“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท
“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว
“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร
“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย
“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่าเขากวางคู่นี้ของเธอจะได้ราคามากมายอะไร
“ขีดละ 15 หยวนครับ นี่เป็นราคาสูงสุดที่ผมให้ได้แล้ว” เถ้าแก่บอกตามตรง ถ้าเขารับซื้อด้วยราคาสูงกว่านี้ เขาจะได้กำไรน้อยลงไปมาก
“คุณลองเอาไปชั่งดูก่อนดีกว่าค่ะ ฉันค่อยตัดสินใจว่าจะขายหรือเปล่า” ซูเมี่ยวจินคิดว่าเขากวางที่ถืออยู่ไม่น่าจะถึงห้ากิโลกรัม ถ้าขายไปก็คงได้เงินไม่มากนัก
“ได้ครับ ๆ ผมจะชั่งกิโลให้ครับ” เถ้าแก่รับเขากวางมาแล้วเดินไปที่โต๊ะซึ่งมีเครื่องชั่งตั้งอยู่ ไม่นานเขาก็เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้ม
“เขากวางสองชิ้นนี้หนัก 3.4 กิโลกรัมครับ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงอยากขายหรือเปล่าครับ ผมรับซื้อในราคา 510 หยวนครับ” เถ้าแก่รีบคำนวณราคาให้ทันที
“คุณว่าขายดีหรือเปล่าคะ” ซูเมี่ยวจินหันไปถามฉางเล่ยที่ตะลึงกับราคาเขากวาง
“ขายก็ดีนะครับ ภรรยา ยังไงเราก็ไม่รู้จะเอาเขากวางไปทำอะไรอยู่ดี” ฉางเล่ยเห็นสายตาขอร้องของเถ้าแก่ เขาจึงเอ่ยปากช่วยสักเล็กน้อย
“ตกลงค่ะ ขายก็ขาย” ซูเมี่ยวจินหันไปบอกเถ้าแก่
“ขอบคุณมากครับ ผมจะเอาเงินมาให้ รอสักครู่นะครับ” เถ้าแก่รีบวิ่งไปเปิดลิ้นชักและนับเงิน 510 หยวนออกมาส่งให้ซูเมี่ยวจินพร้อมรอยยิ้มกว้าง
ซูเมี่ยวจินนับเงินเสร็จก็ลุกขึ้นบอกลาเจ้าของร้าน เธอต้องรีบกลับไปช่วยพ่อแม่ของฉางเล่ยตกแต่งบ้านอีก ส่วนเรื่องรายการอาหารเธอก็เพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้ถามหลิวเอ้อหลิงเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง เพราะแผนการครั้งแรกที่จะให้ชาวบ้านมาช่วยทำอาหารถูกพับเก็บไปจากเรื่องบาดหมางครั้งก่อน
“ฉางเล่ย เราจะซื้อเนื้อกับผักเพิ่มอีกหรือเปล่าคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้นเพราะไม่รู้ว่าที่ซื้อไปคราวก่อนจะพอเลี้ยงแขกไหม
“อืม… ซื้อปลาไปด้วยดีไหมครับ ผมไม่แน่ใจว่าอาหารในงานต้องมีปลาหรือเปล่า เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาซื้อกันอีก” ฉางเล่ยจำได้ลาง ๆ ว่าตอนไปงานแต่งญาติมีอาหารที่ทำจากปลาขึ้นโต๊ะด้วย
“ตกลงค่ะ ไปที่สหกรณ์กันก่อนก็แล้วกัน” ซูเมี่ยวจินสรุป
