คืนนั้น...
ที่ห้องนอนของฉินอ๋องหลี่อี้...ไป๋หยงคุกเข่าลงคำนับฉินอ๋องที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา "ขอบพระคุณท่านอ๋อง ที่เมตตาครอบครัวของข้าน้อยขอรับ"
"อืมม์" ฉินอ๋องทำเสียงในลำคอ ก่อนจะกล่าวว่า "ดังนั้น เจ้าจะต้องตอบแทนพระคุณของข้าอย่างตั้งใจ ลุกขึ้นมานวดข้า อย่าอู้งาน"
ไป๋หยงจึงลุกขึ้นเดินอ้อมไปยืนด้านหลังของฉินอ๋อง แล้วลงมือนวดไหล่แกร่งอย่างตั้งอกตั้งใจ
"ข้าสั่งให้พ่อบ้านจัดหาคนที่ฉลาดหลักแหลมรอบคอบและซื่อสัตย์คนหนึ่ง ส่งไปเป็นพ่อบ้านของท่านแม่ยาย เขาจะไปทวงคืนทรัพย์สินของท่านแม่ยายที่ถูกครอบครัวลุงเจ้ายึดไปกลับคืน และซื้อหาข้าทาสคนรับใช้ให้ พร้อมทั้งดูแลทุกอย่าง และจัดหาอาจารย์มาสอนหนังสือน้องชายของเจ้า" ฉินอ๋องกล่าว
"อาจารย์สอนหนังสือคงไม่ต้องหรอกขอรับ" ไป๋หยงตอบเสียงเบา
"เพราะอะไร?" ฉินอ๋องถาม
"ท่านแม่รู้หนังสือขอรับ ท่านแม่สอนหนังสือให้ข้าน้อยและน้องหยูขอรับ"
"แค่นั้นยังไม่พอ" ฉินอ๋องกล่าว "เป็นน้องพระชายาฉินอ๋องจะมาทำขายหน้าไม่ได้ จะต้องมีความรู้ความสามารถระดับราชบัณฑิต...ไม่เพียงแค่น้องของเจ้า ตัวเจ้าเองก็ด้วย"
"ข้าน้อยหรือขอรับ?"
"ข้าสั่งพ่อบ้านให้หาอาจารย์เก่งๆ มาสอนหนังสือเจ้าแล้ว"
ไป๋หยงลอบกลืนน้ำลาย...เขาไม่ได้เกลียดการเรียนหนังสือหรอกนะ แต่ความรู้ความสามารถระดับราชบัณฑิตนั้น จะต้องขยันหมั่นเพียรเล่าเรียนหนังสือหนักขนาดไหน ที่สำคัญก็คือ...จะต้องมีสติปัญญาเหนือคนธรรมดาด้วย... เหตุผลข้อหลังนี่แหละ ที่เด็กหนุ่มหนักใจ!
"นอกจากเรียนหนังสือแล้ว เจ้ากับน้องยังจะต้องเรียนวรวรยุทธ์ด้วย"
ไป๋หยงไม่เคยเรียนวรวรยุทธ์มาก่อน ไม่รู้ว่ามันเรียนยากแค่ไหน?
แต่ในเมื่อฉินอ๋องสั่ง เขาก็ต้องทำอย่างสุดความสามารถ
"ขอรับ"
"เจ้ามาข้างหน้านี่"
ไป๋หยงจึงหยุดนวด แล้วเดินอ้อมมายืนสงบตรงหน้าอีกฝ่ายในระยะพอสมควร
"เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องในวันนี้?" ฉินอ๋องถามเหมือนหยั่งเชิง
"คือ...ข้าน้อยไม่กล้าคิดอะไรขอรับ" ไป๋หยงอ้อมๆ แอ้มๆ
"พูดมา...อย่างซื่อตรง" เสียงสั่งเข้มงวด
"ข้าน้อยคิดว่า..." ต่อหน้าฉินอ๋อง ไป๋หยงไม่กล้าปิดบัง "ท่านอ๋องเอาคืนท่านลุงที่บังอาจเปลี่ยนตัวเจ้าสาวขอรับ"
"คนที่หมิ่นเกียรติข้า จะต้องได้รับโทษอย่างสาสม"
"ท่านลุงได้รับโทษหนักมากแล้วขอรับ"
"ยัง...ยังไม่เพียงพอ" ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเรียบๆ
ไป๋หยงลอบขนลุกเกรียว...คำเล่าลือที่ว่าฉินอ๋องนั้นอำมหิต ไม่น่าจะผิดซักนิด!
