กู้หว่านเยว่เหลือบมองซูจิ่งสิง จากนั้นก็อธิบายให้ทั้งสองคนฟัง“ในเมื่อพวกเจ้าไม่เป็นไรแล้ว พวกเราสองสามีภรรยาคงต้องขอตัวลา”“พวกท่านจะไปแล้วหรือ?”หัวหน้าหมู่บ้านห้ารู้สึกประหลาดใจ เพิ่งจะเจอกันได้ไม่นาน ทั้งสองคนยังไม่ได้พูดคุยกันดี ๆ เลย ก็จะไปแล้วหรือ?“ข้างหน้ามีเมืองเกอปี้ ข้าอยากจะเชิญพวกท่านทั้งสองไปทานอาหารที่เมืองนั้นสักมื้อ”หัวหน้าหมู่บ้านห้ารู้สึกเสียดายมาก ซูจิ่งสิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ต้องหรอก พวกเราเพิ่งจะมาจากเมืองเกอปี้”ถังหว่านรู้เรื่องนี้ดี “ท่านพี่ ท่านอ๋องและพระชายามาที่นี่มีเรื่องสำคัญต้องทำ เรื่องทานข้าวไม่รีบร้อน รอให้พบกันครั้งหน้าค่อยเชิญพวกเขามาทานข้าวก็ได้”“ที่นี่ห่างไกลความเจริญ แม้แต่ต้นหญ้ายังแทบไม่มี พวกท่านมาทำอะไรที่นี่?”กู้หว่านเยว่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนใหญ่เป็นเพราะยังไม่ค่อยสนิทกับพวกเขา จึงไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไรนักซูจิ่งสิงจึงกล่าวอธิบาย “พวกเราจะไปที่เขาอินซาน มีธุระต้องไปจัดการ”“เขาอินซานหรือ”หัวหน้าหมู่บ้านห้าพยักหน้า“ผ่านหุบเขาอินเฟิงไป ก็จะถึงเขาอินซานแล้ว”ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เหมือนจะรู้จักเขาอินซาน กู้หว่านเยว่และซ
เฉิงเซวียนรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทำอะไรไม่ถูกยิ่งไม่ได้เจอเนี่ยชิงหลานนานเท่าไร เขาก็ยิ่งแทบจะบ้าแล้ว“คุณชายเฉิง อย่าเพิ่งร้อนใจ ในเมื่อไม่พบคน ก็แสดงว่าพี่หญิงชิงหลานต้องปลอดภัยแน่นอน”เซี่ยเหอเดินเข้ามาอีกครั้ง แล้วปลอบโยนเฉิงเซวียนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน กู้หว่านเยว่เห็นว่านางแทบจะเกาะติดเฉิงเซวียน จึงขมวดคิ้วแล้วปิดม่านรถม้าเฉิงเซวียนได้แต่กลับไปขึ้นรถม้าของตัวเอง“ชิงเหลียน เร่งเดินทางต่อ”ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในหุบเขาอินเฟิง ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงลมเย็นที่พัดผ่านด้านนอกรถม้า ประกอบกับตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ยิ่งทำให้รู้สึกวังเวงในที่สุดกู้หว่านเยว่ก็เข้าใจว่าชื่อหุบเขาอินเฟิงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรโชคดีที่นางเป็นคนกล้าหาญ หากเป็นหญิงสาวขี้ขลาดทั่วไป คงจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้วรถม้าเดินทางต่อไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ออกมาจากหุบเขาอินเฟิง เบื้องหน้าเป็นพื้นที่โล่งกว้าง“ฮูหยิน!”เฉิงเซวียนร้องเตือนขึ้นมากะทันหัน “พวกเราเข้าสู่เขตเขาอินซานแล้ว ข้างหน้ามีบึงใหญ่ กลางคืนไม่เหมาะที่จะเดินทาง มิสู้รอให้ฟ้าสางก่อนค่อยออกเดินทางเสียดีกว่า”ระบบก็ส่งสัญญาณเตือนเช่นกัน“นายหญิง ข้าง
