แต่ทุกอย่างที่เธอเห็น… ทุกอย่างที่เธอได้กลิ่น… ไม่ใช่ของเธอ
"มันควรเป็นฉัน…ลูกสาวหัวหน้าสมาคมชาวประมงกับลูกชายไต้ก๋ง คนทั้งหมู่บ้านก็รู้ว่าเหมาะกันที่สุด! แล้วผู้หญิงหน้าโง่อย่างหล่อน มีอะไรดีไปกว่าฉันบ้าง? ควรเป็นฉันที่ได้นั่งอยู่ข้างเขา"
เธอกัดฟันแน่น น้ำเสียงในลำคอกลายเป็นเงาตะคอกที่ไม่สามารถเปล่งออกมาดัง ๆ ได้
"แกรอก่อนเถอะนังเสี่ยวหนาน…ฉันต้องแย่งพี่สือซานกลับมาให้ได้ ต่อให้ต้องใช้วิธีไหนฉันก็จะเอาพี่สือซานกลับมาเป็นของฉันให้ได้"
มืออีกข้างหนึ่งกำพัดไม้ไผ่แน่นจนปลายพัดแหลมจิกบาดฝ่ามือ แต่เธอกลับแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างเยือกเย็นราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวด
"วันหนึ่งเขาก็ต้องคุกเข่าลง ตราบใดที่ยังหากินจากท้องทะเล เขาก็ต้องอยู่ใต้อำนาจของพ่อฉัน… แล้วตอนนั้นแหละ ฉันจะเป็นคนยื่นเงื่อนไขให้เขาทิ้งแก..นังเสี่ยวหนาน"
ไป๋ลี่เหยาหันหลังเดินกลับออกไป เธอเลือกที่จะใช้อำนาจของผู้เป็นพ่อเพื่อกดขี่บังคับให้อีกฝ่ายยอมจำนน และทำตามความต้องการของเธอ
จากนางเอกของเรื่องค่อย ๆ ใช้วิธีสกปรกเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เธอไม่รู้เลยว่าการกระทำเหล่านี้มันจะค่อย ๆ หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นตัวร้ายในที่สุด
วันต่อมา
วันนี้เสี่ยวหนานตื่นแต่เช้าเอาปลาที่เหลือเมื่อวานมาทำเป็นปลานึ่งซีอิ๊วเห็ดหอมและกับข้าวอีกสองอย่าง หลังจากกินข้าวล้างจานเสร็จแล้วเธอกว่าจะออกไปที่ร้านอีกสักครั้ง จึงห่ออาหารไปให้บ้านเดิมด้วย เธอใช้เวลาคุยธุระกับครอบครัวไม่นานก็กลับออกมา
พอออกจากบ้านซูมาที่จักรยานเธอไม่ทันได้ระวัง เสียงฝีเท้าเร่งร้อนจากด้านหลังก็ทำให้เธอต้องชะงัก แล้วพลิกตัวกลับไปมอง เงาร่างหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดกับกางเกงผ้าฝ้ายสีกรมเดินเข้ามาใกล้
"เสี่ยวหนาน...เป็นเธอจริง ๆ ด้วย"
เสียงคุ้นหูนั้นทำให้ดวงตาเธอเบิกกว้าง หัวใจเต้นสะท้านวูบหนึ่งก่อนจะเย็นชาในวินาทีต่อมา
"หานเจา?"
ชายหนุ่มยิ้มกว้าง สายตาคุ้นเคยของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ถึงแม่กับน้องสาวจะบอกว่าเธอเปลี่ยนไป แต่เขายังมั่นใจในตัวเอง เพียงเขาพูดไม่กี่คำเธอก็ต้องมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาแน่นอน
"ไม่เจอกันนาน เธอดูดีขึ้นนะ ฉันกลับมาจัดการเรื่องทะเบียนบ้าน แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเธอกลางทางแบบนี้ สวรรค์...ช่างเป็นใจจริง ๆ"
เสี่ยวหนานขยับตะกร้าขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงไร้แววหวั่นไหว
"เป็นใจกับผีสิ! ยิ่งเห็นยิ่งเหม็นขี้หน้า ไสหัวไปให้พ้นทาง ฉันจะไปธุระ ซวยจริง ๆ ต้องมาเจอตั่วเฮียแต่เช้า!"
