LOGIN[TAN PART]
(ณ บริษัทโปรดักชันสำนักงานใหญ่)
ภายในห้องของผู้อำนวยการที่เงียบสงัด ผมยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าโน้ตบุ๊ค แต่หน้าจอไม่ได้เปิดบทละครอย่างเคย
แต่...เป็นฟีดข่าวที่กำลังมาแรงในโซเชียลเมื่อหลายชั่วโมงก่อน
‘เคมีร้อนแรงทะลุจอ! พระเอก-นางร้าย จากกองถ่าย เมฆร้ายกลางฝน เคมีดีเกินหน้า นางเอกตัวจริง’
‘เบื้องหลังริมทะเล! ภาพหลุด มิ้น แนบชิดพระเอกหนุ่ม ทำเอาแฟนคลับแห่จิ้น’
ผมจ้องอ่านพาดหัวข่าวเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา ด้วยท่าทีกัดกรามแน่น มือข้างหนึ่งกดเมาส์แรงจนเกิดเสียงดัง
“โธ่เว้ย!” อารมณ์ที่กำลังลุกโชติช่วงยิ่งปะทุร้อนขึ้นไปอีก เมื่อภาพนิ่งที่แอบถ่ายจากกอง เป็นภาพของแฟนผมกำลังยิ้มแย้ม และร่างกายของเธออยู่ในอ้อมแขนของพระเอกหนุ่มหน้าตาดีท่ามกลางแสงอาทิตย์ ที่ทำให้ทุกอย่างดูชวนฝันราวกับภาพพรีเวดดิ้ง
ถ้าเธอเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่ง ผมคงไม่รู้สึกอะไร คงมองเหมือนดาราทั่วไปที่ถูกจับจิ้นไปตามกระแสละคร แต่ตอนนี้ในสายตาผมผู้หญิงในรูปคือ ‘แฟน’ และที่สำคัญเธอไม่เคยบอกผมว่ามีฉากหวานมากขนาดนี้ มันจึงเป็นภาพที่ทิ่มแทงใจเสียมากกว่า
แม้ผมจะรู้ว่า ‘มันเป็นงาน’ แม้จะรู้ว่า ‘ผมไม่มีสิทธิ์แสดงตัวได้’ ในฐานะคนรัก แต่หัวใจที่ผูกพันกับหญิงสาวในรูปแรมเดือนมาแล้วนั้นกลับไม่ยอมรับฟังเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป
ผมโยนมือถือลงบนโต๊ะ สไลด์เก้าอี้ลุกขึ้นยืนเท้าสะเอวด้วยความไม่พอใจ ผมเปิดลิ้นชัก หยิบกุญแจรถ พลางหลี่สายตาลงเหมือนเก็บความคิดบางอย่างไว้ลึก ๆ
‘มิ้นอาจจะไม่บอกอะไรพี่...พี่ไม่โกรธหรอก แต่พี่ต้องไปดูให้เห็นกับตา ว่ามันเป็นอย่างที่คนเขียนลงโซเชียลหรือเปล่า’
(สี่ชั่วโมงต่อมา)
ผมขับรถยนต์ส่วนตัวมาถึงโรงแรมที่พักของนักแสดง สวมหมวกแก๊ปและแว่นกันแดดปิดบังใบหน้า เพื่อเลี่ยงคนในกองถ่ายละคร เพราะชื่อผมเองก็ดังในวงการผลิตละครเหมือนกัน ใครเห็นก็ต้องรู้จัก
ผมมาที่นี่โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ไม่ได้โทรหา และไม่ต้องการให้มิ้นรู้ตัว ผมแค่อยากเห็นว่าเธอสบายดีไหมและ ‘มีใครอีกคนซ่อนไว้รึเปล่า’
ผมเดินเข้าไปในล็อบบี้ ค่อย ๆ ถามชื่อห้องพักจากสายในกองถ่ายซึ่งเป็นคนของผมแบบลับ ๆ ด้วยใจที่ร้อนรุ่ม พร้อมคำถามที่อยากเอ่ยถามแฟนสาวว่า ‘เธอ...ยังรักพี่คนเดียวในใจรึเปล่า’
แต่ณ เวลานี้กองถ่ายยังไม่เลิกถึงผมขึ้นไปรอหน้าห้องพักของมิ้นก็คงไม่เจอเธอ ผมเลยเลือกจะแอบตามไปดูในกองเสียหน่อย
ผมยืนนิ่งอยู่ข้างรถตู้ของทีมงาน ห่างจากจุดถ่ายทำไม่กี่ก้าว ความรู้สึกเดือดดาลพล่านในอกขณะสายตาผมจับจ้องไปยังการถ่ายทำตรงหน้า