แต่ว่านางได้ให้องครักษ์เงาออกไปตามหาแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสใด ๆ นางก็จนปัญญาเช่นกันระหว่างทาง นางให้ระบบค้นหาร่องรอยของเนี่ยชิงหลานมาตลอด แต่ก็ไม่พบอะไรเลยกู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว หยิบเครื่องปรุงออกมา ครุ่นคิดไปพลางย่างกระต่ายไปพลางไม่นานนัก เหนือค่ายก็มีกลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยฟุ้งไปทั่วกู้หว่านเยว่แบ่งกระต่ายย่างหนึ่งตัวให้พวกเฉิงเซวียน แบ่งสองตัวให้องครักษ์จันทรา ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งตัวนางกับซูจิ่งสิงกินด้วยกันทั้งสองคนไม่ได้กังวลว่ากระต่ายย่างหนึ่งตัวจะกินไม่อิ่ม เพราะถึงอย่างไรในมิติของนางยังมีของกินอีกมากมาย พอกินกระต่ายย่างหมดแล้ว ก็สามารถแอบหยิบอย่างอื่นออกมากินได้“ไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”หลังจากที่กินกระต่ายย่างเสร็จแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ตบมือ แล้วกลับไปพักผ่อนบนรถม้าองครักษ์จันทราก็เข้าไปพักผ่อนในเต็นท์เวลานี้ ณ หุบเขาอินเฟิงที่อยู่ไม่ไกลออกไป เวินทิงอวิ๋นมองดูหมู่บ้านทะเลทรายทมิฬที่ถูกไฟไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน เปลวไฟมอดดับลงแล้ว สีหน้าของเขาดูมืดมน“หมู่บ้านอยู่ดี ๆ เหตุใดถึงเกิดไฟไหม้ได้?”ยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกเผาจนไม่เหลือซาก เห็นได้ชัดว่าม
เมื่อฟ้าสาง กู้หว่านเยว่ก็ตื่นขึ้นมาจากในรถม้า มองดูเวลาแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว“ออกเดินทางได้”กู้หว่านเยว่สั่งให้ทุกคนออกเดินทาง เฉิงเซวียนต้องการไปถึงตลาดนัดอินซานโดยเร็วที่สุด เพื่อตามหาที่อยู่ของเนี่ยชิงหลาน“วันนี้ก่อนตะวันตกดิน พวกเราน่าจะไปถึงตลาดนัดอินซานได้”เฉิงเซวียนหยิบแผนที่ที่เตรียมไว้ออกมา แล้วมอบให้สองสามีภรรยา“ข้างหน้าคือบึงใหญ่ พอผ่านบึงนี้ไปแล้วจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ และผ่านทุ่งหญ้านี้ไปก็จะถึงตลาดนัดแล้ว”กู้หว่านเยว่พยักหน้า “อย่าได้รอช้า พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ”“ตกลง”เฉิงเซวียนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงเอ่ยถามขึ้น“ตอนนี้ยังหาตัวน้องสาวของข้าไม่พบ ไม่ทราบว่าจะรบกวนท่าน ส่งคนบางส่วนออกไปตามหานางได้หรือไม่”ตอนนี้ข้างกายเขาไม่มีใครให้ใช้ จึงได้แต่หวังพึ่งกู้หว่านเยว่เท่านั้นกู้หว่านเยว่เหลือบมองเขา “ไม่ต้องรอให้เจ้าพูด ข้าก็ส่งคนออกไปตามหาตั้งแต่แรกแล้ว”“ขอบคุณมาก”เฉิงเซวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพอจะรู้ว่ากู้หว่านเยว่ยังโกรธเขาอยู่ จึงไม่กล้าพูดอะไรมากนัก รีบกลับไปขึ้นรถม้าของตัวเองกู
