“ท่านแม่ ระวัง!”แววตาของซูจิ่งสิงฉายความตกใจในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย กู้หว่านเยว่แฉลบตัวออกไป ดึงนางหยางออกมาจากกองดินประสิวเสียงดัง “โครม” ในวินาทีต่อมา ดินประสิวก้อนใหญ่มหึมากระแทกพื้นเกิดเป็นหลุมลึกนางหยางหันกลับไปมองหลุมลึกนั้น นางตกใจกลัวมากจนทรุดลงกับพื้นหลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้วก็จับมือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้น“พวกเจ้า พวกเจ้ากลับมาแล้ว ได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า?”“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บ จิ่นเอ๋อร์อยู่ไหนเจ้าคะ?” กู้หว่านเยว่หยิบหมวกไม้ไผ่ออกมาใบหนึ่งสวมให้นางหยางขณะเดียวกันสายตาก็มองหาร่องรอยของซูจิ่นเอ๋อร์ไปทั่ว และในที่สุดก็พบนางอยู่ในกองเศษหินโชคดีที่นางแค่สะดุดล้ม ถูกเศษหินข่วนที่หน้าแข้ง ไม่มีบาดแผลร้ายแรงอื่นใดกู้หว่านเยว่รีบเข้าไปช่วยพยุงนางขึ้นมาซูจิ่นเอ๋อร์โผเข้าสู่อ้อมกอดของนาง ร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนัก “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ใหญ่ ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว ข้าคิดว่าจะไม่มีวันได้พบพวกท่านอีกแล้ว ฮือๆๆ...”“เลิกร้องไห้ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ภูเขาไฟกำลังปะทุ พวกเราต้องรีบหาที่หลบภัย”กู้หว่านเยว่ปลอบ
ทางด้านหลัง เสียงคำรามของภูเขาไฟดังขึ้นเรื่อยๆ ยังพอมองเห็นก้อนอากาศธาตุทรงกลมถาโถมเข้ามาจากระยะไกลได้รางๆกู้หว่านเยว่ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบพาทุกคนเข้าไปในถ้ำหลังจากเข้าไปแล้ว ก็พบว่าถ้ำนี้จากภายนอกจะดูแคบๆ แต่ข้างในกว้างขวาง โพรงถ้ำก็ลึกมาก มองไม่เห็นก้นถ้ำในคราวเดียวที่หายากยิ่งกว่าก็คือ ภายในถ้ำมีลำธารใต้ดินสายหนึ่งอยู่ด้วยเดิมทีกู้หว่านเยว่ยังกังวลว่าจะทำความสะอาดเถ้าภูเขาไฟพิษที่เกาะอยู่ตามร่างกายอย่างไรตอนนี้ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นการมีแหล่งน้ำก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ตายด้วยความกระหายน้ำหรืออดอยากอยู่ข้างใน“ท่านแม่ จิ่นเอ๋อร์ พวกท่านรีบมาเอาน้ำล้างเถ้าภูเขาไฟตามร่างกายให้สะอาด แล้วก็ล้างตาไปด้วย”ดวงตาของซูจิ่นเอ๋อร์ยังพร่ามัวเล็กน้อย ปวดแสบปวดร้อนอยู่เป็นระยะ นางรีบวักน้ำขึ้นมาล้างทำความสะอาดคนอื่นๆ ก็ตามมาที่ริมลำธารใต้ดิน ล้างเนื้อล้างตัวที่สกปรกมอมแมมในเวลานี้ ซุนอู่ได้เดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง“พวกท่านสองคนไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม?”กู้หว่านเยว่รู้ว่าซุนอู่ห่วงใยพวกนาง พลางส่ายศีรษะ“พวกข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านที่รอเรา