ท่าทางและคำพูดของเสี่ยวหนานทำให้หานเจาแปลกใจไม่น้อย แต่เขาก็ไม่หลีกทางเพราะคิดว่าเธอแค่โกรธเขาอยู่
"เอาเถอะ!...ฉันจะไม่ถือสาคำพูดของเธอ ฉันรู้...ถ้าฉันพูดแค่ไม่กี่คำ เธอก็คงคุกเข่าร้องไห้ ขอให้ฉันกลับไปหาใช่ไหมล่ะ?"
"..."
"เอาอย่างนี้ดีไหม? ถ้าเธอเอาของที่ขนมากลับไปให้แม่กับน้องฉันเหมือนเดิม กลับไปอยู่รับใช้แม่ฉันที่บ้านหาน รับรองว่าฉันจะให้เธอเป็นเมียลับ ๆ ที่นี่ ส่วนเยว่ชิงเหมยเธอเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ คงไม่กลับมาที่นี่หรอก"
"..."
"รับรองว่าถ้าเธออยู่ที่นี่เงียบ ๆ ฉันจะกลับมาหาเธอปีละครั้ง เป็นยังไง...เอาอย่างที่ฉันพูดดีไหม? นี่ฉันก็เมตตาเธอมากแล้วนะ"
เสี่ยวหนานหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจะสบตาเขาตรง ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าผุดขึ้นอย่างเย้ยหยัน
"ถุย! ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครหลงตัวเองขนาดนี้มาก่อน พูดเหมือนฉันเป็นคนไม่มีสมอง ไอ้หน้าปลวก! สามีฉันหล่อกว่ารวยกว่านายตั้งกี่เท่า เรื่องอะไรฉันจะลดคุณค่าของตัวเองไปเป็นคนรับใช้ให้แม่กับน้องของนาย สมองนะ มีก็ใช้บ้างนะ อย่างถนัดแต่ใช้วิธีขึ้นเตียงเป็นทางลัด!"
คำพูดนั้นทำเอาหานเจาถึงกับนิ่งไป ดวงตาที่เคยมั่นใจเปลี่ยนเป็นเครียดขุ่น เค้าหน้าเขาแดงจัดทั้งโกรธทั้งอับอายเพราะไม่คิดว่าเสี่ยวหนานจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่ปากร้ายได้ขนาดนี้
"เธอกล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ? เธอ!..เธอ!..เธอมั..."
"กล้าไม่กล้าก็พูดไปแล้ว! ติดอ่างรึไงจะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมาซะที ถ้าไม่อยากขายขี้หน้ากว่านี้ก็ไสหัวไปซะ น่ารำคาญ!"
หานเจาโกรธจนหน้าแดง เขาจ้องเธอเขม็งร่างกายสั่นเทิ้มเพราะความโมโห
"เธอจะเสียใจที่พูดแบบนี้เสี่ยวหนาน ฉันจะทำให้เธอกลับมาคุกเข่าขอโทษฉัน!"
