คืนนั้น เสี่ยวหนานกลับถึงบ้านพร้อมรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ประดับใบหน้า มือเรียวส่งรูปถ่ายสองสามใบให้สามีของเธอ ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ก่อนจะเค้นเอาความจริงจากปากของภรรยา
"หนานหนาน! ทำไมน้องถึงเอาตัวเองเสี่ยงแบบนี้!" สือซานตวาดเสียงกร้าว
"พี่จะร้อนใจทำไม ฉันก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เนี่ยเห็นไหม? กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย" เธอยิ้มตาหยีอย่างไม่สะทกสะท้าน
"แล้วแอบไปดูคนมีอะไรกันมันใช่เรื่องไหมเล่า!?"
"ไม่ดูก็ไม่รู้สิว่าวางแผนได้ดีแค่ไหน~ อีกอย่าง...เราจะเอารูปพวกนี้ไปขู่มันไงคะ จะได้เลิกตามตื๊อฉันซะที!"
สือซานยกมือกุมขมับ ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเมียสุดแสบที่เอาชนะพวกคนเลวด้วยไหวพริบและกล้องโพลารอยด์
"กล้ามากนะหนานหนาน... กล้าถ่ายรูปคนกำลังมีอะไรกัน... แล้วยังเอามาให้ผัวดูด้วยท่าทางภูมิใจแบบนี้?"
เสียงของเขาทุ้มต่ำ ลึก และราบเรียบราวผิวน้ำก่อนพายุใหญ่จะมาเยือน เสี่ยวหนานได้แต่กลืนน้ำลายเงียบ ๆ พยายามจะยิ้มกลบเกลื่อน แต่ยิ่งดูเหมือนเด็กน้อยทำผิดแล้วพยายามแก้ตัว
"ก็..ก็พวกนั้นคิดจะทำร้ายฉันก่อน พี่จะมาดุฉันไม่ได้นะ"
สือซานหัวเราะในลำคอ เสียงแหบพร่าราวกับลมหายใจแห่งไฟเผาไหม้ เขาก้าวมาหยุดตรงหน้าเธอ มือหนาเอื้อมขึ้นแตะปลายคางภรรยาแล้วเชยเบา ๆ ให้สบตาเขา
"รู้เรื่องแล้วให้จื่ออันมาบอกพี่ก็ได้ แต่สุดท้ายก็เลือกจะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง งั้นคืนนี้ก็ต้องโดนลงโทษไปแล้วกัน"
เสียงเขาไม่ได้ดัง แต่แผ่วพร่าจนเสี่ยวหนานขนลุกซู่
ริมฝีปากของเขาประทับลงมาอย่างแนบแน่น ร้อนแรงราวกับจะละลายทุกสติที่หล่อนพอจะเหลืออยู่ มือใหญ่โอบแนบแผ่นหลัง ดันร่างบางให้แนบชิดติดกันจนไม่เหลือช่องว่างให้แม้แต่ลมหายใจ
"อื้อ… พี่สือซาน… เดี๋ยวก่อน…"
"ไม่มีเดี๋ยว เล่นกับไฟ... ก็ควรได้รู้ว่าความร้อนแผดเผามันเป็นยังไง"
เขาอุ้มเธอขึ้นอย่างง่ายดายราวกับตัวเธอไร้น้ำหนัก พาไปวางกลางเตียงเตาเมื่อร่างของเขาทาบทับลงมา กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้อารมณ์ของทั้งคู่พลุ่งพล่าน
เสื้อผ้าถูกปลดเปลื้องออกช้า ๆ ทีละชิ้น สายตาสือซานจับจ้องที่เสี่ยวหนานราวกับต้องการให้เธอจดจำบทลงโทษครั้งนี้ให้ขึ้นใจ
"พี่สือซาน..."
"พี่จะไม่ตีเธอหรอก แต่ถ้าคราวหน้าอยากดู...ก็มาดูของพี่ ไม่ใช่ของคนอื่น...มันเสียสายตา!"