“เยี่ยมมาก!”ท่าทางแบบนี้ทำให้กู้หว่านเยว่กะพริบตาปริบ ๆ เจ้าเด็กคนนี้ดูท่าจะโหดขึ้นเรื่อย ๆ แล้วฉู่เฟิงรีบตามไปติด ๆ จัดการกับจระเข้อีกตัวหนึ่งกู้หว่านเยว่มองดู แถวบึงแห่งนี้ นอกจากจระเข้แล้วก็ไม่มีสัตว์อื่นเลย เห็นได้ชัดว่าสัตว์เหล่านั้น หากมิได้ถูกจระเข้กิน ก็คงจะถูกจระเข้ไล่จนหนีไปหมดแล้ว มีเพียงเต่าบึงเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมกับพวกมันได้อย่างสงบสุข“พี่ใหญ่เฉิง ข้ากลัวมากเลย!”เซี่ยเหอซบกายบอบบางเข้าไปในอ้อมกอดของเฉิงเซวียน “สัตว์พวกนี้มันตัวอะไรกัน หน้าตาน่ากลัวจัง”เฉิงเซวียนก็ยังถือว่าผ่านโลกมามาก รีบเข้าไปกอดปลอบอีกฝ่ายทันที“อย่ากลัวไปเลย พวกนี้ก็เป็นแค่จระเข้ในบึง”“จระเข้หรือ? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย มันกินคนเหมือนกับหมาป่าหรือไม่?”เซี่ยเหอตัวสั่นเทา หากรู้ว่าที่นี่อันตรายขนาดนี้ นางก็คงไม่มาแล้วแต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้นางจะแสดงท่าทีเสียใจไม่ได้ ได้แต่ซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของเฉิงเซวียน“มันกินคน แต่เจ้าวางใจเถอะ พวกมันอยู่ไกลจากพวกเรามาก อีกอย่างมีท่านอ๋องกับพระชายาอยู่ ไม่มีจระเข้ตัวไหนทำร้ายเจ้าได้”ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ชิงเหลียนก็จัดการ
รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าพร้อมกับเสียงล้อดังกึก ๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ที่เดิมกำหมัดแน่นอย่างไม่ยอมแพ้“คุณชายน้อย นี่...” บ่าวรับใช้อึดอัดใจ ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “นี่อะไร? ยังไม่รีบขึ้นรถม้าตามพวกเขาไปอีก”เขาจงใจเอ่ยขึ้น“ต่อไปถ้าเจอจระเข้อีก ตามพวกเขาไปก็จะปลอดภัย”“ขอรับ”บ่าวรับใช้รีบพยุงชายหนุ่มขึ้นรถม้า ทางด้านนี้ หลังจากที่กู้หว่านเยว่ปฏิเสธอีกฝ่ายไปแล้ว นางก็เปิดแผนที่ออกมาดูอย่างตั้งใจ“อีกครึ่งวันก็จะถึงตลาดมืดอินซานแล้ว พอผ่านบึงใหญ่นี้ไป พวกเราก็หยุดพักกินข้าวเที่ยงกันเถอะ”แม้ว่าจะรีบ แต่คนเราก็ต้องกินข้าว ไม่สามารถอดข้าวได้ตลอดหรอก“ตกลง”ซูจิ่งสิงลูบนิ้วมือพลางครุ่นคิด “ชายหนุ่มเมื่อครู่นั่น?”“ไม่ต้องสนใจเขา”กู้หว่านเยว่เก็บแผนที่ เมื่อเห็นว่าผ่านบึงใหญ่มาแล้ว จึงสั่งให้ทุกคนหยุดรถม้า แล้วก่อไฟทำอาหารกันตรงที่เดิม“บ่าวจะไปก่อไฟเจ้าค่ะ”ชิงเหลียนรู้หน้าที่ตัวเองเป็นอย่างดี กู้หว่านเยว่มองทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา สัมผัสสายลมที่พัดโชยมา เดินไปเก็บผักป่าแถวนั้นมาเล็กน้อย แล้วหุงข้าวโพดกับผักป่าหนึ่งหม้อจากนั้นนางก็หยิบเนื้อวัวตุ๋นซีอิ๊วถุงหนึ่งและผ้าปูผืนหนึ่งอ