เสี่ยวหนานไม่แม้แต่จะชายตามองเขาอีก เธอผลักเขาออกแล้วปั่นจักรผ่านเขาไปอย่างสง่างาม ขณะที่หานเจาได้แค่กำหมัดแน่น สายตาเขาแดงก่ำ หัวใจพลุ่งพล่านด้วยโทสะและความอัปยศที่เขาไม่เคยคาดฝันว่าจะได้รับจากผู้หญิงที่เขาเคยคิดว่าอยู่ใต้อุ้งมือ
หลังจากเธอลับสายตาไป หานเจาก็สบถเสียงเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังขึ้นจากกำแพงข้างบ้าน
"ผู้หญิงแบบนั้นจะมีใครชอบ ถึงฉันไม่เคยทำอะไรเธอแต่ใครจะเชื่อ พูดแล้วก็เสียดาย...รู้อย่างนี้ฉันคงทำให้เธอเสียความบริสุทธิ์ไปนานแล้ว"
ไป๋ลี่เหยาในชุดกระโปรงผ้าไหมสีแดงเพลิงเดินอ้อมกำแพงออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยแผนร้าย
"ถ้าอย่างนั้นเรามาก็มาทำให้เธอตกเป็นของพี่ซะสิ พี่หานเจา!" ไป๋ลี่เหยาเลิกคิ้ว ยิ้มเย็นอย่างมีเลศนัย
"ไป๋ลี่เหยา! เธอหมายความว่า...?" หานเจาเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงสาวบอกแผนการให้หานเจาฟัง โดยหารู้ไม่ว่าด้านหลังกำแพงมีจื่ออันในชุดเสื้อกั๊กสีหม่นกำลังยืนนิ่งตาเบิกโพลง เขาฟังทุกอย่างชัดถ้อยชัดคำ จากนั้นเขาก็แอบตามทั้งคู่ไปที่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นที่กบดานของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง
"ยานี่แหละ รับรองว่าสลบไสล ไม่รู้ตัว ไม่รู้จักความอายด้วยซ้ำ"
เสียงของวัยรุ่นคนหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ดังขึ้น ตอนนี้หานเจากับไป๋ลี่เหยากำลังซื้อของบางอย่างจากพวกเขา
จื่ออันเม้มริมฝีปากแน่น เขาตัดสินใจรวบรวมเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมด 4 หยวนแลกยาเจ้าปัญหานั่นมา หลังจากที่หานเจากับไป๋ลี่เหยากลับไปแล้ว
จากนั้นเขารีบวิ่งปรู๊ดตรงไปยังร้านข้าวแกงของพี่สาว
"พี่เสี่ยวหนาน..พะ..พี่ต้องฟังผมก่อน"
"อะไรจื่ออัน แล้วทำไมต้องวิ่งจนเหนื่อยหอบขนาดนั้น"
เสี่ยวหนานกำลังจัดวางข้าวของอยู่ เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเสียงหอบของน้องชาย
"คือแบบนี้พี่ หานเจากับไป๋ลี่เหยา..."
จื่ออันเริ่มเล่าแผนการของหานเจากับไป๋ลี่เหยาให้พี่สาวฟังอย่างละเอียดตามที่เขาได้ยินมา พร้อมกับส่งซองกระดาษสีน้ำตาลที่มีผงยาอยู่ให้กับพี่สาว
"ให้มาไม่ให้กลับเสียมารยาท เงินนี่พี่คืนให้ค่ายา ส่วนที่เหลือเอาไปจ้างคนสักสองสามคนมาทะเลาะกันหน้าร้านตอนที่ฉันส่งสัญญาณ อย่าให้พลาดนะ"
เสี่ยวหนานเอาเงินใส่มือให้น้องชาย 20 หยวน แล้วให้น้องชายไปจัดการตามที่เธอสั่ง จากนั้นเธอก็เดินไปซื้อน้ำแดงจากร้านป้ากู้แล้วเอามาผสมยาเอาไว้ เธอไม่ลืมที่จะซื้อน้ำแข็งมาแช่ให้น้ำนั้นเย็นชื่นใจอยู่ตลอดเวลา
