ในลานกว้างหน้าเรือนกลาง สายลมแห่งยามบ่ายยังพัดเอื่อยราวกระซิบขับกล่อมความรู้สึกขณะผู้ใหญ่สนทนากันอย่างสงบ ท่ามกลางสายตาทอดมองมายังเด็กๆเสียงหัวเราะใสๆ ดังขึ้นจากทางเดินด้านข้าง เป็นเสียงของ อี้เหยา ที่กำลังเดินเคียงมากับ เว่ยจิน ที่ยังคงวางท่าเงียบขรึมแต่ใบหน้าเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นทุกทีเบื้องหลังอีกด้าน ไป๋ฮวา เดินพลางถือพัดแกะสลัก เดินเยื้องย่างเหมือนดอกไม้บานสะพรั่งในสวนฤดูใบไม้ผลิ ข้างกายคือ ไท่จือซางหลาง ที่ยามนี้สีหน้าราวกับดอกเหมยแรกแย้มเช่นกัน"ซางหลาง ท่านไม่ต้องทำหน้าเหมือนเพิ่งถูกตัดสิทธิ์จากงานสอบขุนนางก็ได้นะ" เว่ยจินเอ่ยเย้า แววตาแพรวพราว"ข้าเพียงสงสัยว่า เหตุใดสตรีบางคนจึงชอบยั่วโมโชข้าแล้วทำเฉยราวกับไร้เดียงสา" ซางหลางเอ่ยเนิบช้า แต่ดวงตากลับจ้องไป๋ฮวาไม่ละ"ข้าเนี่ยนะ? เด็กน้อยใสซื่อเช่นข้าจะยั่วโมโหไท่จือผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน" ไป๋ฮวาเชิดหน้าระคนยิ้มซางหลางพ่นลมหายใจ คล้ายจนปัญญา ก่อนจะหลุดยิ้ม "เจ้านี่…สมแล้วที่ทำให้ข้าต้องวนเวียนมาที่จนอ๋องไร้พ่าย"“ทำไมต้องมา”“ก็เพราะข้าอาจต่อคำเจ้าจนชนะอย่างไรเล่า จึงต้องแวะมาต่อคำเจ้าจากคนพูดน้อยกลายเป็นคนพูดมาก” คนทั้งหม
ณ มุมสวนด้านตะวันตกของจวนอ๋องไร้พ่าย ภายหลังการแสดงและพิธีรินชา ผู้คนต่างทยอยแยกย้ายไปตามมุมพักผ่อน แต่เสียงหัวเราะใสๆ กลับดังขึ้นจากใต้ต้นเหมยซึ่งกำลังออกดอกบานสะพรั่ง“เจ้ารู้หรือไม่” ไป๋ฮวาเดินเข้ามาด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้ม ขณะในมือถือถาดขนมเปี๊ยะหอมใหม่แกะจากห้องเครื่อง “การที่อี้หลินยกชาส่งให้เจ้า นั่นหมายถึงนางให้โอกาสเจ้าได้แก้ตัวแล้ว”ไป๋อวี้ยกจอกชาขึ้นจิบเบาๆ แววตาแฝงความหมายจนยากจะปิดบัง “แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพอจะเอื้อมขออะไรจากนาง…”“ก็ดีแล้ว” ไป๋ฮวาหัวเราะพลางเอื้อมมือหยิบขนมเปี๊ยะส่งให้ “ถือว่าฟ้าให้โอกาส อย่ารีบเร่งนักต้องใจเย็นๆ นางยังไม่ไปไหน”ก่อนที่ไป๋อวี้จะทันตอบเสียงทุ้มหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง“เมื่อใดข้าจึงจะได้โอกาสดีๆ เช่นนั้นบ้างเล่า”เสียงนั้นอ่อนโยนแต่แฝงรอยตัดพ้อบางเบาไท่จือซางหลางยืนพิงเสาไม้ ทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่วางตา…ไป๋ฮวายกคิ้ว ทำทีเป็นไม่เข้าใจในความหมาย “ท่านหมายถึง…อี้หลินหรือ เช่นนั้นเจ้าต้องข้ามศพเจ้ากบไปก่อนล่ะ ข้าจะช่วยถือดาบให้ ลำบากท่านแล้ว ไท่จือซางหลางเอาอย่างนี้ไป๋ฮวาเป็นแม่สื่อให้ท่านเองดีไหม”“หึ…” ซางหลางถอนหายใจ ก่อนจะสาวเท