ฉางเล่ยปั่นสามล้อไปถึงหน้าสหกรณ์ในเวลาไม่นาน เขากับซูเมี่ยวจินเข้าไปซื้อปลา หมู และผักอีกหลายอย่าง ฉางเล่ยจ่ายค่าวัตถุดิบพวกนี้ไปเพียง 120 หยวนเท่านั้น อาจเพราะราคาปลาถูกมาก ทำให้พวกเขาขนซื้อปลามาหลายสิบตัวในคราวเดียว
“รีบกลับบ้านกันเถอะค่ะ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ตกแต่งบ้านไปถึงไหนกันแล้ว” ซูเมี่ยวจินบอกฉางเล่ยเมื่อเก็บของไว้ในสามล้อเสร็จ
“ตกลงครับ คุณนั่งดี ๆ นะ ผมจะปั่นเร็วสักหน่อย” ฉางเล่ยเตือน
“ได้ค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วง” ซูเมี่ยวจินรับคำ เธอจับราวเหล็กของสามล้อเอาไว้แน่น
ฉางเล่ยปั่นสามล้อไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงแล้ว เขากลัวว่าซูเมี่ยวจินจะหิวข้าวจึงปั่นเร็วกว่าขามาเสียอีก ถึงแม้จะมีของอยู่เต็มรถพ่วง แต่ด้วยสามล้อที่ซูเมี่ยวจินซื้อมานั้นคุณภาพดีมาก ทำให้เขาไม่ต้องออกแรงมากในการปั่น
“เมี่ยวจิน คุณไม่คิดจะเชิญคนในหมู่บ้านจริงเหรอครับ” ฉางเล่ยถามระหว่างทางกลับ
“คุณอยากเชิญใครมาก็ได้นะคะ ส่วนคนที่มีเรื่องกับเราไม่ต้องเชิญมาดีกว่าค่ะ”
“ตกลงครับ ผมจะคุยกับพ่อแม่ดูก่อน เพราะเรายังไม่ได้ยืมโต๊ะกับเก้าอี้คนในหมู่บ้านเลยครับ ผมเลยคิดว่าควรเชิญมาสักหน่อย” ฉางเล่ยกลัวว่าซูเมี่ยวจินจะไม่พอใจจึงต้องถามเรื่องนี้ดูก่อน มีเพื่อนบ้านดี ๆ หลายครอบครัวที่พ่อแม่เขารู้จัก
“ตามใจคุณเถอะค่ะ ฉันไม่ได้คิดมากขนาดนั้นหรอก เพียงแต่ถ้ามีใครมาสร้างปัญหาในงานแต่งงานของเรา ฉันจะไม่ไว้หน้าก็เท่านั้นเอง”
“คุณไม่ต้องห่วงไปนะครับ เพื่อนบ้านที่เราจะยืมโต๊ะมีแต่คนที่สนิทกับพ่อแม่ พวกเขาไม่เหมือนครอบครัวพวกที่มาหาเรื่องเราคราวก่อน” ฉางเล่ยอธิบาย
ทั้งสองคุยกันจนกระทั่งฉางเล่ยปั่นมาถึงหน้าหมู่บ้าน ขณะกำลังจะขี่สามล้อผ่านเข้าไป เสียงแม่เฒ่าฮัวก็ดังขึ้น
“เฮอะ! รวยแล้วก็ไม่คิดจะเชิญชาวบ้านอย่างเราไปร่วมงานแต่ง ไม่รู้ว่าจะซื้อของมาทำไมมากมายขนาดนี้ ทั้งที่แขกมีแค่หยิบมือ”
“นั่นสิแม่เฒ่าฮัว หลังจากนี้บ้านฉางคงจะหยิ่งมากขึ้นไปอีกเสียล่ะมั้ง” ป้าซิงเสริม
“พวกแกอย่าเสียงดังไป ประเดี๋ยวแม่เสือนั่นจะมาตะปบพวกเราอีก หน้าฉันยังไม่หายช้ำเลยนะ” ป้าฟางประชดเสียงดังเช่นกัน
ซูเมี่ยวจินฟังยัยป้าพวกนี้แล้วก็กำหมัดแน่น นี่มันหาเรื่องพวกเธอชัด ๆ คนพวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรือยังไง ซูเมี่ยวจินตอนแรกไม่คิดตอบโต้ แต่พอฟังนานเข้าก็ชักจะระคายหู เธอรู้ดีว่าฉางเล่ยอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้