ไม่ทันเที่ยงดี หานเจากับไป๋ลี่เหยาก็มาถึงร้าน ทั้งคู่แสร้งทำตัวเป็นแขกผู้มาดี หานเจาถือขวดโคล่าเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มจอมปลอม
"มาทำไม!" เสี่ยวหนานเริ่มเปิดประเด็นทันที
"เมื่อเช้าฉันอาจจะล่วงเกินไปบ้าง เสี่ยวหนาน เรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะนะ กลับมาเป็นพี่น้องที่ดีเหมือนเดิมเถอะ" หานเจากล่าว
"ฉันแค่จะมาร่วมแสดงความยินดีกับเธอและพี่สือซานเท่านั้นเอง เจอพี่หานเจากลางทางก็เลยมาพร้อมกัน" ไป๋ลี่เหยาเสริมขึ้น
เสี่ยวหนานยิ้มบาง รับขวดโคล่ามาอย่างเชื่องช้า
"ก็ได้ ถือว่าลืม ๆ ไปละกัน"
เธอยกขวดขึ้นกระดก แล้วส่งสัญญาณให้จื่ออันผ่านสายตา
ทันใดนั้น เสียงตะโกนโวยวายดังลั่นจากหน้าร้าน กลุ่มคนงานแกล้งทะเลาะกันถึงขั้นเกือบฟาดปาก
หานเจาและไป๋ลี่เหยาหันไปดูอย่างตกใจ เสี่ยวหนานเลยใช้จังหวะนั้นรีบเทโคล่าครึ่งขวดลงถังขยะ ก่อนจะยกขึ้นดื่มต่อราวกับไม่เกิดอะไรขึ้น
"อ๊าา ชื่นใจจริง ๆ อ่ะนี่..น้ำแดงพวกนี้ฉันตอบแทนพวกเธอทั้งสองคน"
ทั้งหานเจาและไป๋ลี่เหยารับมาดื่มด้วยใบหน้ายินดี พวกเขาไม่ได้ยินดีที่เสี่ยวหนานยอมเริ่มต้นใหม่ แต่พวกเขายินดีที่เสี่ยวหนานดื่มโคล่าขวดนั้นเข้าไปจนเกือบหมดต่างหาก
"ฉันเพิ่งเห็นทำเลดีที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ อยากให้เธอไปดูด้วยกันไหม?" หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ลี่เหยาก็พูดขึ้น
"ใช่ ๆ ไปแป๊บเดียวเองนะ เดี๋ยวคนอื่นแย่งก่อนจะเสียดาย" หานเจาช่วยเสริม
"ได้สิ ๆ เดี๋ยวฉันปิดร้านก่อน"
เสี่ยวหนานแกล้งทำหน้าแปลกใจแต่ก็ยอมเออออไปกับพวกเขา ระหว่างทางที่เดินไป เสี่ยวหนานเริ่มแสดงอาการเบลอสะลึมสะลือ
"ทะ..ทำไมฉัน ทำไมฉันถึงเวียนหัวแบบนี้นะ พวกเราใกล้ถึงรึยัง ฉันร้อน ทำไมวันนี้ถึงร้อนจัง"
"มา ฉันจะช่วยประคองเอง"
หานเจาวางแขนเธอพาดบ่า พอพ้นระยะสายตาผู้คน เขาจึงแบกเธอขึ้นหลัง ส่วนไป๋ลี่เหยาคอยช่วยเปิดทาง
บ้านร้างหลังเก่าที่อยู่นอกหมู่บ้านไม่ไกลนักเริ่มโผล่ให้เห็นตรงหน้า แต่ก่อนถึงไม่กี่ก้าว หานเจาและไป๋ลี่เหยาไม่รู้ก็คือ… สิ่งที่กำลังแล่นวนอยู่ในเส้นเลือดของพวกเขา ไม่ได้ทำให้เสี่ยวหนานหมดสติตามแผน
กลับเป็นพวกเขาเองที่เริ่มหน้าแดง หายใจแรง ร่างกายรุ่มร้อน สติพร่าเบลอ มือไม้เริ่มลูบไล้กันเองเหมือนสัตว์ป่าไร้สติ
"อะไรกัน... ทำไมมันร้อน... ร้อนวูบวาบไปหมด"
"ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน..."