“นั่นมัน...” ผมแอบมองมิ้นที่กำลังยืนหันหน้าเข้าหานักแสดงชายที่ได้รับบทพระเอก ร่างบางในเดรสสีขาวถูกลมทะเลพัดแนบไปกับเรือนกาย เธอเงยหน้ามองพระเอกคนนั้นด้วยแววตาอ่อนหวาน จนผมไม่แน่ใจว่านั่นคือบทละคร หรือมาจากหัวใจของเธอ
“ลองซ้อมแบบใกล้กว่านี้นะมิ้น ขอแบบคิดว่าการซ้อมคือถ่ายจริงเลย” เสียงผู้กำกับดังลอดโทรโข่งออกมา
“อย่าลืมล่ะ ตอนที่พระเอกพูดประโยคสุดท้าย เธอต้องรู้สึกเหมือนยังรักเขาจริง ๆ แล้วค่อย ๆ ยอมให้เขาเดินเข้ามาใกล้” ในขณะที่ผู้กำกับพูด มิ้นก็ทำตามผู้กำกับอย่างเชื่อฟัง “ใช่...อย่างนั้นแหละ สบตาอาร์ทไว้นะ” มือของพระเอกคนนั้นเอื้อมมาแตะแขนเธอเบา ๆ ก่อนจะไล้ขึ้นมาถึงไหล่
“เกินไปแล้ว” ผมสบถออกมาเบา ๆ กับภาพที่เห็น ผมรู้ว่านี่คือบท แต่ยังไงผมก็ทนเห็นแฟนตัวเองใกล้ชิดกับผู้ชายอื่นไม่ได้จริงๆ
“พอเทคนี้จบ ลองให้อาร์ทเขาลูบแก้มหน่อยนะครับน้องมิ้น เอาให้คนดูรู้สึกได้ว่ามิ้นใจอ่อนจริง ๆ”
“เอ่อ...” สีหน้าเธอแสดงให้เห็นว่าหนักใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็ตอบตกลงไป “ได้ค่ะ” เสียงของเธอแผ่วเบา ตอบรับตามหน้าที่ และในตอนนั้น หัวใจของผมก็เหมือนจะระเบิด
‘ผมไม่ควรหึง...แต่ก็หึง’
‘ผมไม่มีสิทธิ์จะหวงเธอ...แต่ก็หวง’
เพราะภาพตรงหน้าที่เห็น มันเกินกว่าที่ผมจะรับได้
“คัต!” เสียงผู้กำกับดังขึ้น และทีมงานทุกคนก็เฮลั่นเมื่อฉากที่ต้องถ่ายวันนี้จบลงไปด้วยหน้าตาชื่นมื่นกันทุกคนในกอง
แต่ไม่ใช่ ‘ผม’
ผมเดินกลับไปที่โรงแรมก่อนที่จะมีใครเห็น พลางนั่งคิดไปต่าง ๆ นานา ผมไม่โกรธเธอ...เพราะเธอทำตามหน้าที่การงาน
ผมแค่โกรธตัวเอง...ที่ไม่สามารถหักห้ามใจให้รู้สึกหึงหวงได้ และที่โกรธที่สุดคือ เพราะผมปล่อยให้เธอมาอยู่ตรงนี้โดยที่ไม่มีผมอยู่ข้าง ๆ และยิ่งผู้ชายด้วยกันจะมองออก ผมรู้สึกว่าพระเอกคนนี้แอบมีใจให้แฟนสาวของผมแน่นอนดังนั้นผมจึงกลัว...กลัวว่าจะถูกใครแย่งคนรักของผมไป
[END TAN PART]
(สองทุ่ม)
วันนี้เลิกกองค่ำมาก เพราะผู้กำกับอยากให้พวกเราได้มีเวลาพัก เที่ยวเล่นทะเลหลาย ๆ วันหน่อย ดังนั้นวันนี้จึงอัดการถ่ายทำไปหลายฉากพอควร เอาจริงก็แทบเป็นซีนที่มีฉันทั้งหมดของเรื่องแล้วล่ะ ไวกว่าที่คิดจริง ๆ แฮะ ดีเหมือนกัน...ฉันจะได้จบจากการเล่นแต่ละฉากที่อาจทำให้ใครบางคนรู้สึกไม่ดีได้สักที
หลังจากทานอาหารเย็นร่วมกับทีมงานคนอื่น ๆ เพื่อสร้างมิตรไมตรีเสร็จ ฉันก็เดินกลับห้องอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนผ้าบางเบาสีขาวอย่างที่ชอบใส่ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงกอดเข่าแนบอก ไถนิ้วไปตามจอมือถือครั้งแล้วครั้งเล่า