"ข้าจะให้เขาหลุดจากอำนาจวาสนา"
ไป๋หยงได้แต่เงียบกริบ
ฉินอ๋องมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แล้วล้วงอกเสื้อหยิบเอาขวดหยกใบเล็กๆ ออกมา เทผงสีดำในขวดลงในถ้วยทองคำใบหนึ่ง แล้วเทน้ำจากกาทองคำลงไป แกว่งถ้วยเบาๆ แล้วส่งให้ไป๋หยง
เด็กหนุ่มรับถ้วยทองคำมาถือ มองน้ำสีดำในถ้วย พลางถามว่า "นี่อะไรขอรับ?"
"ยาพิษ"
ฉินอ๋องหลี่อี้ซึ่งแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ยืนอยู่หน้าเตียงนอน มองไป๋หยงที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนนั้น แล้วนึกขันในใจ...
เด็กหนุ่มพอดื่มยาพิษถ้วยนั้นลงไปตามคำสั่งของเขา ก็เข่าอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ อย่างเศร้าโศกเสียใจ...ร้องจนเหนื่อย แล้วก็หลับไป
เดือดร้อนเขาต้องอุ้มมานอนให้เรียบร้อย แถมนอนกรนจนตะวันโด่ง ยังไม่ยอมตื่นอีก!
"เสี่ยวหยง..."
"อึมม์...ข้าตายแล้ว" เด็กหนุ่มเอ่ยงึมงำทั้งๆ ที่ไม่ลืมตา
"เสี่ยวหยง!" ฉินอ๋องส่งเสียงดัง "ยังไม่รีบไสหัวลุกขึ้นมากินข้าวอีก"
"หา!" ไป๋หยงอุทาน สะดุ้งตื่น ตาลีตาเหลือกลุกขึ้นนั่ง "ขะ ข้า ยังไม่ตายหรือ?"
"เจ้าอยากตายนักหรือ? เดี๋ยวจัดให้"
"ไม่ ไม่...ขอรับ" ไป๋หยงตอบ แล้วมองฉินอ๋องอย่างซาบซึ้ง
"ไม่ต้องใช้สายตาแบบนี้มองข้า" ฉินอ๋องเอ่ยเสียงห้วน "ข้าไม่ได้ใจดีกับเจ้าหรอก"
"แต่ท่านอ๋องมิได้ประทานยาพิษให้ข้าน้อยกินจริงๆ นี่ขอรับ" ไป๋หยงยิ้มจนแก้มกลม
"ผู้ใดว่า?"
"ของสิ่งนั้นมิใช่ยาพิษ...มิใช่หรือ?"
"มันคือยาพิษ"
"แต่ข้าน้อยยังไม่ตาย" สีหน้าไป๋หยงยิ่งกว่างงในงง
"ยาพิษ...ไม่จำเป็นต้องกินแล้วตายทันที มันมียาพิษที่ออกฤทธิ์ช้า" ฉินอ๋องกล่าวด้วยน้ำเสียงมิได้ล้อเล่น "ยาพิษที่ข้าให้เจ้ากิน จะกำเริบทุกเดือน เจ้าจะต้องได้รับยาถอนพิษจากข้าทุกเดือน ถ้าเจ้าภักดีกับข้า ข้าถึงจะมอบให้ ไม่เช่นนั้นเจ้าก็ตายอย่างทรมาน"
"ข้าน้อยไม่เข้าใจ...ข้าน้อยเป็นดั่งมดปลวกด้อยค่าตัวหนึ่งเท่านั้น ทำไมท่านอ๋องถึงได้...?"
"ทำไมถึงลงแรงวางยาพิษเจ้านะหรือ? ก็เพราะว่าเจ้าอยู่ใกล้ชิดข้ามาก ข้าจะต้องให้เจ้าได้รู้ความลับบางอย่างของข้า ซึ่งข้าจะวางใจได้ต่อเมื่อเจ้าภักดีต่อข้าเท่าชีวิต และวิธีที่ทำให้เจ้าภักดีต่อข้าเท่าชีวิต ก็คือกุมความเป็นความตายของเจ้าเอาไว้"
ก็เลยวางยาพิษข้า!
เหอะ...ข้าไม่ได้อยากจะรู้ความลับของท่านเลยแม้แต่นิดเดียว
แล้วไม่ต้องให้ข้าอยู่ใกล้ชิดท่านก็ได้...
ไป๋หยงร่ำร้องในใจ
"เจ้าไม่ต้องโอดครวญในใจ...เจ้าส่งตัวเองมาเป็นพระชายา เจ้าก็ต้องรับกรรมอันนี้"
กล่าวพลางถอดหน้ากากทองคำบนดวงหน้าออก...
ไป๋หยงอ้าปากค้าง...ดวงหน้าบุรุษหนุ่มที่เห็น ไม่ได้อัปลักษณ์อย่างที่ร่ำลือ
ตรงกันข้าม...งดงามราวเทพเซียน!
"ท่านงดงามยิ่ง" เด็กหนุ่มกล่าวจากใจจริง
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย "ย่อมแน่นอน...ท่านแม่ของข้าเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน...ดังนั้นเจ้าจะต้องระวัง อย่ามาหลงรักข้า"
"หา...ผู้ใดจะเสียสติหลงรักบุรุษด้วยกัน...แล้วอีกอย่างข้าน้อยก็มีนางในดวงใจอยู่แล้ว"
โพล่งออกไปแล้ว...หัวใจของไป๋หยงก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยกสองมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้แน่น!
องครักษ์ซ้ายเจาหู่มาขอพบพระชายาไป๋หยงเป็นการส่วนตัว “มีธุระอะไรกับข้าหรือ?” พระชายาไป๋หยงถาม พลางใช้ช้อนสามง่ามทองคำจิ้มผลไม้ที่ปอกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำอย่างสวยงามพูนจาน เข้าปากอย่างชื่นใจ “น้อมเรียนพระชายา คือข้า…ข้าน้อยอยากจะขอกู้เงินพระชายาขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่พูดตะกุกตะกัก “ต้องการเท่าไหร่?” “ห้าร้อยตำลึงเงินขอรับ” “เอาไปทำอะไร?” พระชายาหนุ่มน้อยวางช้อนสามง่ามทองคำในมือลง “คือว่า…ข้าน้อยชอบเซียวมี่ขอรับ” องครักษ์ซ้ายเจาหู่เอ่ยแล้วยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผาก “ชอบเซียวมี่?” “ขอรับ” “แล้วเกี่ยวอะไรกับเงินห้าร้อยตำลึง?” “คือว่า…เดิมทีเซียวมี่เป็นคนในจวนราชครูมู่สง ต่อมาราชครูมู่สงยกเซียวมี่ให้เป็นบ่าวของพระชายา แต่บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ยังคงเป็นบ่าวอยู่ในจวนราชครู พอตระกูลมู่ของราชครูต้องโทษประหารทั้งครอบครัว บ่าวไพร่ถูกขายทอดตลาด บิดามารดาและน้องชายหญิงของเซียวมี่ก็ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางการให้พ่อค้าทาสเหมาทั้งหมดไปขายอีกต่อหนึ่ง ข้าน้อยไปเจรจากับพ่อค้าทาสแล้ว เขาจะยอมขายยกครอบครัวให้ข้าน้อยในราคาห้าร้อยตำลึงขอรับ
องครักษ์บู๊สงพาองค์ชายหกหลี่เฟิง เดินทางมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ค่ำไหนนอนนั่น คืนนี้…ทั้งสองพักในศาลเจ้าร้าง บู๊สงได้หากิ่งไม้แห้งจากรอบ ๆ ศาลเจ้า มาก่อกองไฟเล็ก ๆ เพื่อให้ไออุ่น องค์ชายหกมองเทวรูปดินปั้นที่ตั้งอยู่ด้านในสุด แล้วคุกเข่าลงพนมมืออธิษฐาน…ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็อธิษฐานเสร็จ “องค์ชาย…ท่านอธิษฐานอะไร?” บู๊สงถาม เพราะตลอดหลายวันมานี้องค์ชายเอาแต่ร้องไห้ ทว่าวันนี้กลับไม่มีน้ำตา องค์ชายวัยสิบสองเม้มปากตอบว่า “ข้าอธิษฐานว่า…ขอให้ข้าตายง่าย ๆ ตายไว ๆ” บู๊สงอึ้ง “ทำไมถึงได้อธิษฐานเช่นนี้?” “ข้าสับสนมาก…แต่ก่อนเสด็จแม่บอกกับข้าว่า