เสี่ยวหนานค่อย ๆ ลืมตา ยิ้มเย็นอย่างพอใจเมื่อได้เป็นผู้ควบคุมเกม พอเธอถูกวางลงในบ้านร้าง สองคนนั้นก็ร้อนรนจนอยู่ไม่ติด เธอจึงผลักทั้งสองคนลงบนเตียงเก่าในบ้านร้าง แล้วรีบวิ่งออกมาล็อกประตูจากด้านนอกด้วยกลอนเหล็ก
พลั๊ก!
"สะ..เสี่ยวหนานเธอ อ๊าา ร้อน ไม่ไหวแล้ว"
"ช่วยฉันด้วย พี่หานเจา ฉันร้อน"
จากนั้นเธอเดินอ้อมบ้านไปยังหน้าต่างไม้ผุที่มีลูกกรงซ้อนอีกชั้น แอบมองผ่านช่องแสงเห็นสองร่างดิ้นพล่าน ส่งเสียงครางเพ้อพกไร้สติ
"เราแอบดูแบบนี้จะดีเหรอพี่เสี่ยวหนาน?" จื่ออันที่เห็นพี่สาวออกมาจากบ้านก็รีบตามพี่สาวมาแอบดูติด ๆ
"ดีสิ! ได้เวลาที่ต้องเอาคืนแล้ว คนพวกนี้อยากสาดโคลนใส่พี่ พี่ก็จะเอาโคลนป้ายหน้ามัน!"
เสี่ยวหนานหัวเราะเบา ๆ แววตาเย็นชาดั่งน้ำแข็งจนจื่ออันรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัว
"นั่นอะไรพี่เสี่ยวหนาน หน้าตามันเหมือน...."
"นี่เรียกว่ากล้องโพลารอยด์ ถ่ายปุ๊บก็จะมีรูปออกมาปั๊บแบบนี้"
แชะ! แชะ! แชะ!
เสี่ยวหนานยิ้มหวานแล้วง้างกล้องโพลารอยด์ถ่ายรูปออกมาอย่างทะนุถนอม จื่ออันเพิ่งเคยได้เห็นก็ตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
"ว้าว..มันสุดยอดมากพี่เสี่ยวหนาน..แต่รูปพวกนี้..ผมว่ามันน่าอนาจไปหน่อย"
จื่ออันมองรูปของหานเจากับเสี่ยวหนานที่กำลังเริงรักกันอยู่ในบ้านร้างก็ได้แต่ส่ายหัว
"ใจเย็นไว้น้องชาย รูปพวกนี้แหละที่จะช่วยให้เราได้เงินคืน"
เมื่อนึกถึงเงิน 600 หยวนที่เธอเสียไปเพราะหานเจา เธอก็อยากจะได้มันกลับมาคืนให้กับพ่อแม่ เพราะทั้งหมดนั้นคือน้ำพักน้ำแรงของพวกท่านที่หามาอย่างยากลำบาก
"พี่ว่ายังไง ผมก็ว่ายังงั้น!"
"งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ"
เธอหัวเราะคิกกับน้องชาย พอภาพแห้งก็เก็บใส่กระเป๋าแล้วพากันกลับบ้านทันที
ห้าปีต่อมาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1988 ซูจื่ออัน เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยความรู้และความสามารถที่ร่ำเรียนมา เขาได้เข้ามาช่วยงานในโรงงานของพี่สาวอย่างเต็มตัว โรงงานแห่งใหม่ ของ ซูเสี่ยวหนาน กำลังเริ่มก่อสร้างบนที่ดินที่เธอซื้อสะสมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีพื้นที่กว้างขวางจื่ออันใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา วางแผนงานเกี่ยวกับเครื่องจักรในโรงงานแห่งใหม่ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แม้โรงงานจะยังคงเน้นการใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่จื่ออันก็เลือกที่จะนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตบางส่วน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มปริมาณการผลิตเที่ยงวัน ที่ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋งวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋ง เพื่อกินมื้อเที่ยงกันอย่างคับคั่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมของผู้คน หรือจะเรียกว่าเป็น "ขวัญใจแรงงาน" ก็ว่าได้ เพราะอาหารอร่อย ราคาถูก และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองเสี่ยวหนาน พาลูก ๆ และหลานชายมาช่วยงานที่ร้านข้าวแกง หน่วนหน่วนตอนนี้อายุ 13 ปี ดูแลการจัดโต๊ะช่วยคน