ไป๋อวี้...ยืนอยู่ใต้เงาร่มไผ่ ใบหน้าเงียบขรึมแต่ดวงตากลับเปี่ยมด้วยความรู้สึกหลากหลายเขาจ้องมองอี้หลินด้วยสายตาที่สะท้อนทั้งความรู้สึกผิดเขาปรามาสนางเกินไปดวงตาคู่นั้นเหมือนจะได้ยินทุกถ้อยคำจากปากนางทุกถ้อยคำที่เปรียบเสมือนเข็มทิ่มกลางอกเขาขยับเท้า...ราวจะก้าวไปข้างหน้าแต่แล้ว...กลับหยุดชะงักใจเต้นแรงดั่งระฆังทองถูกเคาะในอกสุดท้าย เขาทำได้เพียงมองนางเงียบๆแม้ยืนอยู่แค่ปลายสายตา... ก็ยังไม่กล้าเดินเข้าใกล้ความรู้สึกผิดเต็มหัวใจเว่ยจิน ไท่จือแห่งเป่ยเอียน เดินตรงเข้ามาตรงหน้าเจียวหยูและตงเกานั่งเคียงข้างกันเว่ยจินหยุดยืนตรง ก้มศีรษะคารวะอย่างนอบน้อม“ข้าน้อยเว่ยจิน คารวะฮูหยินเจียวหยูและท่านฟางตงเกา เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบท่านทั้งสองในวันนี้”เจียวหยูยิ้มบาง แต่แววตายังคงสุขุมเปี่ยมไปด้วยชั้นเชิงของสตรีที่ผ่านโลกมามาก นางพยักหน้ารับ“เจ้าช่างเติบโตมาได้องอาจสมกับที่เป็นโอรสของฮ่องเต้โตวโฮฉินและองค์หญิงเก้าจิวอันนัก ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้าไม่น้อย...”ตงเกาเอ่ยขึ้นบ้าง เสียงนุ่มลึก“ตระกูลเป่ยเอียนและตระกูลฟางแม้ไม่เคยเกี่ยวข้องกันโดยตรงแต่ก็เคยมีสายสัมพันธ์อันดีกันในอดีต บ
เสียงปรบมือสองที… แปะ… แปะ…ผู้คนหันขวับใต้ร่มพัดไผ่ลายทอง ไท่จือเว่ยจินยืนนิ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มปักลายพญาอินทรีเหินเวหา ดวงตาคมยามนั้นมีแววเฉียบขาดแต่เรียบสงบ ริมฝีปากคลี่ยิ้มบาง เปิดเผยจริงใจเขาหันข้างเล็กน้อย แล้วกล่าวกับขันทีคนสนิทเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่น“นำของกำนัลไปมอบให้คุณหนูทั้งสอง… กล่าวกับนางว่า ข้าชื่นชมจากใจ”ขันทีนามหลิวกวง โค้งรับคำ แล้วเบี่ยงตัวออกไปในมือมีหีบไม้จันทน์ขนาดเล็กสองกล่อง ห่อด้วยผ้าไหมทอด้วยดิ้นทองขันทีน้อยยืนเบื้องหน้าสองพี่น้อง แล้วกล่าวด้วยเสียงชัดเจน“ไท่จือเว่ยจิน รับชมการแสดงของคุณหนูฟางทั้งสองด้วยความประทับใจอย่างยิ่งจึงขอมอบของกำนัลนี้แด่ท่านทั้งสอง เพื่อเป็นเกียรติและคำขอบคุณในศิลปะอันเลอค่า ขอให้รับไว้เถิดขอรับ”อี้เหยาถอนหายใจไม่ชอบใจท่าทีอวดสรรพคุณของเว่ยจินนัก ก่อนที่อี้หลินจะรับเอาหีบไม้ประคองไว้ด้วยมือนุ่มนวลอี้เหยายืนนิ่ง แต่ก็ย่อกายเล็กน้อย กล่าวเสียงนุ่ม“ไท่จือเมตตาเกินไปเพคะ พวกหม่อมฉันหาได้กล้ารับสิ่งใดโดยไม่กล่าวคำขอบคุณ...”เว่ยจินเพียงแค่ยกมือขึ้นเบา ๆ“อย่าได้เกรงใจ... สตรีที่ยิงธนูแม่นยำราวกับอ่านใจได้ และผู้บรรเลงพิณเสนาะจ
