ไป๋ฮวากำลังยืนอยู่ริมระเบียงห้องของตน มือบางยื่นไปรับเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทีละน้อย ดวงตากลมโตจ้องมันราวกับเด็กน้อยไม่เคยเห็นมาก่อนเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลังก่อนที่เสื้อคลุมตัวหนาและอุ่นจะถูกวางลงบนไหล่ของนางอย่างแผ่วเบา“วันนี้ข้าทำใจแข็ง ไม่คิดถึงเจ้าเสียทั้งวัน แต่พอหัวถึงหมอน ก็เห็นแต่หน้านี้…ดวงตาคู่นี้…เสียงเจ้านินทาข้าอยู่ในหัวไม่หยุดเลย”ไป๋ฮวาหลุดหัวเราะคิก “ข้าไป๋ฮวากล้านินทาท่านด้วยหรือ”ซางหลางถอนหายใจ “เจ้าพูดกับเจ้ากบนั่นว่า…ไท่จือซางหลางไม่มีหัวใจ ไม่รู้จักเอาใจเจ้า ไม่เคยพูดคำหวาน…” ไป๋ฮวาก้มหน้าเขินอาย“แล้วตอนนี้ล่ะ”เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกัน“ข้าพอจะผ่านเงื่อนไขของคุณหนูไป๋หรือยัง?”ไป๋ฮวาหน้าแดงจัดเหมือนถูกไฟลวก กำลังจะเบือนหน้าหนี แต่กลับถูกมือแกร่งจับปลายคางให้สบตานิ่ง“คืนนี้…ให้ข้าอยู่กับเจ้าเงียบ ๆ ได้หรือไม่ ข้าแค่อยากฟังเสียงหายใจของเจ้า…ใกล้ ๆ”ไป๋ฮวาพยักหน้าเบา ๆซางหลางยิ้มมุมปาก…ยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็นกลีบดอกเหมยแห้งปลิวตามลม สะท้อนแสงจันทร์จาง ๆ ราวกับฝันไป๋ฮวายืนส่งซางหลางหน้าห้องซางหลางหันกลับมามองนางอีกครั้ง ร่า
ค่ำคืนนี้...จวนอ๋องไร้พ่ายเงียบสงัด ใต้แสงจันทร์สาดต้องพื้นหิน ท้องฟ้าฉาบสีเงินหม่น ไร้แม้เสียงจิ้งหรีดรบกวนเงาหนึ่งไหวผ่านชายหลังคา...รวดเร็วดุจสายลม กลิ่นบุรุษผู้สูงศักดิ์แฝงมากับอาภรณ์ดำสนิท เสื้อคลุมพาดไหล่ปลิวไสวตามแรงลม เส้นผมยาวถูกรวบไว้หลวม ๆ ใบหน้าขรึมคมทว่าหล่อเหลาอย่างที่สุด จนแสงจันทร์ยังต้องเกรงใจ ซางหลาง แห่งแคว้นเป่ยเหลียง ลอบเข้าจวนอ๋องไร้พ่ายในยามวิกาลมาสืบเข่าวหรือก็เปล่าแต่เพื่อหัวใจเขาที่หลุดลอยไปหาใครบางคน“เจ้าขันทีเสี่ยวหลันตัวดีบอกว่าไป๋ฮวาพักตำหนักตะวันออก...แต่เจ้าแมวเหมียวตัวนั้นก็นอนอยู่ตรงชานหน้าห้องนี่ไม่ใช่หรือ...” ซางหลางพึมพำในลำคอ ขณะย่องเปิดประตูเข้าไป“แค่จะดูว่านางหลับดีหรือไม่...จะได้กลับออกไปเงียบ ๆ ไม่ให้ใครรู้ตัว”เสียงเปิดประตูทำให้คนที่นอนบนแท่นนอนขยับตัว “หืม ใครน่ะ”ซางหลางชะงัก ใจหายวาบ เมื่อเห็นคนที่นอนขดอยู่บนเตียงไม่ใช่ใครอื่นแต่คือ ไป๋อวี้ น้องชายฝาแฝดของไป๋ฮวานั่นเอง“ท่าน...ท่านไท่จือ ท่านพี่ไท่จือซางหลางท่านเข้ามาทำไมในห้องข้า” ไป๋อวี้ลุกพรวดขึ้นมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตางัวเงียจนซางหลางต้องเม้มปากกลั้นหัวเราะ“เงียบ” ซางหลางปิดป
