ฉางเล่ยเขินอายไม่น้อยเมื่อต้องพาผู้หญิงในอ้อมแขนเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาซึ่งไม่มีสิ่งของมีค่าเลย ฉางเล่ยวางซูเมี่ยวจินลงบนเตียงที่มีฟูกนอนเก่า ๆ และผ้าห่มผืนบางอย่างระมัดระวัง
“คุณรอแม่ผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปเตรียมอาหารกับพ่อแล้วจะเอาเข้ามาให้”
“ขอบคุณมากค่ะ ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว ฉันเกรงใจจริง ๆ”
“ไม่เป็นไรครับ เห็นคนลำบากแล้วไม่ช่วย พวกผมคงรู้สึกไม่ดีนัก”
ฉางเล่ยกล่าวจบก็เดินเกาหัวอย่างอาย ๆ กลับออกไปจากห้องพัก เขามองสภาพห้องของตัวเองแล้วก็อดที่จะเขินอายไม่ได้
[เจ้านาย ท่านเห็นแล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าจึงอยากให้ท่านรีบแต่งงานกับเขา]
[นายยังจะพูดมากอีก ฉันเห็นแล้วน่า อย่าเร่งรีบนักเลย รอดูท่าทีพวกเขาก่อน]
[ครับ ๆ ผมจะไม่รบกวนเจ้านาย]
ซูเมี่ยวจินนั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฉางเล่ยขอเธอแต่งงานดี ขณะที่กำลังคิดไปได้ไม่นาน เสียงประตูห้องก็เปิดออกพร้อมเสียงของแม่ฉางเล่ยดังเข้ามา
“คุณหนู บ้านป้ามีแต่เสื้อผ้าเก่าของลูกสาว คุณหนูพอจะใส่ได้หรือเปล่าคะ”
“คุณป้าเลิกเรียกหนูว่าคุณหนูเถอะค่ะ เรียกเมี่ยวจินสะดวกกว่า ส่วนเสื้อผ้าพวกนี้หนูใส่ได้ค่ะ คุณป้าไม่ต้องคิดมากนะคะ” ซูเมี่ยวจินรู้สึกแปลก ๆ ที่มีคนเรียกเธอว่าคุณหนูแบบนี้ เธอจึงให้หลิวเอ้อหลิงเปลี่ยนคำเรียกให้สนิทสนมยิ่งขึ้น
“อ่า… ได้จ๊ะเมี่ยวจิน ขอบใจมากนะที่ไม่รังเกียจบ้านจน ๆ ของเรา”
“คุณป้าอย่าพูดแบบนี้เลยนะคะ หนูต่างหากที่ต้องขอบคุณฉางเล่ยที่ช่วยชีวิต”
เสียงพูดคุยของทั้งสองดังออกไปถึงด้านนอกไม่นานนัก ก่อนที่หลิวเอ้อหลิงจะออกไปจากห้องและปิดประตูเพื่อให้ซูเมี่ยวจินเปลี่ยนเสื้อผ้า
ซูเมี่ยวจินมองเสื้อผ้าในมือซึ่งเป็นชุดเดรสยาวเลยเข่าขึ้นมานิดหน่อย คาดว่าเจ้าของชุดน่าจะตัวเล็กกว่าเธอมาก ถึงแม้เสื้อผ้าจะดูสีซีดจางไปสักหน่อย แต่ก็สะอาดสะอ้านดี เธอจึงถอดแจ็คเก็ตหนังออก พร้อมกับถอดเสื้อกล้ามและกางเกงหนังขายาวที่ใส่อยู่ออกจนหมด เมื่อมองชุดชั้นในของเด็กสาวที่มีขนาดไม่เท่ากับหน้าอกของตัวเอง ซูเมี่ยวจินก็ได้แต่ต้องถอนหายใจอย่างปลง ๆ เธอคงต้องสวมชุดชั้นในตัวเดิมของตัวเองต่อไป ดีกว่าที่จะต้องทนอึดอัดใส่ชุดชั้นในตัวเล็กในมือตอนนี้ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาเปลี่ยนชุดไม่นานก็เสร็จ ร่างกายที่เพิ่งถูกรักษาของเธอเริ่มดีขึ้นมากแล้ว หลังจากได้พักมาหลายชั่วโมงตั้งแต่ลงเขา นับว่าระบบนี่มีประโยชน์ไม่น้อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงของเด็กผู้หญิงด้านนอกดังเข้ามาในห้องที่ซูเมี่ยวจินกำลังนั่งพักอยู่ เธอฟังดูแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นน้องสาวของฉางเล่ยที่เพิ่งอายุ 18 ปี ซึ่งเขาเคยเล่าให้ฟัง น้ำเสียงร่าเริงสดใสของเด็กคนนี้ทำให้ซูเมี่ยวจินได้แต่อมยิ้ม ถึงแม้ครอบครัวนี้จะยากจน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอบอุ่นอย่างที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต
ฉางเล่ยเล่าให้เธอฟังระหว่างทางว่าแม่ของเขามีลูกหลงตอนที่เขาอายุ 11 ปีไปแล้ว ตอนนั้นหมอยังไม่อยากให้แม่คลอดน้องสาวเพราะกลัวอันตราย แต่แม่ของเขาไม่ยินดีทำแท้ง อย่างไรก็เป็นลูกของครอบครัวฉาง พ่อกับเขาจึงคอยดูแลแม่เป็นอย่างดีจนกระทั่งคลอดฉางเซียวจูออกมาได้ โชคดีที่หมอบอกว่าร่างกายของแม่เขาและน้องสาวแข็งแรงดี ครอบครัวฉางจึงมีสมาชิกตัวน้อยเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง
ฉางเล่ยในวัย 11 ปีคอยดูแลแม่และน้องสาวเป็นอย่างดี เขาขยันทำงานแลกแต้มเพื่อรับส่วนแบ่งอาหารมาให้แม่กับน้องได้กินอิ่ม นอนหลับ เมื่อน้องสาวของเขารู้ความ เธอก็ไปช่วยพี่ชายทำงานแลกแต้มด้วยเช่นกัน จนกระทั่งอายุ 7 ขวบ ฉางเล่ยที่ไม่ได้เรียนหนังสืออยากให้น้องสาวมีอนาคตที่ดี เขาจึงบอกพ่อแม่ให้ใช้เงินเก็บของบ้านส่งน้องเข้าเรียนชั้นประถม และเขาเริ่มออกไปล่าสัตว์บนภูเขาตั้งแต่นั้นมาเพื่อหาเสบียงอาหาร รวมทั้งยังสามารถนำเหยื่อไปขายในเมืองได้ด้วย
“แม่คะ ป้าฟางที่หน้าหมู่บ้านบอกว่าพี่ชายพาพี่สะใภ้กลับมา นี่เรื่องจริงหรือเปล่า”
“เด็กคนนี้นี่ อย่าเสียงดังไป พี่สาวเมี่ยวจินไม่ใช่พี่สะใภ้ของลูก พี่ชายลูกแค่ช่วยเธอที่กำลังบาดเจ็บลงมาจากภูเขาเท่านั้น”
“โธ่ หนูก็นึกว่าพี่ชายจะมีพี่สะใภ้ให้บ้านเราสักที แม่อย่าลืมนะว่าพี่ชายอายุจะ 30 แล้วนะคะ ถ้ารอต่อไป เมื่อไหร่พวกเราจะได้อุ้มหลานกันล่ะคะแม่” เสียงใส ๆ ของฉางเซียวจูทำเอาซูเมี่ยวจินที่ได้ยินถึงกับอ้าปากหวอ เธอไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะแก่แดดถึงขนาดคิดไปไกลเสียแบบนี้
“อย่าพูดมากน่า รีบเอากระเป๋าไปเก็บแล้วล้างมือให้เรียบร้อย อาหารใกล้เสร็จแล้วจะได้รีบกินแล้วไปทำการบ้านเสีย ปีหน้าลูกก็จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องตั้งใจอ่านหนังสือให้ดีรู้หรือเปล่า อย่าทำให้พี่ชายเธอต้องผิดหวังเด็ดขาด” หลิวเอ้อหลิงรีบขัดเรื่องเพ้อเจ้อของลูกสาวคนเดียวเอาไว้ก่อน แม้ว่าในใจของเธอเองก็อยากให้ซูเมี่ยวจินเป็นลูกสะใภ้บ้านเธอตามที่ลูกสาวบอกก็ตามที แต่พวกเธอจะไม่บีบบังคับคนให้ตอบแทนด้วยชีวิตทั้งชีวิต จนเธอต้องมาลำบากกับครอบครัวฉาง