เสียงพิณแว่วแผ่วจากเหล่านางดนตรี เพลงบรรเลงพลิ้วราวหมอกยามเช้า ผสานเข้ากับเสียงดีดเครื่องสายอย่างสงบเยือกเย็นบนฟากฟ้าเหนือเวที…สายลมเริ่มพัดแรง ใบหลิวปลิวว่อนประหนึ่งสัญญาณแห่งความแปรเปลี่ยนทันใดนั้นเองเสียงตะโกนจากผู้ดำเนินงานดังกังวาน“และบัดนี้...ขอเชิญรับชมการแม่นธนูและบรรเลงเพลงพิณจากบุตรีบ้านฟาง คุณหนูฟางอี้หลิน และคุณหนูฟางอี้เหยา”จู่ๆ แสงไฟเวทีพลันหรี่ลง ท้องฟ้าสีทองส้มฉายเงาผ่านหลังคาศาลาไม้สูงเสียงลมหวิว…ผู้คนทั้งงานหันหน้าขึ้นไปพร้อมกันและแล้วร่างหนึ่งในชุดสีฟ้าครามปักลายปรากฏกายเหนือหลังคาศาลา ใบหน้าปิดบังไว้ด้วยหน้ากากอัปลักษณ์สลักลายคล้ายหยกกะเทาะ ร่อนตัวลงจากหลังคา ร่างเบาหวิวราวกับขนนก ในนาทีที่เท้าสัมผัสพื้นเวที ก็ยืนในท่ามั่นเสียงฮือฮาอื้ออึง มือขวายกคันธนูไม้หอมขึ้นเหนี่ยวสายคันธนูดั่งเทพีธนูที่หลุดมาจากตำนานเสียงฮือฮาทั้งลานดังขึ้นอีกครั้งกับท่าทีสง่างามเกินหญิง“นั่นหรือคุณหนูฟาง ไหนว่าพวกนางสองพี่น้องงดงามราวเทพีสวรรค์ แล้วเหตุใดถึงสวมหน้ากากอัปลักษณ์เช่นนั้น “หรือตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่” เสียงซุบซิบดังไปทั่วลานท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ไป๋อวี้ที่นั่
กลิ่นหอมจากชาอู่หลงชั้นเลิศลอยแผ่วอ้อยอิ่ง ขับกล่อมให้ลานน้ำชาชั้นสูงดูอบอุ่นและงดงามในแสงอาทิตย์อ่อน ๆอี้เหยาในอาภรณ์ผ้าไหมสีชมพูอ่อนปักดอกเหมย ยืนเคียงมารดาเจียวหยูริมซุ้มพฤกษา แววตาเธอจับจ้องไปยังขบวนเสด็จของโตวโฮฉินและเครื่องบรรณาการที่มีไท่จือเว่ยจินปรากฏตัวพร้อมกับขบวนบรรณาการอลังการอี้เหยาเบ้ปากเล็กน้อย ขณะกระซิบเบาๆ กับมารดา“ท่านแม่...บุรุษหน้ายิ้มผู้นั้นคือผู้ใดหรือเจ้าคะ ช่างทำตัวเย่อหยิ่งราวกับโลกทั้งใบเป็นของเขา มิรู้จักความพอดีเอาเสียเลย”เจียวหยูหันมามองลูกสาวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงนุ่ม“นั่นคือไท่จือเว่ยจิน บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนขององค์หญิงเก้าจิวฮัวกับฮ่องเต้โตวโฮฉินแห่งแคว้นเป่ยเอียน”อี้เหยาทำตาโต“โอ้...เชื้อสายสูงศักดิ์เช่นนั้นหรือ...ก็ว่าอยู่ ทำไมถึงดูร่ำรวยและ...อวดดีนัก”“เหยาเอ๋อร์” เจียวหยูปรามเสียงเบาแต่จริงจัง “แม้เจ้าจะไม่ชอบเขา ก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น บุญคุณเก่าระหว่างแคว้นเป่ยเอียนกับเรา รวมถึงตัวฝ่าาทกับฮองเฮาแคว้นเป่นเอียน เคยมีต่อพ่อเจ้าและตัวแม่ไม่น้อย เขาก็ไม่ต่างจากเฉิงอู๋อ๋องกับพระชายาที่เจ้าชื่นชมนัก”อี้เหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย“แต่เขามิใช่เฉิงอู๋อ๋อง