พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าจางเอ้อร์ก็แสดงความขุ่นเคืองขึ้นหลายส่วน “ข้าช่วยเหลือพวกเจ้ามาตั้งนาน ไม่เพียงพวกเจ้าจะไม่สำนึกบุญคุณ ยังกล้าช่วยเยว่ซื่อกลั่นแกล้งมารดาข้า ช่างเป็นคนดีกันเหลือเกิน”หลายคนได้ยินคำพูดนี้ก็ก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตา โดยเฉพาะคนที่ก่นด่าย่าฮวากับครอบครัวจาง“บุญคุณงั้นหรือ” เยว่อวิ๋นไห
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางวันแสงแดดเจิดจ้าอากาศอบอุ่น ครั้นเย็นย่ำเข้าสู่ราตรีกลับหนาวเย็น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำบ่อยนักแต่ฉีเฟยรู้ดีว่าเยว่อวิ๋นนั้นมีนิสัยรักสะอาด ไม่ว่าจะกลับถึงบ้านดึกแค่ไหนหรือหนาวเพียงใดก็ต้องอาบน้ำก่อนเสมอ นางจึงเตรียมต้มน้ำร้อนรอพร้อมไว้ก่อนแล้วเนื่องจากเวลาไม่
ขนาดตัวเขาเองถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของซีเอ๋อร์ หลายปีมานี้ก็คงถอดใจยอมเชื่อว่าที่ร่างกายของจวินเอ๋อร์อ่อนแอแบบนี้ เป็นเพราะเหตุการณ์คลอดยากไปแล้วด้วยซ้ำสามปี…“สองสามีภรรยาคู่นั้นเป็นคนแบบไหน” คนที่กล้าท้าทายอำนาจของฮ่องเต้ จะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปได้หรือโจวหนีขมวดคิ้ว นึกถึงอาการบาดเจ
“ยังมีอะไรอีก” ฮ่องเต้ตรัสถามเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของโจวหนี“คือ หมอหญิงผู้นั้นมีนิสัยที่พิเศษกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย” เห็นแก่เงินเป็นพิเศษ…“เดิมทีอาการบาดเจ็บของข้าเกิดขึ้นก็เพราะนาง นางจึงมอบยารักษาให้ แต่ก็เก็บเงินไปด้วย” แถมยังแพงมาก ตั้งห้าสิบตำลึงแน่ะ“หากพระองค์จะให้นางตรวจดูตัวยาให้ละก็...” ถูก
เช้าวันต่อมาเยว่อวิ๋นกับเซี่ยต้าจวงมุ่งหน้าเข้าตำบลแต่เช้า มองด้านหลังที่มีกลุ่มเด็กน้อยนั่งเรียงราย เซี่ยต้าจวงพลันอดส่ายหน้าไม่ได้ น้องสะใภ้รองตามใจเด็กๆ มากจริงๆเยว่อวิ๋นมองตามสายตาก็พอเข้าใจความคิดของเซี่ยต้าจวง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็นางแพ้สายตาออดอ้อนของสองซาลาเปานี่นา ส่วนคนอื่นๆ นั้นจะว่าอย
เห็นแววตาโล่งใจในดวงตาของอีกฝ่าย ทั้งคู่พลันหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหารือเรื่องสัญญาขี้ผึ้งทาเท้าต่อหลีจวินนั่งฟังพลางกอดอกใบหน้าคิดหนัก เขามองบรรยากาศผ่อนคลายตรงหน้าแล้วอดนึกหวาดวิตกในใจไม่ได้ ‘แย่แล้วๆ ปีศาจเซี่ย ดูเหมือนฐานกำแพงของเจ้าเวลานี้จะไม่ค่อยมั่นคงแล้วล่ะ’สุดท้ายขี้ผึ้งทาเท้าก็ถูกลง
เยว่อวิ๋นรู้ดีว่าตัวเองกำลังจะตาย…นางไม่นึกเสียใจทว่าเพียงแต่คิดเสียดาย…นางถูกบิดาที่เคารพหลอกใช้เป็นหมาก มารดาที่รักทอดทิ้งอย่างไม่สนใจไยดี กระทั่งน้องชายที่ให้ความเอ็นดูกลับหมางเมินไม่แยแสต่อความเป็นความตายของนางหลายปีนับจากเติบใหญ่ เยว่อวิ๋นก็จับดาบมุ่งเข้าสู่สนามรบ นางดำรงตำแหน่งแม่ทัพหญิงเพื
เยว่อวิ๋นมั่นใจว่าตัวเองนั้นตายไปแล้ว…แน่นอนว่าคนที่ถูกตัดคอขาดในดาบเดียวเช่นนาง คงไม่คิดหรอกว่าตัวเองจะยังมีชีวิตอยู่ดีความรู้สึกยามศีรษะหลุดกระเด็นแยกจากร่าง เวลาชั่วขณะนั้นยากนักที่จะอธิบาย แถมยังไม่น่าหวนนึกถึงเท่าใด เพียงแต่นางไม่คาดคิดเลยว่าความรู้สึกหลังความตายกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าก่อนตายไม่ป