“รู้แล้วค่ะแม่ หนูไปเดี๋ยวนี้แหละ” ฉางเซียงจูไม่กล้าพูดมากอีก เธอรู้ดีว่าทั้งครอบครัวคาดหวังในตัวเธอสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเอาไว้มาก พวกเขายอมที่จะอดออมเพื่อส่งเธอเรียนมาตลอดหลายปี เธอจึงต้องตั้งใจเรียนและอ่านหนังสือมาตลอด ความฝันของเธอคือการทำให้ครอบครัวสุขสบายไม่ต่างจากพี่ชาย ถ้าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ อนาคตเธอจะได้มีงานดี ๆ ทำ และเลี้ยงดูครอบครัวให้ดีกว่าที่เป็นอยู่
“แม่ครับ ผมเอาอาหารเข้าไปให้คุณซูก่อนนะครับ” ฉางเล่ยถือถาดอาหารที่เพิ่งทำเสร็จออกมาจากห้องครัว
“ไปเถอะลูก ดูแลเธอให้ดีด้วยล่ะ แล้วลูกค่อยออกมากินข้าว”
“ครับแม่ ผมขอตัวก่อนนะครับ” ฉางเล่ยยิ้มบางตอบกลับแม่ของเขา
หลิวเอ้อหลิงมองตามหลังลูกชายผู้ใสซื่ออย่างปลง ๆ เธออยากให้ลูกชายมีผู้หญิงคอยดูแลในอนาคตและมีทายาทให้ครอบครัวสักคนสองคน แต่ยากนักที่ลูกชายของเธอจะสนใจผู้หญิง ในเมื่อน้องสาวของเขายังคงเรียนหนังสืออยู่ เขากลัวว่าหากมีคนเพิ่มเข้ามาในบ้าน จะทำให้เงินที่เก็บออมให้น้องสาวร่อยหรอไปเพราะเรื่องการแต่งงานของเขา
ซูเมี่ยวจินได้ยินเสียงสองแม่ลูกคุยกัน เธอจึงยืดตัวขึ้นนั่งดี ๆ รอดูว่าอาหารมื้อนี้จะเป็นอะไรบ้าง ซูเมี่ยวจินไม่รู้ว่าเธอสลบไปนานแค่ไหน เพียงแต่ร่างกายของเธอรู้สึกว่าขาดอาหารมานานและหิวมาก
“อาหารพื้นบ้าน หวังว่าคุณซูจะกินได้นะครับ” ฉางเล่ยเข้ามาในห้องและวางถาดอาหารเอาไว้ข้างตัวของซูเมี่ยวจิน
“ฉันกินได้ทุกอย่างค่ะ ขอบคุณมากที่พวกคุณแบ่งอาหารให้นะคะ” ซูเมี่ยวจินกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเห็นอาหารสองอย่างและข้าวสวยร้อน ๆ
“เสื้อผ้าของคุณ ผมจะเอาไปซักให้นะครับ คุณกินข้าวเองได้หรือเปล่า”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ กินเสร็จแล้วฉันจะเอาไปล้างให้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ คุณวางเอาไว้ที่นี่เถอะ ร่างกายคุณยังไม่หายดี เรื่องพวกนี้ผมจะจัดการให้เองครับ คุณรีบกินแล้วพักผ่อนต่อเถอะ” ฉางเล่ยหยิบเสื้อผ้าแปลก ๆ ของซูเมี่ยวจินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ซูเมี่ยวจินมองแผ่นหลังของฉางเล่ยด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอไม่เคยถูกผู้ชายคนไหนดูแลดีขนาดนี้มาก่อน ขณะที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ เสียงท้องน้อย ๆ ของซูเมี่ยวจินก็ร้องประท้วงขึ้นทันทีทันใด เธอหันมองถาดอาหารข้างตัวแล้วก็รีบยกถ้วยข้าวสวยขึ้นมาตักอาหารใส่และกินอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า
เสียงสนทนาเบา ๆ ของครอบครัวฉางดังเข้ามาในห้อง พวกเขากำลังพูดคุยกันเรื่องการดูแลแขกของบ้านอย่างจริงจัง ซูเมี่ยวจินซึ่งกำลังกินข้าวอยู่ต้องคิดหาวิธีการเพื่อทำให้ครอบครัวฉางยอมรับเธอเป็นสะใภ้ในอนาคตให้ได้ ไม่อย่างนั้นระบบบ้านี่จะต้องทำให้เธอมีปัญหาในยุคข้าวยากหมากแพงเป็นแน่
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