“พวกท่านดูเหมือนคนต่างถิ่น ไม่เหมือนชาวเขาอินซานของเรา ไม่ทราบว่ามาที่เขาอินซานด้วยกิจธุระใด?”กู้หว่านเยว่แปลกใจ คนผู้นี้ก็มีความอดทนมากเหลือเกิน ถูกประชดประชันขนาดนี้ยังไม่ยอมสะบัดแขนเสื้อไปไหนนางคิดดูสักครู่ แล้วถือโอกาสพูดเสียเลย“พวกข้ามาที่เขาอินซานเพื่อทำธุระ”“มาทำธุระ บังเอิญข้าเป็นคนที่นี่ ถ้าพวกท่านไม่รังเกียจ ก็สามารถพักที่บ้านข้าได้ ข้าจะต้อนรับพวกท่านเป็นอย่างดีแน่นอน”เวินเอ้อร์ยิ้มตาหยี ในใจเริ่มคิดสกปรกกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบสายตากัน ฝ่ายหลังพยักหน้า “ได้สิ”พอดีจะได้ดูว่าเวินเอ้อร์ผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่“กินอิ่มแล้ว เดินทางต่อเถอะ”กู้หว่านเยว่ปรบมือ ให้คนไปทำความสะอาดหม้อและผ้าน้ำมันก่อนจะเก็บเข้าที่เมื่อเวินเอ้อร์เห็นพวกเขาตอบตกลงแววตาก็เป็นประกาย รู้สึกภาคภูมิใจเล็ก ๆ ยังคิดว่าทั้งสองฉลาดมากแต่ปรากฏว่า ตกหลุมพรางเขาเข้าแล้ว“คุณชายน้อย ต่อไปเรา...”เด็กรับใช้ทำสัญลักษณ์มือที่คอ เวินเอ้อร์รีบพูดว่า “ห้ามบุ่มบ่าม สองคนนี้ไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย ๆ”พวกเขาทั้งสองให้เขาตามไป แต่เขายังไม่ยอมคลายความระแวดระวังอย่างสมบูรณ์“ลองหยั่งเชิงพวกเขาก่อนแล้
“ไม่ต้องกลัว นี่คือละครสนุก ๆ ให้เราดูที่กำกับโดยผู้อื่น พวกเราแค่ดูเฉย ๆ ก็พอ”กู้หว่านเยว่พื้นเพเป็นคนช่างปลอบประโลม น้ำเสียงราบเรียบทำให้ชิงเหลียนตระหนักถึงบางอย่างในทันที“หรือว่าจะเป็นคนเมื่อกี้...”นางเข้าใจในทันที ฮูหยินอาจสังเกตเห็นความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร แค่อยากล่องูออกจากรู ดูว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการใด“มีคนเข้ามาแล้ว”ซูจิ่งสิงเอ่ยเตือน กู้หว่านเยว่หูไวจนได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนไม่น้อยกำลังใกล้เข้ามาทางด้านนี้ตามคาดเมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นคนชุดดำกว่าสิบคนวิ่งห้อออกมาจากส่วนลึกของทุ่งหญ้า พร้อมระดมยิงธนูใส่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง“ฮูหยินระวัง”องครักษ์จันทราทั้งหลายลงมือพร้อมกันทันที แต่กู้หว่านเยว่กลับไม่เกรงกลัวพวกเขาเลย รถม้าคันนี้ถูกนางดัดแปลงมาก่อน ลูกศรจากภายนอกยิงเข้ามาไม่ได้เลยเมื่อเห็นพวกเขายิงธนูพร้อมกัน นางก็รีบกดกลไกภายในรถม้าทันที ทันใดนั้นหน้าต่างที่เปิดอยู่ทั้งหมดก็ปิดลง ลูกศรที่ถูกยิงมาก็ถูกกั้นไว้ภายนอกหลี่หรงหรงตกใจจนซุกตัวลงใต้โต๊ะ สุดท้ายพบว่าหน้าต่างทั้งสองด้านปิดลงพร้อมกันอย่างฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่มีลูกศรใ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้