ไม่รู้ว่าทั้งสองมารวมหัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่“ท่านแม่ ซูอวี่ร่างกายอ่อนแอมากมาโดยตลอดนับตั้งแต่ถูกพิษคราวก่อน เอ่อ...จะตายก็ไม่แปลก ไม่เกี่ยวกับหลานสะใภ้หรอก”ซูหัวจวิ้นออกโรงปกป้องนางดังคาดฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “อวี่เอ๋อร์ถูกพิษจะตำหนิใครได้ ถ้าไม่ใช่นางที่เก็บเห็ดพิษมา กาลกิณี เป็นตัวกาลกิณีจริงๆ วันนี้ข้าต้องให้นางถูกฝังไปพร้อมกับอวี่เอ๋อร์ให้ได้”พูดพลางเดินเข้าไปกระชากหลี่ซือซือ หลี่ซือซือเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังซูหัวจวิ้นอย่างอ่อนช้อย“ท่านอาสี่ ช่วยข้าด้วย...”“ไม่ต้องกลัว หลานสะใภ้ อาสี่ต้องปกป้องเจ้าแน่นอน”ไม่ไกลนักซูจิ่นเอ๋อร์เอ่ยปากพูดว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านอาสี่กับหลี่ซือซือถึงได้...”สีหน้าของกู้หว่านเยว่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ก่อนหน้านี้หลี่ซือซือผู้นี้แค่แสร้งทำเป็นใสซื่อไปหน่อย แต่ตอนนี้ถูกเนรเทศและทรมานอย่างโหดร้ายไร้ยางอาย“อย่าไปสนใจพวกเขา จะได้ไม่เดือดร้อนไปด้วย”“...เจ้าค่ะ”ซูจิ่นเอ๋อร์ทำหน้าเหมือนท้องผูก นางก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องชาวบ้าน เพียงแต่คาดคิดไม่ถึง พวกเขาสองคนเป็นอาหลานสะใภ้กัน...นี่มันยุ่งเหยิงเกินไปแล้วความจริงระหว่างเส้น
กู้หว่านเยว่ได้สอบถามกับระบบแล้ว แต่ระบบก็ไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้เช่นกัน กล่าวได้เพียงว่ามีไม่น้อยแน่นอน“น้ำมันก๊าดอยู่ในส่วนลึกของถ้ำมาก จำนวนที่แน่นอนข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าอยากเข้าไปดูหน่อย”ซูจิ่งสิงกล่าวโดยตรึกตรอง “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”ที่เสนอความต้องการเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเห็นแก่น้ำมันก๊าดเหล่านั้น แต่เพราะเป็นห่วงว่ากู้หว่านเยว่จะเกิดเรื่องต้องตามติดอยู่ข้างกายกู้หว่านเยว่เท่านั้น เขาถึงจะวางใจได้“ก็ได้ ข้าจะไปบอกซุนอู่ก่อน”กู้หว่านเยว่เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนอู่ บอกเล่าจุดประสงค์ของตนเองให้พวกเขาฟังแน่นอนว่านางไม่ได้พูดเรื่องน้ำมันก๊าด แค่บอกว่าต้องการเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำเพื่อตรวจดูว่ามีอันตรายหรือไม่ หากมีอันตรายจะได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้าซุนอู่เหลือบมองโพรงถ้ำที่มืดมิดมองไม่เห็นก้นบึ้ง ตัวเขาเองยอมรับว่าไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบ จึงรีบพยักหน้าให้“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ต้องระวังตัวหน่อย แต่ว่า ซูจิ่งสิงยังเดินไม่สะดวกไม่ใช่หรือ ข้าส่งนักการในศาลาว่าการคนอื่นไปกับเจ้าด้วยดีกว่า”“ไม่จำเป็น ข้าจะไปกับภรรยาของข้าเอง”ซูจิ่งสิงยืนกรานเสียงแข็งกู้หว่านเยว่วางใจใครไ