ในยามสายของวันหนึ่งที่ลมพัดอ่อนละมุนไปทั่วลานหินหน้าจวนอ๋องไร้พ่าย แสงแดดสีทองโปรยปรายลงมาผ่านต้นซินฮวาเก่าแก่ กลีบใบสะบัดเบาเมื่อสายลมลูบไล้ราวมือของสตรีบอบบางผู้หนึ่งไป๋อวี้นั่งอยู่ลำพังใต้ร่มไม้ ดวงตาสีเข้มทอดมองหยกสองชิ้นในมือซ้ายขวา เขายกมันขึ้นประคองอย่างแผ่วเบา ยามนำมาประกบกัน ลายดอกเหมยที่งดงามจะสมบูรณ์ในครานั้น… จู่ ๆ หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุเขาเพ่งมองหยกด้วยแววตาลึกซึ้ง หยกชิ้นหนึ่ง เป็นของเขาเองที่ติดตัวมาตั้งแต่วัยเยาว์ อีกชิ้น…เป็นของสตรีนางนั้นหญิงอัปลักษณ์ที่ทำให้เขาสนใจนางอยู่ตลอดหญิงผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์…แต่ในแววตานั้น มีแสงสว่างบางอย่างที่ตรึงเขาไว้ขณะที่กำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ เสียงฝีเท้าฉับไวของขันทีหนุ่มก็ดังขึ้นข้างหลัง“ท่านอ๋อง! ข้าน้อยหยุนเจ๋อมาแล้วขอรับ”“ไมาไม่ให้สุ้มให้เสียง”“เอ่ขอประทานอภัยขอรับแต่ว่าเอ่อ นี่คือขนมเปี๊ยะฮวา ที่คุณหนูอี้เหยาเพียรทำด้วยตัวเอง บอกว่าอยากให้ท่านลิ้มลอง…ให้คนใส่เกี้ยวส่งมาถึงนี่”ขันทีหนุ่มหอบหายใจยื่นกล่องขนมไม้อย่างดีให้ ข้างในบรรจุขนมเปี๊ยะฮวารูปดอกเหมยประณีต กลิ่นหอมของแป้งขาวบางผสมน้ำตาลผึ้งอ่อน ๆ ฟุ้งขึ้
ที่กลางโต๊ะวางถ้วยชาจีนเนื้อโปร่ง ประดับลายเถาดอกเหมยล้อแสงเงาไหวระริก กลิ่นชาดอกหมื่นปีลอยกรุ่นละมุนทั่วห้องเจียวหยูในอาภรณ์เรียบง่ายนั่งกุมถ้วยชาในมือ ดวงหน้าอ่อนกว่าวัยแต้มรอยยิ้มจาง ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆฝั่งตรงข้ามคือสามีของตงเกา ที่ยังแฝงไว้ด้วยความสงบ เยือกเย็นแม้เคยผ่านสมรภูมิหลายแห่งเขาวางเทียบเชิญงานเลี้ยงน้ำชาด้วยลายมืองดงามของอ้ายเฉิงลงบนโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“นายหญิงอ้ายฉิงยังลงมือเขียนเทียบเชิญด้วยตัวเองสินะ” เจียวหยูยิ้ม“นายหญิงผู้ใส่ใจในทุกเรื่องราวหมดจดงดงามยิ่งกว่าใคร” เจียวหยูสำทับเบาๆ"ฮูหยินเจ้าที่ไม่คิดอะไร แต่ข้ากลับคิดไม่ตก… เทียบเชิญจากท่านอ๋องเฉิงอู๋มาถึงแล้ว แต่นี่ยังไม่เห็นเงา อี้หลิน เลย นางตั้งใจจะไม่มางานจริงหรือครั้งนั้นที่เราเข้าไปคารวะท่านอ๋องกับพระชายาอ้ายฉิงนางก็ไม่มา ข้าหนักใจกับลูกคนนี้เสียจริง"เจียวหยูทอดถอนใจเบา ๆ"ข้าก็จนปัญญา นางไม่แม้แต่ส่งนกพิราบสื่อสารกลับมา ข้าคิดว่านางคงแอบซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ใกล้หุบเขาชิงอวิ๋นขี่ม้าล่าสัตว์เล่นสนุกกับพวกชนเผ่า ตามนิสัยเดิม…"พลางวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา"อี้หลิน… ลูกสาวของเราแม้จะบอกว่าเหมือนข้าแต่กลับไ