“แก่แล้วยังปากเสียอีก ไม่รู้ว่าอยู่กันมาถึงป่านนี้ได้ยังไง เพราะสันดานพวกคุณมันเป็นแบบนี้ไง พวกเราถึงไม่อยากให้ขยะอย่างพวกคุณมาแปดเปื้อนในงานแต่งงานเราน่ะ แล้วก็หัดหุบปากซะบ้างนะ ไม่ใช่วัน ๆ เอาแต่สุมหัวพูดเรื่องคนอื่นกันสนุกปาก สักวันฉันจะเลาะฟันออกให้ดีไหม” ซูเมี่ยวจินชูกำปั้นขึ้นอย่างเอาเรื่อง
แม่เฒ่าฮัว ป้าซิงและป้าฟางได้ยินได้เห็นท่าทางของซูเมี่ยวจิน พวกเธอจึงได้แต่ต้องรีบหุบปาก ใครจะไม่อยากมีฟันไว้เคี้ยวข้าวกันล่ะ ถึงแม้พวกเธอจะปากดีแต่ก็ไม่อยากเจ็บตัวเหมือนคราวก่อน
“คุณไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก คนพวกนี้ไม่เคยปรับปรุงตัวมาก่อน โต้เถียงกับพวกเขาไปก็เท่านั้นแหละครับ อย่าอารมณ์เสียเลยนะ” ฉางเล่ยบอกอย่างเป็นห่วง
“คนพวกนี้ถ้าไม่ตอบโต้บ้างก็จะยิ่งได้ใจน่ะสิคะ คุณไม่ต้องห่วงฉันหรอก ฉันไม่เป็นอะไร แค่หมั่นไส้พวกปากเสียน่ะค่ะ” ซูเมี่ยวจินเข้าใจความรู้สึกของฉางเล่ยดี แต่เธอก็ไม่อยากให้ใครมาพูดจาประชดประชันใส่ฉางเล่ย
“เข้าใจแล้วครับ เรารีบกลับบ้านกันเถอะ ยังมีอีกหลายอย่างที่เราต้องเตรียม” ฉางเล่ยปั่นสามล้อเร็วขึ้นไปอีกเพื่อจะได้ผ่านกลุ่มแม่เฒ่าฮัวไว ๆ เขากลัวว่าซูเมี่ยวจินจะกระโดดลงจากสามล้อไปจัดการคนพวกนั้นเสียก่อน
เมื่อถึงหน้าบ้าน ซูเมี่ยวจินลงไปเปิดรั้วให้ฉางเล่ยปั่นสามล้อเข้าไป ก่อนจะปิดประตูรั้วไว้เหมือนเดิม เธอไม่ชอบพวกสอดรู้สอดเห็นในหมู่บ้าน จึงไม่อยากเปิดประตูเอาไว้เหมือนที่บ้านฉางเคยทำเมื่อก่อน
“กลับมาแล้วเหรอลูก รีบเข้ามากินข้าวก่อนเร็วเข้า” หลิวเอ้อหลิงที่กำลังติดคำมงคลที่หน้าประตูเรียกลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมรอยยิ้ม เธอกับสามีกำลังรอพวกเขากลับมากินข้าวเที่ยงพร้อมกันอยู่พอดี
“ครับแม่ รอผมขนของไปแช่น้ำไว้ก่อนนะครับ เราซื้อปลา หมู แล้วก็ผักมาเพิ่มด้วย ไม่รู้ว่าแม่จะทำอาหารอะไรวันพรุ่งนี้น่ะครับ พวกเราเลยซื้อมาเผื่อเอาไว้ก่อน”
“อ้อ แม่ก็ลืมบอกพวกลูกไปว่าจะทำอาหารอะไรขึ้นโต๊ะบ้าง รอหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จค่อยมาคุยกันว่าจะทำอาหารอะไรบ้างนะลูก” หลิวเอ้อหลิงเองก็เพิ่งนึกเรื่องนี้ออกเช่นกัน เธอลืมไปเลยว่าอาหารมงคลต้องเตรียมให้ครบถ้วน
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินรับคำพร้อมกับ จากนั้นสองคนก็ช่วยกันขนวัตถุดิบไปเก็บไว้บ่อน้ำหลังบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อล้างไม้ล้างมือเสร็จ พวกเขาก็เข้าบ้านไปนั่งกินมื้อเที่ยงร่วมกับพ่อแม่ฉาง
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