วันต่อมาเสี่ยวหนาน ก็พาพ่อแม่และทุกคนออกไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในปักกิ่ง การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคน โดยเฉพาะพ่อซู แม่ซู พ่อโจว และ แม่โจว ที่ไม่เคยได้มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อนสถานที่แรกที่พวกเขาไปคือ โรงละครอุปรากรปักกิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกำลังถูกฟื้นฟู หลังยุคปฏิวัติวัฒนธรรม บรรยากาศภายในโรงละครไม้เก่าแก่เต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงคลอเคล้ากับการแสดงงิ้วที่วิจิตรตระการตา นักแสดงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม สร้างความประทับใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก雪落寒亭魂未散Xuě luò hán tíng hún wèi sànเสวี่ย ลั่ว หาน ถิง หุน เว่ย ซ่านหิมะโปรยลงบนศาลาเยือกเย็น วิญญาณยังมิยอมลาจาก天公莫笑女孤单Tiān gōng mò xiào nǚ gū dānเทียน กง ม่อ เสี้ยว หนฺ หวี่ กู ตันโอ้สวรรค์ อย่าหัวเราะหญิงผู้โดดเดี่ยว泪洒心灯照旧愿Lèi sǎ xīn dēng zhào jiù yuànเล่ย ส่า ซิน เติง เจ้า จิ้ว เยฺวียนหยาดน้ำตาหลั่งลง กลางแสงตะเกียงใจ ส่องให้คำอธิษฐานเก่าแจ่มชัดอีกครา冤枉三声唤地寒Yuān wǎng sān shēng huàn dì hánเยวียน หว่าง ซาน เซิง ฮ่วน ตี้ หาน
"ครับพี่เขย" เจ้าเด็กแฝดถูกส่งต่อให้น้าชายกับพี่ ๆ ดูแลต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันพักผ่อนอาบน้ำอยู่ในห้องของตัวเองแท้จริงแล้วเสี่ยวหนานแอบเก็บอาหารทะเลสด ๆ เหล่านั้นไว้ในมิติส่วนตัวของเธอ และแกล้งทำเป็นเติมน้ำแข็งตามจุดแวะพักต่าง ๆ ตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมอาหารทะเลถึงยังสดใหม่ราวกับเพิ่งขึ้นจากทะเลมาวันนี้เสี่ยวหนานตั้งใจทำเมนูโปรดหลายอย่างให้น้องชายได้กิน มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น โจ๊กปู ซุปหอยนางรม ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ผัดเนย ปลานึ่งบ๊วย และที่ขาดไม่ได้คือ เป่าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว ที่พ่อกับแม่ชอบเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอได้บอกให้จื่ออันซื้อเครื่องปรุงและของใช้ในครัวไว้ให้ครบถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวหนานก็เตรียมอาหารส่วนหนึ่งใส่ปิ่นโตอย่างสวยงาม เพื่อนำไปมอบให้ อาจารย์เกา และครอบครัว นอกจากนี้เธอยังเตรียมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง และปลาหมึก หอยนางรมใส่ถังใบใหญ่แยกต่างหาก เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเกาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยดูแลจื่ออันมาตลอด"จื่ออัน" เสี่ยวหนานเรียกน้องชาย "มาช่วยพี่ถือข
3 เดือนแล้วตั้งแต่เด็กแฝดเกิดมาในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมและเล่นกับเด็กแฝดตัวน้อย เสี่ยวหนานสังเกตเห็นว่าหน่วนหน่วนกำลังยืนมองน้องชายด้วยแววตาที่ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะดูดีใจ แต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่"หน่วนหน่วนมาหาแม่เร็วเข้า ไหนดูซิว่าวันนี้ลูกสาวของแม่จ๋าอยากได้ผมทรงไหน? เอาเปียสองข้างดีไหม? หรือจะให้แม่มัดแบบหางม้า"เช้าวันเสาร์ที่เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน สือซานเองก็ยังไม่ยอมให้เสี่ยวหนานไปทำงาน เธอจึงพาเด็ก ๆ มานั่งเล่นอยู่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าเด็กแฝดทั้งสองก็มีปู่ย่าคอยดูแลอาหารการกินอี้หลันก็จะให้คนงานเอามาส่งให้ ไม่ต้องให้เสี่ยวหนานเข้าครัวให้ลำบาก มีเพียงช่วงค่ำของวันที่สือซานจะพาเสี่ยวหนาขับรถเข้าไปที่ร้านเพื่อเติมของ และเข้าโรงงานบ้างสัปดาห์ละครั้งส่วนงานที่โรงงานก็มีพนักงานในสำนักงานคอยดูแลครบทุกตำแหน่งแล้ว เสี่ยวหนานจึงรอตรวจบัญชีโดยรวมที่สือซานเอากลับไปให้ที่บ้านเท่านั้น ส่วนงานอย่างอื่นก็มีจื่อเหิงและพ่อแม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางด้านบ้านโจว พ่แโจวกับสือซานก็ยังรับหน้าที่ออกเรือหาอาหารทะเลเช่นเดิม ถึงจะมีเรือหลายลำที่นำของมาขายให้โรงงาน แต่พ่อโจวก็มันจะเดินเรืออ
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเสี่ยวหนานและสือซาน ส่องกระทบผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสี่ยวหนานนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด ความสำเร็จทางธุรกิจในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสุขใจได้อย่างเต็มที่ ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของตัวเอง"นี่ฉันแย่งชะตาชีวิตคนอื่นมารึเปล่า?" เสี่ยวหนานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปในความเงียบของราตรีเธอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เธอจำได้ว่าเดิมทีเธอเป็นเพียงผู้อ่านนิยายที่ยังอ่านไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องนี้ และสวมรอยเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า ซูเสี่ยวหนาน ซึ่งตามบทบาทเดิมแล้วเป็นเพียงตัวละครรองที่จะถูกสลัดทิ้งหลังจากที่ตัวร้ายอย่าง หานเจา ได้สมหวัง และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางเอกของเรื่องคือ ไป๋ลี่เหยา คนที่จะต้องได้แต่งงานกับ โจวสือซาน พระเอกของเรื่องและเป็นสามีของเธอในตอนนี้เสี่ยวหนานถอนหายใจยาว ในฉบับนิยายเดิม ซูเสี่ยวหนาน ตัวจริงจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ ครอบครัวข
ที่โรงพยาบาล ทันทีที่รถของสือซานจอดสนิทที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลก็รีบเอารถเข็นมารับร่างของคนป่วย แล้วพาเสี่ยวหนานเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามารับช่วงต่อทันที พวกเขาพยุงร่างของเสี่ยวหนานขึ้นนอนบนเตียงเข็น และพาเธอเข้าไปในห้องตรวจ หลังจากเก็บรถเสร็จสือซานก็รีบมายืนรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ หัวใจของเขาบีบรัดแน่นด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเสี่ยวหนานไม่นานนัก แพทย์หญิงท่านหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สือซานรีบปรี่เข้าไปหาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ เสี่ยวหนานเป็นอะไรมากหรือเปล่า" น้ำเสียงของเขาสั่นเครือคุณหมอยิ้มให้สือซานอย่างใจเย็น "ไม่ต้องห่วงค่ะคุณโจว ภรรยาคุณแค่เหนื่อยล้ามากเกินไป พักผ่อนน้อยไปหน่อยค่ะ"สือซานถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย "...""แต่ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังให้มากนะคะ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้เธอทำงานหนักเด็ดขาดเลย เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องค่ะ"คำพูดของคุณหมอทำให้สือซานอ้าปากค้