ณ ตำหนักบูรพาเร้นแสงอรุณของวังหลวงเป่ยเหลียง ภายใต้ม่านบัวโรยแสงอาทิตย์ยามสาย กลิ่นชาจางๆ จากกาน้ำร้อนที่เริ่มเย็นชืดแตะปลายจมูก ทว่าเจ้าของตำหนักยังไม่คิดจิบแม้สักหยดเดียวซางหลาง ไท่จือแห่งเป่ยเหลียงผู้ครองแววตาเฉียบคม ท่วงท่าสง่าผ่าเผยเยี่ยงอ๋องผู้ทรงอำนาจ อีกทั้งยังนิ่งเฉยไม่ต่อคำ…แต่ในยามนี้กลับยืนเหม่อมองม่านผ้าไหมปลิวไสวอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบงันเขาไม่พูด ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว แต่คนใกล้ชิดที่อยู่ข้างกายมาแต่เยาว์วัยก็รู้ดี ขันทีหนุ่มชื่อเสี่ยวหลัน เดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ถ้วยชาที่เติมไว้เริ่มคลายไอร้อน แต่หัวใจขององค์ชายยังร้อนรุ่มอยู่ในอก“องค์ชาย...ชาเย็นหมดแล้วขอรับ” เสี่ยวหลันกลั้นใจเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล “ข้าน้อยคิดว่า...หากพระองค์ยังคิดถึงคุณหนูไป๋ฮวานัก เหตุใดไม่ไปพบ...”เสียงนั้นแผ่วราวสายลม แต่คำตอบของซางหลางกลับทำให้เสี่ยวหลัน ถอนหายใจยาว“ให้เวลานางบ้าง...ให้ใจของนางได้รู้เสียทีว่าเมื่อคิดถึงใคร มันทรมานเพียงใดอย่างที่ข้ากำลังเผชิญอยู่” เขาเอ่ยเสียงเบา แต่แฝงด้วยแรงอารมณ์อ่อนไหว ใบหน้าเศร้าสร้อยหรือที่เรียกว่าซึมเสี่ยวหลันยืนนิ่ง รู้ดีว่าความรู้สึกขององค์ชายไม่เ
หลังเหตุการณ์การมอบของกำนัลที่กลายเป็นเวทีประชันคารม “เช่นนั้นข้าซางหลางขอตัวก่อนในเมื่อการดื่มน้ำชาด้วยความสงบของเจ้ามีข้ามาเป้นตัวขัดจังหวะ” ซางหลางประสานมือสีหน้าเศร้าสร้อย ไป๋อวี้ส่ายหน้ายิ้มๆ“เดิมข้าแปลกใจ ว่าพี่ซางหลางเปลี่ยนไปเพราะพี่เว่ยจินมา และเพราะเขามีใจให้แฝดพี่ของข้าสินะเดิมพี่ซางหลางไม่ใช่คนที่ชอบความวุ่นวาย” ไป่ฮวาถอนหายใจไป๋ฮวายังนั่งมองประตูที่ซางหลางก้าวจากไป รอยยิ้มบางอย่างแฝงในแววตาต่างจากเว่ยจินที่ยังหันมาเอ่ยอ่อนโยนกับนางว่า“หากเจ้าต้องการพูดคุยหรือพักผ่อนใจ...ข้าจะไม่กวนใจเช่นกัน ไว้เจ้าอยากจะพบปะกันวันไหนข้าจะรีบมาทันที”ไป๋ฮวายิ้มบางๆ อย่างรู้สึกผิดปนระแวดระวัง นางรับรู้ถึงพายุที่หมุนวนรอบตัว แต่ไม่อาจห้ามมันได้ขณะนั้นเอง เสี่ยวหยาสาวใช้ก็วิ่งเข้ามาพร้อมซองเทียบเชิญในมือ“คุณหนูเจ้าคะนายหญิงส่งเทียบเชิญมาค่ะ เป็นงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนอ๋องไร้พ่ายอ้าวไท่จือทั้งสองกลับไปแล้วหรืเจ้าค่ะ”ไป๋ฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย“เลี้ยงน้ำชาหรือ เมื่อไหร่กัน”เสี่ยวหยายิ้มกว้าง“ใช่เจ้าค่ะ บอกว่าอยากเชิญทุกคนร่วมงานเพื่อให้หายตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และ...เพื่อเปิดตัวแขกสำคัญที