LOGINก่อนไปร้านอาหาร พวกเขาพากันนำนาฬิกาที่ซื้อมาไปเก็บไว้ที่รถก่อน จะได้ไม่ต้องพากันถือของพะรุงพะรังนัก ซูเมี่ยวจินคิดว่านาฬิกาสามสิบกว่าเรือนที่ซื้อมาก็น่าจะพอขายระหว่างที่สามีเธอเตรียมชั้นวางเครื่องใช้ไฟฟ้า
“เมี่ยวจินอยากได้อะไรไปตกแต่งที่ร้านเพิ่มเหรอลูก” หลิวเอ้อหลิงถามขึ้นเมื่อพวกเขานั่งลงในร้านอาหารร้านหนึ่ง
“อืม… หนูคิดว่าร้านเราน่าจะมีดอกไม้หรือไม้มงคลวางเอาไว้สักหลายกระถางน่าจะดีนะคะ พ่อกับแม่คิดว่ายังไงคะ” ซูเมี่ยวจินไม่อยากให้ร้านของครอบครัวดูจืดชืดเกินไปจึงอยากตกแต่งให้มีสีสรรขึ้นมาบ้าง
“ความคิดไม่เลว พ่อเคยเห็นคนค้าขายเขาปลูกต้นไม้มงคลกันไม่น้อยเลยนะ เมื่อครู่ที่ร้านนาฬิกาที่พวกพ่อไปก็มีอยู่สองต้นเหมือนกัน” ฉางชิงหยูเล่า
“สามี คุณอย่าลืมเตือนให้ฉันซื้อเครื่องคิดเลขด้วยนะคะ เวลาพ่อกับแม่คิดเงินจะได้ไม่เหนื่อย แล้วเรายังต้องซื้อกระดาษแข็งไปเขียนราคานาฬิกาติดไว้ด้วย ไม่อย่างนั้นคงลืมราคากันแน่ ๆ” ซูเมี่ยวจินบอกฉางเล่ย เธอกลัวว่าตัวเองจะมัวแต่ดูของอย่างอื่นจนลืมสิ่งสำคัญสำหรับติดสินค้าและค้าขายไปเสียก่อน
“ตกลงครับ ถ้าผ่านร้านเครื่องเขียนเราก็เข้าไปดูกันนะครับ ยังไงคุณก็ต้องทำบัญชีร้านด้วยหรือเปล่าภรรยา” ฉางเล่ยนึกได้ว่าพวกเขาไม่มีใครทำบัญชีเป็นจึงบอกเธอ
“อ่า… จริงด้วยค่ะ ขอบคุณที่เตือนฉันนะคะ ฉันต้องซื้อสมุดบัญชีมาลงราคาต้นทุนเอาไว้และค่าตกแต่งร้านด้วย เราจะได้รู้ว่าการค้าของเรามีกำไรหรือขาดทุน”
พนักงานนำอาหารมาส่งที่โต๊ะพวกเขาพอดี ทั้งสี่คนจึงหยุดคุยเรื่องร้านค้าเอาไว้ก่อน อย่างไรบ่ายนี้พวกเขายังต้องเดินซื้อสิ่งของจำเป็นสำหรับใช้ในร้านอีกหลายอย่าง หากว่ามัวแต่ชักช้าก็กลัวว่าจะกลับถึงร้านเย็นเกินไปจนไม่มีเวลาขนของเข้าไปไว้ในร้าน
หลังกินข้าวเที่ยง ทุกคนต่างเดินไปที่ร้านขายเครื่องเขียนพร้อมกัน พ่อแม่ฉางยังเลือกสมุดและปากกาไปฝากฉางเซียงจูด้วยหลายอัน เพราะราคาของที่ร้านนี้ถูกกว่าในอำเภอมากเลยทีเดียว ซูเมี่ยวจินก็หาของจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับเปิดร้านค้าหลายอย่างเช่นกัน เธอมีฉางเล่ยคอยเตือนว่าต้องซื้ออะไรบ้าง
พวกเขาอยู่ในร้านนานถึงครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะพากันถือถุงคนละไม้คนละมือเดินหาร้านต้นไม้ที่ถามมาจากเจ้าของร้านเครื่องเขียนก่อนหน้านี้ กว่าที่ทุกคนจะไปถึงหน้าร้านต้นไม้ก็เกือบ 20 นาทีเลยทีเดียว เพราะร้านต้นไม้อยู่ห่างจากกลางตลาดค้าส่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาเดินนานขนาดนี้
“พ่อแม่ ถ้าเหนื่อยก็บอกพวกเรานะคะ เราจะได้หาที่ให้นั่งพักกันก่อน” ซูเมี่ยวจินบอกเมื่อเห็นว่าพ่อแม่ฉางกำลังเช็ดเหงื่อจากอากาศที่ร้อน
“พ่อกับแม่ไม่เหนื่อยหรอกลูก ทำงานในไร่เหนื่อยยิ่งกว่านี้อีก” ฉางชิงหยูยิ้มตอบ
“ใช่แล้วล่ะ เมี่ยวจินไม่ต้องกังวลมากเกินไป เรารีบไปเลือกต้นไม้กันเถอะ นี่ยังมีอะไรต้องซื้ออีกหรือเปล่า อาเล่ย กี่โมงแล้วลูก” หลิวเอ้อหลิงกล่าว