“พี่แทนหายไปไหนกัน” ฉันพึมพำออกมาด้วยความว้าวุ่นใจ ไม่มีข้อความ ไม่มีสายเรียกเข้า ไม่มีชื่อของเขาปรากฏบนจอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันเคยมีทุก ๆ วัน ไม่ว่าเขาจะยุ่งแค่ไหนเขาก็มักต้องส่งคำว่า ‘ถึงรึยังครับ’ ‘หนูนอนหรือยัง’ มาบ้าง แต่คืนนี้ไม่มีอะไรเลย
ฉันถอนหายใจยาว เอนตัวพิงหมอนบนหัวเตียง หันหน้าไปทางระเบียงที่เปิดไว้เพื่อรับลมทะเล ลมที่พัดเข้ามาพานปลุกให้ความคิดที่ฟุ้งซ่านของฉันยิ่งแผ่ไปอีก
‘เขาเห็นข่าวหรือยังนะ’
‘หรือบางที...เขาอาจไม่ได้สนใจ’
‘หรือว่า...เขาเริ่มจะไม่มั่นใจในความรักกับฉันแล้ว’
ยิ่งคิดยิ่งทำให้ฉันอยากจะบ้าตาย เพียงแค่บทสนทนาสั้น ๆ รูปภาพที่คนอื่นแอบถ่ายฉันไว้ มันเพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกว่าฉันเปลี่ยนไปงั้นเหรอ
“ไม่ไหว ขืนฉันนอนแบบนี้มีหวังอกแตกตายแน่ ๆ ฉันต้องสงบจิตสงบใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ได้”
ฉันลุกขึ้นเดินไปที่ระเบียงพร้อมมือถือ แหวกผ้าม่านบางให้กว้างออก พร้อมกับเดินออกไปรับลมนอกระเบียงที่ลมทะเลพัดเอื่อยจนรู้สึกหนาว
“หนาวจัง ถ้ามีเขากอดก็คงอุ่น แต่คงเป็นไปไม่ได้ในสถานการณ์นี้สินะ” ฉันกอดตัวเองพึมพำออกมา มือของฉันสั่นเล็กน้อย ขณะยกมือถือขึ้นมาอีกครั้งตั้งใจจะกดโทรหาเขา...แต่ปลายนิ้วเจ้ากรรมกลับไม่กล้า มันกดไม่ลง
“ทำไงดีโว๊ย!” ฉันตะโกนลั่นจนเสียงสะท้อนกลับให้ฉันได้ยินถึงความเจ็บปวดของตัวเอง
‘ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก’ เสียงเคาะประตูดังขึ้นในวินาทีนั้น ทำเอาฉันสะดุ้งตัวโหยง
“ไม่ใช่พนักงานแน่ ๆ เพราะฉันไม่ได้กดเรียก หรือว่าคนข้าง ๆ ห้องจะมาด่าที่ฉันเสียงดังกัน” ฉันเริ่มตื่นกลัว ใจเต้นโครมคราม ทำใจรับแรงกระแทกจากการโดนด่า
ฉันค่อย ๆ หมุนลูกบิดเปิดประตูอย่างระมัดระวัง หลับตาปี๋ก่อนจะโค้งตัวก้มอย่างรวดเร็ว
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะส่งเสียงดังเลยนะคะ” ฉันค้างเติ่งอยู่แบบนั้นสักพัก แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนตรงหน้า ฉันลืมตาขึ้นมองเห็นรองเท้าหนังคัชชูสีดำเงาวับ จนไม่กล้าเงยหน้าด้วยความสั่นกลัว ก็รู้ตัวว่าทำผิดนี่นา
แต่คนตรงหน้าก็ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ๆ จนฉันเริ่มระแวง ค่อย ๆ ยอมเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และสิ่งแรกที่ฉันเห็น คือสายตาคู่นั้น
“พี่แทน! มาได้ยังไงคะ” ฉันอุทานดังลั่น พี่แทนยืนอยู่ตรงหน้าฉัน ใบหน้าเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินกดดันจนฉันต้องถอยร่นเข้ามาให้ห้อง จากนั้นมือของเขาก็จับลูกบิดปิดประตูดัง ‘ปัง!’
เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กำลังเดินเข้ามาหาฉันด้วยท่าทีที่ทำให้ฉันกลัว จนฉันสะดุดล้มนั่งไปกับโซฟา
“พี่อยากคุยด้วย” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำเรียบนิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
ฉันเผลอเบือนหน้าหนี ไม่รู้เพราะสับสนหรือกลัว เพราะนัยน์ตาเขาที่จ้องมายังฉันฉายคำว่า ‘ไม่เชื่อใจ’ ออกมาให้ฉันรู้สึก
“ถะ...ถ้าพี่มาเพื่อจะถามว่าหนูสนิทเกินกว่านั้นกับพี่อาร์ทรึเปล่า หนูตอบตอนนี้เลยก็ได้ว่าไม่...” เสียงฉันสั่นเครือนิด ๆ “ตะ...แต่ถ้าพี่ไม่เชื่อ หนูก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว” ฉันก้มหน้าอยากจะร้องไหน เขาไม่พูดตอบกลับอะไร แต่เอื้อมมือเชยคางฉันให้มองเขา
“พี่มาที่นี่ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อใจหนู แต่พี่ห้ามตัวเองไม่ให้หึงและหวงได้ เข้าใจพี่รึเปล่าครับ” ฉันมองเขานิ่งสองแขนของเขาโอบรัดฉันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ฉันก้มหน้าซบอกเขาความกดดันก่อนหน้าค่อย ๆ กลายเป็นน้ำใส ๆ ไหลออกจากนัยน์ตา
“รู้ไหม...” เขาพูดเบา ๆ น้ำเสียงนุ่มแต่ทุ้มต่ำ “ตั้งแต่เห็นภาพในข่าว พี่ยอมรับว่าพี่โมโหมาก” ฉันไม่พูดอะไร เพียงแต่ยกมือมากำเสื้อเชิ๊ตของเขาไว้แน่นตรงหน้าอก เพราะไม่กล้าสบตา
“พี่พยายามแล้วที่จะบอกตัวเองว่าเข้าใจ มันคืองานของมิ้น” เขาพูดในขณะที่ยกมือข้างหนึ่งลูบหัวฉัน “แต่มันทำยากกว่าที่คิดนะ”
ฉันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองเขาที่อยู่ใกล้เห็นนัยน์ตาเข้มที่พยายามเก็บอารมณ์ไว้ ก่อนที่เขาจะหลุบตามองฉันแล้วพูดต่อ
“ภาพนั้น...” เขากัดฟันแน่น…ขาดช่วง “มันติดอยู่ในหัวพี่ทั้งวัน หนูรู้ไหมว่า พี่เห็นแล้วร้อนใจจนต้องขับรถตามมาทันทีทั้งที่งานยังรัดตัว” เขากัดริมฝีปากแน่น แค่ฉันมองฉันก็รู้สึกเจ็บแล้ว จึงยกมือลูบริมฝีปากเขาเบา ๆ และเขาก็ยอมคลายเม้มริมฝีปากลง
“ละ...แล้วทำไมพี่ไม่โทรหาหนูล่ะ หนูพร้อมอธิบายให้พี่อยู่แล้ว แต่นี่พี่เล่นเงียบไป เงียบจนหนูคิดว่าพี่โกรธไปแล้ว หนูเลยไม่กล้าโทรหา” ฉันถามเบา ๆ ปนเสียงสะอื้นเล็ก ๆ เพราะกลั้นไม่ได้อีกต่อไป ในขณะที่เขาสูดหายใจลึก ๆ ก่อนพูด
“เพราะพี่อยากมาเห็นกับตา และยืนยันด้วยตัวเอง พี่ไม่อยากให้ตัวเองต้องตกอยู่ในภาวะฟุ้งซ่านครับ” สีหน้าเขาแย่ นั่นยิ่งทำให้ใจฉันเจ็บไปด้วย ฉันพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าเขากลับพูดต่อ