“เชื่อมั่นในตัวข้าเถอะ” ซูจิ่งสิงส่งสายตายืนยันให้กู้หว่านเยว่ จากนั้นก็พุ่งตัวออกไป สังหารหนึ่งในคนชุดดำด้วยดาบเดียว“องค์ชายซู”ใบหน้าของอวิ๋นมู่ตื่นตระหนก ซูจิ่งสิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ขาของเขาหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่? สถานการณ์ตึงเครียดทำให้อวิ๋นมู่ไม่มีเวลาคิดอะไรมากนัก เขารีบแบกมู่ชิงขึ้นมาจากพื้น เข้าไปซ่อนตัวรออยู่หลังเสาหินกู้หว่านเยว่จับปืนแน่นอยู่ด้านหลังก้อนหินเมื่อใดที่ซูจิ่งสิงตกอยู่ในอันตราย นางจะออกโรงทันทีแต่ไม่นานนางก็พบว่า ทักษะการต่อสู้ของซูจิ่งสิงแข็งแกร่งมาก ไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆ เลย เพียงชั่วพริบตาคนชุดดำทั้งหมดก็ล้มลงกับพื้น เหลือเพียงหัวหน้าคนชุดดำเพียงคนเดียวซูจิ่งสิงยกเท้าขึ้นถีบหัวหน้าคนชุดดำล้มคว่ำลงกับพื้น จากนั้นก็ดึงผ้าปิดหน้าของอีกฝ่ายออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง“ชิวหมิงจื้อ!” เสียงของซูจิ่งสิงเยือกเย็นมากกู้หว่านเยว่ไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ราวกับอสูรที่ก้าวออกมาจากอเวจี นางรีบปรี่เข้าไปอยู่ข้างกายเขา “ท่านพี่ เขาเป็นใคร เหตุใดท่านถึงโกรธเช่นนี้?”“เขา ฮึ เขาเป็นรองแม่ทัพของข้า”คนผู้นี้เคยเป็นคนสนิทของเขา แต่ตอน
“นี่มันเป็นไปไม่ได้!”ซูจิ่งสิงกำหมัดทั้งสองแน่นเขามีพ่อมีแม่ ยี่สิบปีที่ผ่านมาปฏิบัติตัวเป็นทายาทของสกุลซูมาโดยตลอด แล้วจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทไปได้อย่างไร?ชิวหมิงจื้อยิ้มเจื่อนๆ ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินด้วยหูตัวเองก็ต้องไม่ผิดแน่“ท่านอ๋อง บนร่างกายของท่านมีรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวหรือไม่?”หากเป็นเมื่อก่อน ซูจิ่งสิงก็ยังมีข้อสงสัย แต่ตอนนี้ชิวหมิงจื้อรู้เรื่องรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวบนร่างกายของเขาด้วย จะไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียแล้วชิวหมิงจื้อพูดต่อ “หากท่านยังไม่เชื่อข้า ก็สามารถแสดงรอยฟันรูปจันทร์เสี้ยวนี้ให้โจวเหล่าดูได้ แล้วปริศนาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”“โจวเหล่า เป็นเขาอีกแล้ว...” กู้หว่านเยว่นึกขึ้นได้อย่างไม่รู้ตัว เว่ยเฉิงเคยพูดกับซูจิ่งสิงมาก่อน ขอให้เขาไปตามหาโจวเหล่าสักครั้งแต่สิ่งที่ทำให้กู้หว่านเยว่สนอกสนใจก็คือ เว่ยเฉิงน่าจะไม่มีทางรู้จักตัวตนของซูจิ่งสิงต่างหากแม้ว่าต่อไปเว่ยเฉิงจะดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ ค้นพบเบาะแสจากในอดีต แต่ตอนนี้เขาก็ยังเป็นบัณฑิตหนุ่มอยู่ดี แล้วจะรู้ได้อย่างไร?หรือจะบอกว่า เป็นเพียงเรื่องบังเอิญไม่ว่