“ใกล้บ่ายสามโมงแล้วครับ” ฉางเล่ยไม่คิดว่าพวกเขาจะใช้เวลานานขนาดนี้หลังกินข้าวเที่ยงก่อนหน้านี้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ ไม่อย่างนั้นจะกลับถึงร้านช้าเกินไป แม่ไม่รู้ว่าเซียงจูจะไปถึงร้านก่อนเราหรือเปล่าน่ะสิ” หลิวเอ้อหลิงเป็นห่วงลูกสาว
“ตกลงค่ะ พวกเราช่วยกันเลือกคนละต้นนะคะ จะได้ให้คนขนไปที่รถแล้วกลับกันเลย ป่านนี้น้องสาวน่าจะใกล้เลิกเรียนแล้ว” ซูเมี่ยวจินนึกได้ว่านัดกับฉางเซียงจูเอาไว้ เธอจึงกลัวน้องสาวจะรอนาน
ฉางชิงหยู หลิวเอ้อหลิงและฉางเล่ยพยักหน้ารับคำซูเมี่ยวจิน พวกเขาเดินดูต้นไม้กันไม่นานก็เลือกมาได้คนละหนึ่งกระถาง ซูเมี่ยวจินรีบให้คนในร้านนำไปคิดเงิน เพราะเธออยากรีบกลับร้านแล้ว
ราคาต้นไม้ที่พวกเขาเลือกทั้งหมดไม่ถึง 100 หยวน เพราะต้นไม้พวกนี้เป็นเพียงต้นที่เพิ่งเพาะมาได้ไม่กี่เดือน ทำให้ราคาถูกมากและขนาดไม่ใหญ่เกินไป พวกเขาจึงช่วยกันถือถุงกระถางต้นไม้กลับไปที่รถด้วยกัน แทนที่จะให้คนที่ร้านนำไปส่งให้เสียเวลากันไปมา
“สามี กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินถามขณะที่กำลังจะขับรถออกจากตลาดค้าส่ง
“บ่ายสามครึ่งแล้วครับ” ฉางเล่ยหันไปบอกภรรยา
“ฉันจะขับเร็วสักหน่อยนะคะ จะได้ไปถึงร้านก่อนน้องสาว”
“ครับ ขับระวังด้วยนะครับ” ฉางเล่ยอดจะเอ่ยเตือนไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถมากนัก เราคงจะช้าตอนเข้าอำเภอมากกว่า เพราะเป็นเวลาเลิกเรียนของเด็ก ๆ ในอำเภอ” ซูเมี่ยวจินคาดเดาเหตุการณ์ในอำเภอเอาไว้ล่วงหน้า ขนาดเมื่อเช้านี้คนยังไปมาขวักไขว่เต็มไปหมด ตอนเย็นก็ต้องไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
“นั่นสินะครับ แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงเซียงจูมากหรอกนะครับ น้องรู้ดีว่าถ้าไม่เห็นพวกเรา เธอก็คงนั่งรอที่หน้าร้านนั่นแหละ” ฉางเล่ยไม่อยากให้ภรรยากังวล
ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำสามี เธอขับเร็วกว่าทุกครั้งที่มามณฑล อย่างไรในยุคนี้ก็ไม่ได้มีรถติดเหมือนยุคที่เธอจากมา การขับขี่ก็ไม่มีการกวดขันมากนัก เธอจึงไม่กลัวว่าจะถูกทางการจับระหว่างขับรถ
“สามี พรุ่งนี้เราเข้าอำเภอพร้อมพ่อกับแม่แล้วจัดร้านกันให้ท่านก่อนดีไหม ถ้าจัดร้านเสร็จเร็ว เราสองคนไปทำใบขับขี่กันนะคะ” ซูเมี่ยวจินที่ตอนนี้มีเอกสารของรถคันนี้ในมือแล้วรีบบอกสามีก่อนที่จะยุ่งจนลืมไปอีก
“ตกลงครับ พวกเราช่วยกันจัดร้าน ไม่นานน่าจะเสร็จ ยังไงก็ยังไม่ได้ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามาอยู่แล้ว แค่นาฬิกาอย่างเดียว คงไม่มีปัญหา” ฉางเล่ยบอก
ซูเมี่ยวจินใช้เวลาเพียง 38 นาทีก็มาถึงตัวอำเภอเจิ้งไห่ และก็จริงอย่างที่เธอคาดการณ์ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากทั้งปั่นจักรยานและเดินกันเต็มไปหมด ยังดีที่พวกเขาเหล่านั้นกลัวชนถูกรถยนต์ซึ่งไม่ค่อยจะมีในอำเภอมากนัก ส่วนใหญ่ที่มีก็มักจะเป็นเพียงสามล้อแบบเก่าเท่านั้น พวกเขาจึงพากันออกห่างจากรถเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียเงินโดยไม่จำเป็นหากไปขูดขีดกับรถราคาแพงเข้า