“พี่รู้ว่าต้องแยกเรื่องงาน กับ เรื่องส่วนตัวให้ได้ พี่รู้ว่ามิ้นเป็นนักแสดง และพี่เป็นคนเขียนบท” เขาเปลี่ยนมือทั้งสองมากุมหน้าฉันไว้อย่างอ่อนโยน “แต่เพราะเรื่องนี้พี่ไม่ใช่คนเขียนบทแต่...แค่เป็นคนที่รักหนู แล้วคนที่รักหนูคนนี้ มันก็อดหวงไม่ได้เวลาเห็นคนอื่น...ได้แตะ ได้กอด หรือแม้แต่ได้จ้องตาแฟนพี่” น้ำเสียงเขาแผ่วลง แต่ชัดเจนจนฉันรู้สึกเหมือนโดนเขากระชากหัวใจไปทั้งดวง ฉันเผลอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วก็ยิ่งไหลรินมากกว่าเดิม
“พี่แทน...ซิก...”
“แต่พี่คนนี้พยายามเข้าใจหนูนะ และพี่ก็รู้แล้วว่าต่อให้คนทั้งโลกจะเข้าใจผิดกับสถานการณ์อะไรก็ตาม พี่ก็จะเลือกเชื่อใจแค่หนูคนเดียว” มือเขาลูบผมฉันเบา ๆ อีกครั้ง นิ้วไล้ผ่านแก้มมาหยุดที่ท้ายทอย ก่อนจะกดหน้าฉันให้แนบกับอกกว้างของเขา
“อย่าปล่อยให้พี่คิดถึงแบบนี้อีกเลยนะ” พี่แทนพึมพำเบา ๆ “พี่อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่รู้ว่าหนูยังเป็นของพี่อยู่รึเปล่า ดังนั้นคราวหน้าบอกพี่ทุกอย่างได้ไหม พี่สัญญาว่าจะไม่งี่เง่า ไม่คิดไปเอง แต่ขอให้หนูบอกทุกอย่าง ถ้าต้องมีฉากอะไรแบบนี้อีก”
“ฮือ...รู้แล้วค่ะ มิ้นผิดเองที่ไม่บอกพี่ให้หมด มิ้นแค่กลัวพี่จะไม่โอเคเลยเลือกที่จะไม่บอกก่อน คราวหน้าสัญญาจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ” ฉันสะอื้นขาดช่วงไป ก่อนจะพูดต่อ “หนูไม่เคยเป็นของใครนอกจากพี่แทนนะ หนูสัญญา” ฉันยืดตัวขึ้นไปข้างหูเขาพลางกระซิบ “ต่อให้คนทั้งโลกจะไม่เชื่อ หรือเอาไปพูดกันต่าง ๆ นานา ยังไงหนูไม่สน แต่พี่ต้องเชื่อใจหนูมากกว่าข่าวที่ออกมานะคะ”
พี่แทนเลื่อนมือมากุมหลังฉันก่อนจะกดร่างฉันให้แนบไปกับเขาทุกส่วนอยากรักใคร่
“งั้นพี่ขอทวงคืนหนูหน่อย”
“ทวงคืน?” ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความสับสน
“ร่องรอยที่เขาจับส่วนไหน ลูบส่วนไหน พี่จะลบล้างมันให้หมด ร่างกายของหนูต้องเป็นของพี่คนเดียวจำไว้นะครับ”
ห้องรับรองหลังฉากในสตูดิโอรายการ ‘4 แซ่บบันเทิง’ แม้จะเย็นฉ่ำจากแอร์ แต่มันก็ไม่สามารถดับความประหม่าในใจฉันได้เลยสักนิด“พี่...