คนอื่นล้วนเป็นคนไม่ดี ทว่าพอข้าถูกกักบริเวณ ทั้งขันที ทั้งนางกำนัล ล้วนกล่าวว่าเสด็จแม่เป็นคนไม่ดี แม้แต่…เสด็จย่า…ก็ว่าเสด็จแม่ไม่ดี“ องค์ชายน้อยเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าอยากรู้ความจริง ว่าตกลงเสด็จแม่เป็นคนไม่ดีจริง ๆ หรือ?” “องค์ชาย…สตรีที่เข้ามาอยู่ในวังหลัง ก็เปรียบเสมือนบุรุษออกสู่สมรภูมิ ต่างต้องช่วงชิงการมีชีวิตรอด ไม่เป็นตัวของตัวเอง…ข้าไม่อาจบอกต่อองค์ชาย ว่าฮองเฮาหยางเซียงร้ายหรือดี เพราะว่าข้าเพียงได้ฟังเขาเล่าต
หลังจากเรื่องราวในบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ฮ่องเต้น้อยหลี่เจินขึ้นครองราชบัลลังก์ โดยมีฉินอ๋องเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และมหาเสนาบดียกทัพปราบหม่าฟู่เจ้าเมืองชิงซานแล้วเสร็จ สีไคก็จะเดินทางกลับแคว้นเว่ย ซึ่งเป็นแคว้นตอนใต้ของอาณาจักรต้าเป่ยและอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรจงกั๋วฉินอ๋องจึงจัดงานเลี้ยงส่ง…โดยมีแขกผู้รับเชิญเป็นครอบครัวของท่านแม่ยายนางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู และอาโหยว ส่วนท่านย่านั้น นางขอตัวเพราะไม่สะดวก (อยากนอนพักกลางวัน) และท่านน้าบัณฑิตหลิวฮั่ว ซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นอำมาตย์ตรี หัวหน้ากองเอกสารของกรมการค้า ฉินอ๋องจึงถือโอกาสจัดงานเลี้ยงฉลองตำแหน่งให้อำมาตย์หลิวฮั่วด้วย อำมาตย์หลิวฮั่วได้พาฟูเหรินเย่หว่านมางานด้วย ฟูเหรินเย่หว่าน (หว่านหว่าน) นั้นกำลังตั้งครรภ์ได้ห้าเดือน ดวงหน้างดงามอิ่มเอิบ อาหยูน้อยที่ได้นั่งข้างๆ เย่หว่าน มองท้องที่นูนขึ้นของนาง แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่หว่านหว่าน…” อาหยูน้อยยังไม่ได้ถามต่อ ก็ถูกนางหลิวซื่อว่ากล่าว “อาหยู…ต้องเรียกว่าท่านน้าสะใภ้ ไม่ใช่พี่หว่านหว่าน” “ไม่เป็นไรค่ะ” เย่หว่านตอบนางหลิว
นางหลิวซื่อ นางยู่อิง อาหยู อาโหยว และเฉียวซาน (อาจารย์และองครักษ์ของอาหยูอาโหยว) ถูกรับมาอยู่จวนของฉินอ๋องตั้งแต่ตอนบ่าย พอวันรุ่งขึ้น…กองทัพขององค์ชายห้าหลี่เหิงตีเข้าเมืองหลวงมา ก็แยกเป็นสองขบวน ขบวนหนึ่งโจมตีวังหลวง อีกขบวนหนึ่งโจมตีจวนฉินอ๋อง ครั้นประตูจวนต้านไม่อยู่ ทหารของราชครูมู่สงบุกเข้ามา…ไป๋หยงก็ตรวจนับคนที่ตนจะพาออกไปทางลับด้วยกัน ก็เห็นว่าขาดอาเหยียนกับป้าไช่ จึงถามนางฮัวซื่อว่า “ท่านน้า…พี่เหยียนอยู่ไหน?” (ตั้งแต่รู้ว่า อาเหยียนเป็นบุตรของทั่นฮวาเฉินอวี้ ไป๋หยงก็เรียกนางฮัวซื่อว่าท่านน้า แทนที่ท่านป้าสะใภ้รอง) “อาเหยียนไปตามหาป้าไช่ที่โรงครัว” “ทำไมมาแยกตัวออกไปตอนหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ด้วย” ไป๋หยงบ่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ข้าจะไปตามพี่เหยียนกับป้าไช่ ทุกคนรออยู่ในห้องนอนใหญ่อย่าได้แยกย้ายไปไหนเป็นอันขาด” แล้วคว้ากระบี่ติดมือ มุ่งหน้าตรงไปยังโรงครัวทันที แต่ระหว่างทางพบเข้ากับราชครูมู่สง จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น “ข้าจะจับพระชายาไปแขวนที่กำแพงเมืองให้ฉินอ๋องดู” ไป๋หยงไม่ตอบว่าอะไร แต่ตั้งอกตั้งใจใช้เพลงก