เห็นแววตาโล่งใจในดวงตาของอีกฝ่าย ทั้งคู่พลันหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนจะหารือเรื่องสัญญาขี้ผึ้งทาเท้าต่อหลีจวินนั่งฟังพลางกอดอกใบหน้าคิดหนัก เขามองบรรยากาศผ่อนคลายตรงหน้าแล้วอดนึกหวาดวิตกในใจไม่ได้ ‘แย่แล้วๆ ปีศาจเซี่ย ดูเหมือนฐานกำแพงของเจ้าเวลานี้จะไม่ค่อยมั่นคงแล้วล่ะ’สุดท้ายขี้ผึ้งทาเท้าก็ถูกลง
เช้าวันต่อมาเยว่อวิ๋นกับเซี่ยต้าจวงมุ่งหน้าเข้าตำบลแต่เช้า มองด้านหลังที่มีกลุ่มเด็กน้อยนั่งเรียงราย เซี่ยต้าจวงพลันอดส่ายหน้าไม่ได้ น้องสะใภ้รองตามใจเด็กๆ มากจริงๆเยว่อวิ๋นมองตามสายตาก็พอเข้าใจความคิดของเซี่ยต้าจวง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็นางแพ้สายตาออดอ้อนของสองซาลาเปานี่นา ส่วนคนอื่นๆ นั้นจะว่าอย
“ยังมีอะไรอีก” ฮ่องเต้ตรัสถามเมื่อเห็นท่าทีอึกอักของโจวหนี“คือ หมอหญิงผู้นั้นมีนิสัยที่พิเศษกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย” เห็นแก่เงินเป็นพิเศษ…“เดิมทีอาการบาดเจ็บของข้าเกิดขึ้นก็เพราะนาง นางจึงมอบยารักษาให้ แต่ก็เก็บเงินไปด้วย” แถมยังแพงมาก ตั้งห้าสิบตำลึงแน่ะ“หากพระองค์จะให้นางตรวจดูตัวยาให้ละก็...” ถูก
ขนาดตัวเขาเองถ้าไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของซีเอ๋อร์ หลายปีมานี้ก็คงถอดใจยอมเชื่อว่าที่ร่างกายของจวินเอ๋อร์อ่อนแอแบบนี้ เป็นเพราะเหตุการณ์คลอดยากไปแล้วด้วยซ้ำสามปี…“สองสามีภรรยาคู่นั้นเป็นคนแบบไหน” คนที่กล้าท้าทายอำนาจของฮ่องเต้ จะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปได้หรือโจวหนีขมวดคิ้ว นึกถึงอาการบาดเจ
เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงช่วงกลางวันแสงแดดเจิดจ้าอากาศอบอุ่น ครั้นเย็นย่ำเข้าสู่ราตรีกลับหนาวเย็น ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำบ่อยนักแต่ฉีเฟยรู้ดีว่าเยว่อวิ๋นนั้นมีนิสัยรักสะอาด ไม่ว่าจะกลับถึงบ้านดึกแค่ไหนหรือหนาวเพียงใดก็ต้องอาบน้ำก่อนเสมอ นางจึงเตรียมต้มน้ำร้อนรอพร้อมไว้ก่อนแล้วเนื่องจากเวลาไม่
พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าจางเอ้อร์ก็แสดงความขุ่นเคืองขึ้นหลายส่วน “ข้าช่วยเหลือพวกเจ้ามาตั้งนาน ไม่เพียงพวกเจ้าจะไม่สำนึกบุญคุณ ยังกล้าช่วยเยว่ซื่อกลั่นแกล้งมารดาข้า ช่างเป็นคนดีกันเหลือเกิน”หลายคนได้ยินคำพูดนี้ก็ก้มหน้าไม่กล้าสู้สายตา โดยเฉพาะคนที่ก่นด่าย่าฮวากับครอบครัวจาง“บุญคุณงั้นหรือ” เยว่อวิ๋นไห
“เอาล่ะ พอกันได้แล้ว” เห็นว่าบ้านจางถูกด่าจนคนกลายเป็นนกกระทาหดหัวไม่กล้าสู้หน้าใคร ผู้ใหญ่บ้านที่เมื่อครู่แอบยืนสะใจจึงค่อยออกมาตวาดห้าม“ต่อไปนี้จงฟังกันให้ดี ข้าจะพูดเรื่องสำคัญแล้ว ด้วยความเสียสละของยายหนูอวิ๋น หมู่บ้านพวกเราจะเปิดโรงสมุนไพร ต่อไปใครที่ไปเก็บสมุนไพรมา ต้องการจะขายก็นำมาขายได้ที่
หากเป็นคนอื่นคงนึกตำหนิว่าฮ่องเต้ทำเกินกว่าเหตุ เพราะมองว่าคนอื่นๆ ในสกุลไม่ควรต้องมาพลอยโชคร้ายไปกับการกระทำของหลี่อี้กับหวังสวี่ ทว่าเยว่อวิ๋นนั้นแตกต่างเยว่อวิ๋นในอดีตเติบโตมากับการแบกรับชื่อเสียงของวังอ๋อง ดังนั้นในสายตานางการที่พวกเขาทุกคนกินใช้เสวยสุขกับอำนาจและเงินทองของหวังสวี่กับหลี่อี้ ก็
ถึงแม้เยว่อวิ๋นจะบอกว่าให้รอพูดคุยพร้อมกันทีเดียวในตอนเย็น แต่ก็ไม่อาจขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้านกับความอยากเล่าของผู้ใหญ่บ้านได้ดังนั้นกว่าที่นางจะส่งพวกเขาทั้งหมดจากไปได้ เวลาก็ล่วงเลยจนถึงเวลากินอาหารกลางวันของคนงานแล้วรอจนทุกคนมารวมตัวกันเพื่อกินอาหาร เยว่อวิ๋นจึงประกาศบอกให้พวกเขาไปร