แน่ใจเหรอ ว่าเราควรมานั่งให้สัมภาษณ์แบบนี้ มันจะไม่โหนกระแสไปหน่อยเหรอคะ” ฉันหันไปกระซิบถามพี่แทนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พลางจับมือเขาแน่นจนชื้นเหงื่อ“แน่ใจสิครับ ไหน ๆ ก็เปิดตัวแล้ว เราก็ควรจะไปให้สุด” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็นใจ ฉันพ่นลมหายใจยาวใช้หลังมืออีกข้างแตะหน้าผากตัวเองเบา ๆ ได้แต่ภาวนาให้ฉันอย่าหลุดพูดอะไรแปลก ๆ เลยเถอะ“อีกสิบนาที เตรียมตัวนะคะ” หนึ่งในทีมงานเดินเข้ามาแจ้ง ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันอย่างเป็นกันเอง “ไม่ต้องเกร็งนะคะคุณมิ้น แฟน ๆ ตอนนี้ยอดคนดูรอแล้วกว่าแสนคน” ฉันพยักหน้ารับ ขณะที่พี่แทนหันมากระซิบข้างหูกันเบา ๆ“ไม่ต้องกลัวนะครับ พี่อยู่ตรงนี้ตลอด” แม้หัวใจฉันจะเต้นแรง แต่เพียงเขาพูดแค่นี้ก็ทำให้ฉันสงบลงได้ ใช่...ต่อจากนี้เราจะไม่ต้องแอบ ไม่ต้องหลบ และปิดบังอีกต่อไป(หน้าฉากสตูดิโอ รายการ 4 แซ่บบันเทิง)“ว้าว...ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้นั่งสัมภาษณ์สองคนนี้ในฐานะ ‘คู่รัก’ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับความรักครั้งนี้ด้วยนะคะ คุณแทนและคุณมิ้น”
นาฬิกาชีวิตปลุกให้ฉันตื่นขึ้นอัตโนมัติ กิจกรรมร่วมรักบนเตียงเมื่อคืนส่งผลให้ความปวดร้าว หนักหน่วงคืบคลานไปทั่วร่างแม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ฉันก็ยังขยับตัวลำบาก เนื่องจากสองแขนแกร่งของคนนอนข้างกายยังคงรัดแน่นไม่ยอมปล่อยราวกับกลัวว่าฉันจะหนีหายไปพี่แทนยังคงหลับสนิท ฉันหันไปจ้องหน้าเขาชัด ๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึก...หล่อจนใจสั่น ไม่ใช่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่หัวใจที่เขามอบให้ฉันก็รับรู้ได้ทั้งหมดเขานอนตะแคงหันหน้ามาทางฉัน มือหนึ่งยังพาดอยู่บนเอวฉัน“โธ่เอ้ย...พอหลับแล้วไม่เห็นจะดูเจ้าเล่ห์เลยนะ” ฉันยิ้มพึมพำเบา ๆ ขณะใช้นิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าหล่อเขาให้เห็นเด่นชัดฉันเอี้ยวตัวอย่างเบามือ ให้ตัวแนบชิดกับเขามากกว่าเดิม ซบหน้าลงกับอกแกร่งฟังเสียงหัวใจของเขาที่ยังเต้นแรงอยู่“เมื่อวานที่หนูบอกว่า...ไม่อยากแพ้พี่” ฉันกระซิบเบา ๆ กับตัวเอง “ไม่ใช่เพราะหนูอยากเอาชนะ” ฉันยิ้มพลางขยับใบหน้าเบา ๆ เพื่อรับไออุ่นมากขึ้น “แต่หนูอยากให้พี่เห็นว่า หนูก็พร้อมมอบความรักให้พี่เช่นกันค่ะ”เขาขยับตัวเล็กน้อย มือที่กอดฉันไว้กระชับแน่นขึ้น ทำฉันสะดุ้งจนกระตุกวูบ“แกล้งหลับอยู่ใช่ไหมคะ...” ฉันแหงนหน้ามอ
ฉันยังชันเข่าอยู่ตรงหน้าเขาแบบนั้น แต่อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่แค่นั่งเฉย ๆ อีกต่อไป สองเราลูบไล้และทอดนัยน์ตายั่วยวนกันและกัน โดยไม่มีใครยอมใครมือฉันแนบอยู่บนอกแกร่ง มือเขาแนบอยู่ที่แผ่นหลังฉัน พลางไล้นิ้วไปตามสันหลังก่อนจะหยุดตรงกลางหลังแล้วพยายามเร่งโน้มตัวฉันลงไปอีก แต่ฉันไม่ยอมหรอก“จะรีบร้อนทำไมคะ” ฉันกระซิบแหบพร่า พร้อมกดมือบนอกแกร่งเขาเบา ๆ จงใจถ่วงเวลาไว้พี่แทนยิ้มแฝงด้วยจิตวิญญาณนักล่าที่รู้ว่าคนตรงข้ามอย่างฉันกำลังเล่นเกมด้วยความรู้สึกเดียวกัน“ไม่ได้รีบร้อน แค่รู้สึกว่าถ้าพี่ปล่อยให้หนูคุมเกมมากกว่านี้ พี่อาจจะหมดแรงก่อนได้เริ่มจริง”“แปลว่าเริ่มกลัวหนูแล้วสินะ”“ไม่ได้กลัว...แค่ไม่ประมาทครับ” ฉันยกยิ้มมุมปากโน้มใบหน้าเข้าใกล้ใช้เรียวลิ้นร้อนไล้เลียไปตามแนวหลังใบหู สันกรามเบา ๆ ขณะที่มือฉันเริ่มเคลื่อนไปตามอารมณ์สอดเข้าในเรือนผมของเขาพลางขยุ้มเบา ๆเขาชะงักเล็กน้อยกับสัมผัสบางเบานี้“ถ้าเล่นแรงแบบนี้ พี่คงต้องเอาจริงแล้วนะครับ” ฉันยิ้มมุมปาก ขณะใช้มืออีกข้างลูบไปตามแนวแขนแกร่งเขา“ก็รออยู่นี่ไงคะ จะเอายังไงก็เชิญ พร้อมรับแรงกระแทกเสมอ” สิ้นคำสิ่งที่เขาตอบกลับมาคือการกดจูบอีก
“โอเคครับ กล้องพร้อม! ไฟพร้อม! แอคชั่น!” เสียงผู้กำกับดังขึ้นท่ามกลางกองถ่ายบ้านหรูปลีกวิเวกที่แสนสงบ เราสวมชุดนักแสดงเต็มยศ ฉันอยู่ในชุดเดรสลูกไม้สีฟ้าอ่อน พี่แทนอยู่ในชุดเชิ้ตขาวพับแขนกับกางเกงสแล็คเข้ารูปบรรกาศโดยรอบเงียบลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ของตน...ฉากที่เรากำลังจะถ่ายกันคือ ‘ฉากจูบแรก’ ของพระเอกและนางเอกในละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครหลัก โดยก่อนหน้านี้มีแต่การปะทะอารมณ์และเข้าใจผิดมาโดยตลอด ‘ในการถ่ายทำชื่อตัวละครในเรื่อง คือชื่อพวกเราเลย แต่ในเมื่อคนเขียนบทอย่างพี่แทนเขียนมาแบบนั้น ฉันก็เออออไปตามนั้นแหละ’และตอนนี้ พี่แทนกำลังจะจูบฉัน“มิ้น...” เสียงเขาเรียกเบา ๆ ขณะยืนห่างฉันไม่ถึงฝ่ามือ นัยน์ตามีความลังเลปนกับความรู้สึกบางอย่าง“มิ้นรู้ไหม ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน พี่ไม่เคยหันไปมองใครอีกเลย” บทละครบอกให้ฉันต้องนิ่ง น้ำตาคลอ ตัวสั่นนิด ๆ และปล่อยให้เขาโน้มตัวเข้ามาช้า ๆ ฉันทำตามบททุกอย่างอย่างมืออาชีพ และที่สำคัญฉันใส่หัวใจตัวเองลงไปเล่นด้วยริมฝีปากของพี่แทนเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันได้กลิ่นหอมจาง ๆ จา
หลังกลับมาจากการพักผ่อน ชีวิตนักแสดงสาวก็เข้าสู่วังวนการทำงานที่คุ้นเคย ตอนนี้ชื่อเสียงของฉันทวีคูณมากขึ้น ตั้งแต่ฉันเปิดใจว่าจะรับบท ‘นางเอก’ ก็มีผู้ผลิตละครหลายเจ้ายื่นเสนอมาให้พิจารณาบทเป็นกอง แต่...เรื่องพวกนั้นเอาไว้ทีหลังก่อน เพราะการกลับมาเล่นบทนำในครั้งนี้ ยังไงซะฉันก็ตัดสินใจจะเล่นให้กับละครที่แฟนของฉันเขียนขึ้นมาก่อนวันนี้เป็นวันแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดงนำของละครเรื่อง รอยยิ้มของตัวจริง อย่างเป็นทางการ ฉันมาในชุดเดรสสีดำ ผมชมพูฟาร่าลอนสวย ชนิดที่เดินผ่านคนไหนก็ต้องเหลียวหันมามอง อาจเป็นเพราะก่อนหน้าฉันรับแต่บทตัวประกอบเวลามีงานแถลงข่าวก็ไม่ได้ถูกเชิญขึ้น“พี่กรีน พี่พอรู้รึเปล่าว่าเรื่องนี้ ใครรับบทพระเอก” ฉันหันไปถามผู้จัดการส่วนตัว เอาจริงนะ ฉันไม่รู้อะไรเลยว่าใครแสดงบ้าง บทจริงยังไม่เห็นด้วยซ้ำ แต่เพราะมั่นใจในตัวพี่แทน ฉันเลยไม่ได้ซีเรียสอะไร“ไม่รู้สิ ผู้ผลิตเขาไม่ได้แจ้งอะไรเพิ่มเติมมาเลย ลึกลับมาก”“งั้นเหรอคะ” ฉันเลิกคิ้ว แต่สุดท้ายก็เลิกที่จะสนใจมันไปไม่นานนัก มีทีมงานเรียกให้ฉันเตรียมพร้อมรอขึ้นเวทีอยู่ด้านข้าง“เรียนสื่อมวลชนทุกท่าน กรุณาเตรียมกล้องให้พร้อมนะครับ เ
เสียงนกร้องเบา ๆ จากยอดไม้ข้างนอกดังลอดเข้ามาในเต็นท์ ทำให้เปลือกตาฉันที่หลับสนิทค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา วินาทีแรกที่ได้กลิ่นไอดินปะปนกับกลิ่นหญ้าเปียกหลังฝนจางเมื่อคืนที่ผ่านมา ความสดชื่นก็แผ่ไปทั่วร่างร่างฉันยังซุกแนบอยู่ในอ้อมกอดพี่แทน ใบหน้าแนบชิดกับอกแกร่งอย่างเคยใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ฉันรับรู้ได้ถึงลมหายใจของเขาที่รินรดบนหัว เสียงลมหายใจสม่ำเสมอบ่งบอกได้ว่าหลับสนิทมากเพียงใดฉันขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่กล้าเปลี่ยนท่าทางมาก เพราะกลัวจะรบกวนการนอนของเขา แต่ก็ได้แค่คิด...“หนาวเหรอ?” เสียงทุ้มงัวเงียกระซิบชิดข้างหูฉัน ฉันเงียบไปอึดใจก่อนจะส่ายหน้าเล็ก ๆ แล้วตอบกลับเบา ๆ“เปล่าค่ะ...แค่ยังไม่ชินปกตินอนคนเดียวมาตลอด” พี่แทนขยับตัวเล็กน้อยสองแขนกอดรัดฉันแน่นขึ้น“ก็ทำให้ชินสิครับ” เขาขยับหัวมาแนบแก้มนุ่มฉัน ริมฝีปากแตะหน้าผากอย่างแผ่วเบาก่อนพึมพำต่อ “ถ้าเราตื่นมาแบบนี้พร้อมกันทุกวันก็ได้นะ ถ้าหนูไม่เบื่อ”ฉันยิ้มมองใบหน้าคมที่ปรือตามองฉันเพราะเพิ่งตื่นนอน“หนูไม่เบื่อหรอกค่ะ แต่กลัวว่าจะเป็นพี่มากกว่าที่เบื่อก่อนหนูก็ได้” ฉันพูดจบเขาก็ลากนิ้วไล้กรอบหน้า ก่อนจะหยุดที่ริมฝีปากฉัน“ทั้งที่เพิ่