เสี่ยวหนานหน้าแดงซ่านอย่างไม่มีที่ซ่อน ร่างกายเธอเหมือนถูกวางลงบนเตาเหล็กที่เร่าร้อน ความแข็งแกร่งของเขาทาบทับลงมาแนบแน่น ลมหายใจร้อนผ่าวกระซิบถี่ชิดซอกคอ ทุกจังหวะที่เขาเคลื่อนไหวคือการครอบครอง ช้าแต่เน้นหนัก สมแล้วที่เรียกว่าบทลงโทษ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังในห้องที่ไร้แสงไฟ มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านปลิวพริ้ว เสี่ยวหนานไม่ได้หนี ไม่ได้ร้อง ไม่ได้ต่อต้านแม้แต่นิด... เธอยอมจำนนให้กับทุกสัมผัส ทุกแรงกระแทกที่เร้าเร่งขึ้นเรื่อย ๆ เขาครอบครองเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับจะฝังคำว่า "ภรรยาของสือซาน" ไว้ในกายของเธอ
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครนับได้... จนเมื่อเสียงลมหายใจถี่รัวค่อย ๆ แผ่วลง เหลือเพียงสัมผัสนิ่งแนบแน่นของสองร่างที่กอดกันไว้แนบสนิท สือซานเอื้อมมือมาปัดปอยผมเปียกชื้นเหงื่อของเธอขึ้น ลูบไล้เบา ๆ แล้วกระซิบเสียงต่ำข้างขมับ
"อย่าซุกซนอีกนะเมียจ๋า... ผัวของเธอจะไม่ใจดีแบบนี้อีก"
เสี่ยวหนานกลั้นยิ้ม แต่ใบหน้าแดงเป็นลูกตำลึงทั้งแถบ เธอพยักหน้าเบา ๆ ซุกหน้าลงในอกแกร่งที่ยังร้อนระอุ...
เช้าวันต่อมา
เช้ามืดวันต่อมา เสี่ยวหนานรู้สึกตัวตื่นจากนิทราด้วยความปวดเมื่อยตามร่างกาย ผิวแก้มยังแดงซ่านจากรอยสัมผัสของค่ำคืนที่เร่าร้อน ริมฝีปากมีรอยช้ำบาง ๆ ที่เกิดจากคนข้างกาย
ผู้ชายสุขุมนุ่มลึกที่เวลาเอ่ยปากพูดกับใครดูสงบนิ่ง พูดถึงอะไรก็ได้ทั้งนั้น...ยกเว้นเมียของเขา เธอเป็นเกล็ดย้อน ไม่ใช่แค่ห้ามลูบ แต่ห้ามมอง ห้ามคิด ห้ามแม้แต่เข้าใกล้
"พี่สือซาน...พาฉันไปที่บ้านร้างหลังนั้นหน่อยได้ไหม?"
เธอพูดขึ้นขณะที่ยังนั่งซบอยู่ในผ้าห่มบนเตียง ร่างบางยังสั่นเล็กน้อยจากความหนาวเย็นในยามเช้า
"ทำไมต้องไปที่นั่น?..." ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอเงยหน้าขึ้น สีหน้าแน่วแน่แต่เปี่ยมด้วยความอ่อนล้า
"ฉันจะจัดการทุกอย่างให้มันจบลงวันนี้...เรื่องหานเจา กับไป๋ลี่เหยา"
สือซานมองภรรยาเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาดำสนิทของเขากะพริบช้า ๆ เหมือนกำลังกลั่นกรองคำพูด ท้ายที่สุด เขาก็พยักหน้าช้า ๆ
"ตกลง"
เสี่ยวหนานรีบไปอาบน้ำแต่งตัว เธอหยิบภาพถ่ายใส่กระเป๋า จากนั้นก็ออกเดินทางไปที่บ้านร้างหลังนั้นเช้ามืด
เมื่อไปถึงท้องฟ้าก็สว่างขึ้นจนสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจน กลิ่นคาวสกปรกที่คละคลุ้งในอากาศแทบทำให้คนมีสติอาเจียนออกมา เสี่ยวหนานยกมือปิดจมูก ในขณะที่สือซานยืนนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก แต่ดวงตาคมลึกคู่นั้นกำลังไล่สำรวจทุกมุมอย่างเงียบงัน
เสียงประตูไม้ที่ถูกผลักเปิดดัง เอี๊ยด! แหลม หานเจากับไป๋ลี่เหยาแทบกระโดดลุกขึ้นจากฟูกเน่า ