาสุดท้ายแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อเขาพบว่าฮวาหยวนเองก็มีส่วนสมคบคิดกับชายผู้นั้นเช่นเดียวกัน เขาเป็นคนส่งเรื่องราวและความเป็นไปของในเมืองหลวงให้แก่เหล่ากบฏ เพื่อแลกกับเงินไปใช้จ่ายในโรงพนันเขาคิดว่าอย่างไรย่อมไม่มีคนสาวมาถึงตัวเขา แต่ฮวาชิงเหยี่ยนบุตรสาวตัวดีกลับไปรู้เรื่องเข้า เขาตัดใจฆ่านางไม่ลง จึงสั่งให้นางแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นไปเสีย เมื่อแต่งงานออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่สามารถก่อคลื่นลมใดได้อีกแต่เรื่องราวกลับไม่เป็นดังที่ใจของเขาคิด สุดท้ายตระกูลฮวาทั้งตระกูลกำลังจะถูกสั่งประหารชีวิตโทษฐานกบฏแต่เพราะเติ้งจื่อหยวนไปขอร้องบิดา ทำให
เติ้งจื่อหยวนหันมาสบตากับฮวาชิงเหยี่ยนอีกครา คนทั้งสองมองซ้ายมองขวา ก่อนจะเป็นฮวาชิงเหยี่ยนที่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน"ข้าเคยมาหาของป่าที่นี่อยู่บ่อยครั้ง ท่านกับข้าเราต้องลงเขาไปด้วยกันในเวลานี้ ซึ่งมีเพียงทางเดียวคือกระโดดลงไปในแม่น้ำด้านล่างนั่นถึงจะหนีได้ ท่านกลัวหรือไม่"เติ้งจื่อหยวนรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ให้ตายเถอะ ประโยคนี้ควรเป็นเขาที่ถามนางมากกว่าสิ เหตุใดจึงกลายเป็นนางมาเอ่ยถามเขาเช่นนี้เล่ายามนี้ไม่มีเวลามาคิดเรื่องเช่นนี้แล้ว เขาต้องเร่งหนีออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นเติ้งจื่อหยวนจึงหันมาเอ่ยกับฮวาชิงเหยี่ยนในทันที"ข้าไม่เคยกลัวสิ่งใด เราไปกันเถอะ""อืม"เติ้งจื่อหยวนจับมือของฮวาชิงเหยี่ยนเอาไว้แน่น ในขณะที่คนทั้งสองกำลังจะพากันกระโดดหนีไปนั้น ก็มีธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาเฉียดที่แขนของฮวาชิงเหยี่ยน จนนางเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหันไปมอง ทำให้สบตากับคนที่ยิงธนูใส่นางได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากลับไม่เห็นอีกคนที่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง เติ้งจื่อหยวนที่เห็นเช่นนั้นก็ตกใจไม่น้อย เขาใช้มีดสั้นที่มักพกติดกายมาด้วยเขวี้ยงใส่คนผู้นั้นจนได้รับบาดเจ็บ และสั่งให้อง
ฮวาชิงเหยี่ยนที่ถูกจู่โจมอย่างกะทันหันก็ตั้งรับไม่ทัน นางพยายามดิ้นให้หลุดจากเงื้อมมือของเฉินเย่ แต่ทว่าเฉินเย่เหมือนจะระวังตัวและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี จึงไม่เหลือทางให้นางได้จัดการเขาเลย "ดิ้นรนไปเถิด เจ้าไม่รอดเงื้อมมือของข้าหรอก ข้าชอบเจ้ามากนะชิงชิง เป็นของข้าเถอะ" พูดจบก็โน้มใบหน้าเข้ามาคิดจะจูบที่หน้าผากของนาง แต่ทว่าเฉินเย่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นก็ถูกใครบางคนลากไปจัดการเสียก่อน แสงเทียนที่สลัวรางทำให้มองเห็นทุกอย่างได้บ้าง ฮวาชิงเหยี่ยนมองเห็นว่าเติ้งจื่อหยวนกำลังจัดการเฉินเย่อย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฝีมือของเขาดีมาก เฉินเย่ไม่ทันได้เอ่ยปากร้องขอความเมตตาก็โดนซ้อมจนสลบเหมือดไปเสียแล้ว เมื่อซ้อมคนเสร็จเติ้งจื่อหยวนก็สั่งให้คนของเขาลากเฉินเย่ไปโยนเอาไว้ที่ตลาดในสภาพเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ ต้องสั่งสอนให้รู้จักความอัปยศและความอับอายเสียบ้างเมื่อจัดการคนเรียบร้อย เติ้งจื่อหยวนก็หันมาเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนในทันที "เจ้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่"ฮวาชิงเหยี่ยนส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย "เจ้าสาม ท่านมาได้อย่างไรกัน"เติ้งจื่อหยวนจ้องมองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ฮวาชิงเหยี่ยนก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางหันมามองเติ้งจื่อหยวนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนหน้านี้นางด่าเขาในใจเอาไว้มากมาย ยามนี้เมื่อได้เขาช่วยเหลือจนได้เงินคืนมาก็รู้สึกผิดในใจ"ท่านจะให้ข้าตอบแทนเช่นไรก็ว่ามา"เติ้งจื่อหยวนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองฮวาชิงเหยี่ยนคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย "เลี้ยงบะหมี่ข้าก่อน แล้วข้าจะบอก"ฮวาชิงเหยี่ยนคิดว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางจึงพาเขาไปกินบะหมี่ที่ร้านลุงหลี่ตามเดิม หลี่จิ่งมองดูคนทั้งสองก่อนจะยกยิ้มมุมปากคราหนึ่งเห็นทีอาจิ่วคงกำลังจะมีลูกสะใภ้คนที่สามเสียแล้ว!!เมื่อกินอิ่มแล้ว เติ้งจื่อหยวนจึงเอ่ยถามฮวาชิงเหยี่ยนทันที"เจ้าชื่ออันใด""ฮวาชิงเหยี่ยน เรียกชิงชิงก็ได้ ท่านเล่า""เรียกข้าว่า เจ้าสามก็ได้"ฮวาชิงเหยี่ยนพยักหน้าคราหนึ่ง ชื่อแปลกพิลึกดีเติ้งจื่อหยวนจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะเอ่ย"ภาพเหล่านั้นเจ้าวาดได้เช่นไรกัน มันไม่เหมือนกับยุคสมัยนี้เลย ข้าชอบมาก มันคือที่ใดกัน"ฮวาชิงเหยี่ยนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะเอ่ยเช่นไรดี นางคิดใคร่ครวญคำพูด ก่อนจะเอ่ยออกมา"ความจริงมันก็เป็นเรื่องที่เหลือเ