ฉางเซียงจูมาถึงหน้าร้านได้สักพักแล้ว เมื่อเห็นว่าไม่มีรถยนต์ของบ้านจอดอยู่ เธอก็รู้แล้วว่าครอบครัวของเธอน่าจะยังไม่กลับมาจากเมืองมณฑล ฉางเซียงจูจึงจอดจักรยานแล้วนำหนังสือออกมานั่งอ่านรอที่หน้าร้าน
ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างสงสัยว่าเด็กคนนี้ทำไมมาอยู่หน้าร้านค้าแห่งนี้ เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าเข้าไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น ถึงแม้เมื่อเช้าจะมีรถยนต์และคนเข้าไปในร้านก็ตามที พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะไปละลาบละล้วงเรื่องเจ้าของร้านค้าที่ใหญ่โตแบบนี้ ในอำเภอใช่ว่าจะมีคนรวยมากนัก ถ้าหากเจอคนไม่ดีเข้าแล้วหาเรื่องพวกเขาที่เป็นแค่คนงานคงแย่แน่
15 นาทีต่อมา รถยนต์ของซูเมี่ยวจินก็จอดท้ายรถจักรยานของฉางเซียงจู พ่อแม่ฉางรีบลงจากหลังรถและเดินไปหาลูกสาวที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ทันที
“เซียงจูรอนานหรือเปล่าลูก พ่อกับแม่ขอโทษนะที่มาช้าไปหน่อย” หลิวเอ้อหลิงลูบหัวลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ พ่อแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ มีอะไรให้หนูช่วยยกเข้าไปในร้านบ้างหรือเปล่าคะ” ฉางเซียงจูลุกขึ้นเอาหนังสือใส่กระเป๋าและวางไว้ตะกร้าหน้ารถจักรยานของเธอ
“พ่อกับแม่ซื้อสมุดกับปากกามาให้ลูกเยอะแยะเลย ราคาของที่มณฑลถูกมากจริง ๆ”
สามพ่อแม่ลูกคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะไปช่วยกันยกตู้กระจกลงมาจากหลังรถเมื่อเห็นว่าฉางเล่ยเปิดประตูร้านออกกว้างแล้ว
“ว้าว! ตู้กระจกสวยจังเลยค่ะ” ฉางเซียงจูที่เพิ่งเห็นตู้กระจกสามชั้นอันใหม่พูดขึ้น
“ฮ่า ฮ่า นี่พี่สะใภ้ของลูกเลือกเองเลยนะ สวยใช่ไหมล่ะ” ฉางชิงหยูอดจะชมสะใภ้ขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ พวกเขาเป็นแค่ชาวบ้านจึงไม่รู้ว่าแบบไหนสวยหรือไม่สวย
“ฉันขอขายในราคาสองแสนสองหมื่นหยวนได้ไหมคะ หรือว่าคุณมีเงินไม่พอ”“อ่า… ตกลงครับ เพียงแต่รบกวนพวกคุณรอผมที่ร้านสักพักนะครับ ผมต้องไปถอนเงินจากธนาคารเพื่อนำมาซื้อเห็ดของคุณก่อน” เจ้าของร้านตัดสินใจยอมรับข้อตกลง ในเมื่อเขามีเห็ดดอกนี้แล้ว กำไรที่จะได้รับหลังจากนี้ก็นับว่ามากพอให้เขาอยู่ได้อย่างสบายไปอีกหลายปี“ตกลงค่ะ พวกเราจะรอคุณที่นี่ อ้อ! คุณต้องการพิษงูหรือเปล่าคะ ครั้งนี้เราได้งูมามากกว่าหนึ่งร้อยตัว ระหว่างที่รอจะได้รีดพิษออกมาไว้ให้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่อยากรออยู่เฉย ๆ เธอนึกเรื่องพิษงูขึ้นมาได้พอดี“โอ้! ขอบคุณมากครับ ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรอสักครู่ ผมจะไปเอาตลับรีดพิษมาให้”เจ้าของร้านรีบเดินเข้าไปด้านใน โชคดีที่ครั้งก่อนเขาซื้อตลับมาเพิ่ม ไม่อย่างนั้นพิษงูมากมายขนาดนี้ เขาคงเสียไปเปล่า ๆ แล้วฉางเล่ยรับถุงตลับรีดพิษมาถือไว้ จากนั้นเจ้าของร้านก็ขอตัวออกไปโดยกลับด้านป้ายห