หลังจากซูจิ่งสิงเห็นอวิ๋นมู่ เจตนาฆ่าก็เผยออกมาจากแววตาเรื่องนี้มีความสำคัญมาก ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ในเมื่ออวิ๋นมู่ได้ยินการสนทนาของพวกเขาแล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ยังมีชีวิตรอดอยู่อวิ๋นมู่เห็นสองสามีภรรยาจ้องมองเขา ก็รู้เลยว่าคงรอดยาก จึงส่ายหัวด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆเขาไม่นึกว่าตัวเองจะได้ยินความลับเกี่ยวกับอดีตองค์รัชทายาทโดยบังเอิญและยิ่งคาดไม่ถึงว่า ซูจิ่งสิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นบุตรที่เป็นกำพร้าของอดีตองค์รัชทายาทแต่ถึงอย่างไรก็ได้ยินมาแล้ว เขาทำได้เพียงพยายามเสาะหาโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ให้ตัวเองอย่างเต็มที่ดังนั้นเขาจึงโยนอาวุธในมือทิ้ง พลางเอ่ยอย่างจริงใจ “ท่านทั้งสองโปรดวางใจ เรื่องที่ได้ยินในถ้ำวันนี้ ข้าจะรักษาความลับเป็นแม่นมั่น ไม่มีทางแพร่งพรายออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า”กู้หว่านเยว่เบะปาก “ปากอยู่ที่ตัวเจ้า ใครจะรู้ล่ะ เหตุใดพวกข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”“พูดแบบนี้ก็ถูก”อวิ๋นมู่ยิ้มเจื่อนๆ เพื่อรักษาชีวิตไว้ เขาต้องยอมเฉือนเนื้อตัวเอง“แม่นางกู้ ท่านดูสิว่านี่คืออะไร”อวิ๋นมู่ควักป้ายอาญาสิทธิ์ออกมาจากอก ส่งให้กู้หว่านเยว่ในขณะที่กู้หว่านเยว่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก อ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเคร่งขรึมออกมา “บ่อน้ำมันก๊าดแห่งนี้สกุลอวิ๋นของข้าไม่ใช่ผู้ค้นพบ ความจริงแล้วสกุลอวิ๋นของข้าถูกขู่บังคับให้มาขุดน้ำมันก๊าดที่นี่ด้วย”กู้หว่านเยว่ไม่นึกว่าจะยังมีคนอื่นอยู่เบื้องหลังบ่อน้ำมันก๊าดอีก จึงอดถามไม่ได้ว่า “ถูกขู่บังคับ เรื่องราวมันเป็นมายังไง?”อวิ๋นมู่อธิบายเสียงขรึม “เมื่อครึ่งปีก่อน พ่อของข้าพาลูกน้องไปที่เขาหู่หลางเพื่อขุดแร่ แต่กลับได้พบกับกลุ่มผู้ลึกลับโดยบังเอิญหลังจากรู้ว่าผู้ลึกลับกลุ่มนั้นมาที่เขาหู่หลางเพื่อหาสมุนไพรช่วยชีวิต พ่อของข้าก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ ออกค้นหาพร้อมกับพวกเขาผลสุดท้ายกลับได้รู้โดยบังเอิญว่าพวกเขาไม่ได้มาค้นหาสมุนไพรช่วยชีวิตใดๆ แต่มาตามหาน้ำมันก๊าดพ่อของข้าอยากจะหนี แต่ก็สายไปแล้ว ผู้ลึกลับรู้ว่าพ่อของข้าเคยขุดเหมืองถ่านหินมาก่อน จึงขู่บังคับให้เขาออกค้นหาน้ำมันก๊าดด้วยกันพ่อของข้าอาศัยประสบการณ์ของตัวเองค้นหาน้ำมันก๊าดจนพบจริงๆ แต่หลังจากพบน้ำมันก๊าดแล้ว ผู้ลึกลับก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป แต่กลับขอให้พ่อของข้าพาสกุลอวิ๋นไปขุดน้ำมันก๊าดแทนเขา”เมื่อพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของอวิ๋นมู่ก็เผยความเกลี
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้