ที่จวนของโหราจารย์ คืนนั้น…โหราจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบ เขาได้รู้ข่าวการตายอนาถของขันทีปลอมเกาซ่ง ฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งและขังอยู่ที่ตำหนักเย็น เขาก็เกรงว่าภัยจะมาถึงตัว แล้วพอเข้าห้องนอน ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งยืนรออยู่ในห้องนอนด้วย “ใคร?” โหราจารย์ถาม “คนที่เจ้าทำนายว่า…เกิดใต้ดาวพิฆาตอย่างไรล่ะ” “ฉิน…อ๋อง…” เสียงของโหราจารย์สั่นสะท้าน “ความจำของเจ้ายังดีอยู่” ฉินอ๋องตอบ “ท่านอ๋อง…ค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาหาข้าน้อย ต้องการจะให้ทำนายเรื่องใดหรือขอรับ?” “ไม่มีอะไร…ข้าเพียงแค่มาส่งเจ้าเดินทางไกล (ตาย) เท่านั้น” ฉินอ๋องเอ่ยเสียงเย็นยะเยียบ โหราจารย์จึงตัดสินใจวิ่งหนี แต่ช้าเกินไป เพราะเพิ่งจะขยับตัว ก็ถูกสะกัดจุดเอาไว้ไม่ให้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว และไม่สามารถพูดออกเสียงได้ ได้แต่ขยับปาก โดยไร้สุ้มเสียง… พอรุ่งเช้า…บ่าวรับใช้ในเรือนของโหราจารย์ที่มีหน้าที่เข้ามาจะปรนนิบัติ ก็พบว่าโหราจารย์ได้แขวนคอตายอยู่ในห้องนอน! สามวันต่อมา… อดีตฮองเฮาหยางเซียงก็ได้รับพระราชทานยาพิษจากไทเฮา พร้อมกันนั้น คนตระกูล
เวลาบ่าย…สนมหม่าซู่ซู่ได้เชิญเสด็จฮ่องเต้ออกมาพักผ่อนที่อุทยานหลวง เกาซ่งขันทีคนสนิทของฮองเฮา ซึ่งหายจากอาการบาดเจ็บราวเจ็ดส่วน (เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์) ได้รับข่าวจากสายของตน ก็รีบนำมารายงานฮองเฮา “เหนียงเหนียง (พระนาง) ยามนี้ฮ่องเต้เสด็จลงอุทยาน นับเป็นโอกาสอันดีพ่ะย่ะค่ะ” “โอกาสอะไร?” ฮองเฮาตรัสถาม “ปกติสนมคนโปรดจะกีดกันผู้ที่จะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ที่พระตำหนักหลวง แต่ในอุทยาน เหนียงเหนียงหาโอกาสเข้าเฝ้า แล้วทูลขอตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน เพื่อจะได้ว่าราชการหลังม่าน ซึ่งฮ่องเต้จะได้มีเวลาพักผ่อนตามสบายพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “เวลานี้ไทเฮาก็ทรงทำหน้าที่นี้อยู่มิใช่หรือ?” “เหนียงเหนียง อย่าลืมสิ ว่าพอไทเฮาออกว่าราชการ ฉินอ๋องกับพรรคพวกก็กำจัดองค์หญิงเหลียนฮัว แล้วเป้าหมายต่อไปของพวกเขาต้องไม่พ้นเหนียงเหนียงอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เกาซ่งทูล “ชิงลงมือก่อนได้เปรียบนะพ่ะย่ะค่ะ” “ถูกต้อง…คนแรกที่เราจะต้องกำจัดก็คือฉินอ๋อง” ฮองเฮาขบฟันตรัสแต่แผนการณ์ของฮองเฮาพังพินาศ…เพราะหม่าซู่ซู่เสแสร้งว่าถูกฮองเฮาผลักล้มและเกือบแท้งบุตร หม่าซู่ซู่และหม่าเต้า (หม่าเต้าเป็น