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินไปถึงบ้านเก่าในเวลาเพียงสิบนาที ตอนนี้บ้านอื่นยังไม่มีใครตื่นขึ้นมาเลย ทำให้พวกเขารีบนำรถเข้าไปจอดในบ้านและสะพายตะกร้าเดินขึ้นเขาไปในทันที โดยมีฉางเล่ยคอยส่องไฟฉายให้กับซูเมี่ยวจินที่เดินข้างกันครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองที่เร่งรีบขึ้นเขาก็ไปถึงทางเข้าป่างูพิษ ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง ฉางเล่ยจึงบอกให้ภรรยาอย่าเดินห่างจากเขา เพราะกลัวว่างูพิษจะพุ่งเข้ามาทำร้ายเธออย่างไม่คาดคิด“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณก็ระวังตัวด้วย ฉันมีหน้าไม้อยู่ คุณอย่ากังวลเลย” ซูเมี่ยวจินเองก็เป็นห่วงฉางเล่ยที่มือหนึ่งถือไฟฉาย อีกมือถือมีดเพื่อเอาไว้จัดการเหล่างูพิษในป่า“ตกลงครับ ผมจะระวัง” ฉางเล่ยรับคำภรรยาและค่อย ๆ เดินเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบ เขารู้ดีว่าป่านี้อันตรายมากแค่ไหนซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยฆ่างูไปจำนวนมากไม่ต่างจากครั้งแรกที่มา ยิ่งตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างด้วยแล้ว เหล่างูพิษกลับมีจำนวนมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว ยังดีที่ทั้งสองคนมีสัญชาตญาณในการต่อสู้
ฉางเล่ยพาซูเมี่ยวจินกลับมาถึงร้านในเวลาไม่นาน พ่อกับแม่ที่อยู่หน้าร้านได้ยินเสียงรถลูก ๆ มาถึงก็พากันเดินไปหาที่หลังร้าน ดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้า พวกเขาจึงเข้าไปสอบถามเรื่องการสอบใบขับขี่พร้อมรอยยิ้ม“ไปสอบมาเป็นยังไงกันบ้างลูก” หลิวเอ้อหลิงถาม“พวกเราได้ใบขับขี่มาแล้วค่ะแม่ พ่อกับแม่กินข้าวเที่ยงหรือยังคะ” ซูเมี่ยวจินตอบ“กินแล้วจ๊ะ พวกลูกกินข้าวกันเถอะ พ่อกับแม่จะไปเฝ้าหน้าร้านต่อ”“ใช่ ๆ รีบกินข้าวก่อนเถอะลูก เหนื่อยกันมาทั้งเช้าแล้ว” ฉางชิงหยูกล่าวเสริม“ได้ค่ะ/ครับ” ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยรับคำพร้อมกันฉางชิงหยูชวนภรรยากลับไปดูแลหน้าร้านต่อ ส่วนฉางเล่ยก็ตักอาหารใส่จานให้ซูเมี่ยวจินเหมือนกับทุกวัน“สามี ฉันอยากไปเมืองชายแดนเพื่อพนันหินค่ะ” ซูเมี่ยวจินที่รำคาญการรบเร้าของระบบเอ่ยบอกฉางเล่ย
“สวัสดีค่ะ รบกวนสอบถามเรื่องขั้นตอนการทำใบขับขี่หน่อยค่ะ” ซูเมี่ยวจินเดินเข้าไปสอบถามประชาสัมพันธ์ที่นั่งอยู่ด้านหน้า“คุณไปติดต่อเจ้าหน้าที่ช่องหนึ่งได้เลยค่ะ อย่าลืมนำบัตรประจำตัวส่งให้เจ้าหน้าที่ด้วยนะคะ เขาจะได้เตรียมเอกสารการสอบให้พวกคุณ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์บอก“ขอบคุณมากค่ะ” ซูเมี่ยวจินที่ยังไม่ปล่อยมือสามี เธอพาเขาไปยังช่องหนึ่งที่มีป้ายเขียนเอาไว้แล้วนำบัตรประจำตัวของเธอกับฉางเล่ยส่งให้เจ้าหน้าที่“พวกคุณมาจากหน่วยงานไหนครับ” เจ้าหน้าที่ดูบัตรประจำตัวแล้วสอบถามเพื่อใส่ข้อมูลลงในเอกสารการทำใบขับขี่“พวกเราไม่ได้ทำงานในหน่วยงานค่ะ แต่เปิดร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าตรงข้ามโรงงานจึงต้องใช้รถยนต์ในการไปซื้อสินค้ากลับมาขายที่ร้านค่ะ” ซูเมี่ยวจินบอกตามตรง“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นพวกคุณรอกันสักครู่นะครับ ระหว่างที่ผมกำลังลงทะเบียนให้ พวกคุณไปอ่านป้ายด้านโน้นได้เลยนะครับ
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินช่วยกันยกของลงจากท้ายรถยนต์เข้าไปในร้าน พวกเขายังต้องติดชื่อเจ้าของสินค้าแต่ละอย่างเพื่อไม่ให้สับสนเวลาที่ลูกค้ามารับของและจ่ายเงินส่วนที่เหลือด้วย ทั้งสองจึงเร่งขนของลงให้หมดซูเมี่ยวจินส่งถุงนาฬิกาให้แม่สามีนำไปวางบนชั้นวางเพิ่ม เธอบอกราคาต้นทุนให้หลิวเอ้อหลิงแล้วและราคาขายยังคงขายที่ราคา 60 หยวนเท่าเดิม“ขอบใจมากนะลูก แม่จะรีบเอาใส่ตู้ไว้แล้วจะไปช่วยเตรียมของให้ลูกค้ากับลูกนะ”“ไม่เป็นไรค่ะแม่ แม่ดูร้านเถอะค่ะ อีกสักครู่เด็ก ๆ คงเลิกเรียนแล้ว หนูมีฉางเล่ยคอยช่วยอยู่ค่ะ” ซูเมี่ยวจินบอกแม่สามี“ตกลงจ๊ะ แม่จะไปดูหน้าร้านก็แล้วกัน” หลิวเอ้อหลิงบอกลูกสะใภ้แล้วเดินไปที่ตู้ขายนาฬิกาด้านหน้าร้านซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำแม่สามี เธอกับฉางเล่ยวางของที่เหลือจากลูกค้าสั่งบนชั้นวางอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงพากันมานั่งแยกของและเขียนชื่อลูกค้าติดไว้กับถุงใส่สินค้าที่จะมอบให้ลูกค้าแต่ละ
เมื่อพวกเขาไปถึงตลาดค้าส่ง ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยก็ตรงไปที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและซื้อของตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ฉางเล่ยพาคนของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเอาของไปเก็บที่รถก่อน ส่วนซูเมี่ยวจินตรงไปที่ร้านขายนาฬิกาเพื่อซื้อของไปเพิ่มให้แม่ฉางฉางเล่ยหลังจากดูคนของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านำสิ่งของขึ้นรถหมดแล้ว เขาก็เดินไปหาซูเมี่ยวจินที่ร้านนาฬิกาตามที่เธอบอกเอาไว้ พอดีกับที่ซูเมี่ยวจินกำลังจ่ายเงินค่านาฬิกาอยู่พอดี ฉางเล่ยจึงรับถุงสินค้าทั้งหมดมาถือไว้เอง“เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ไปที่ที่ว่าการเพื่อทำใบขับขี่ต่อ” ซูเมี่ยวจินบอกฉางเล่ยระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกจากร้านนาฬิกา“ตกลงครับ เอาตามที่คุณว่าก็ได้” ฉางเล่ยไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่ซูเมี่ยวจินต้องการทำทั้งคู่ไปที่ร้านบะหมี่ไม่ไกลนักเพื่อความรวดเร็ว เมื่อเช้าพวกเขากินข้าวกันมาแล้วทำให้ไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่“ภรรยา คุณคิดว่าการสอบใบขับขี






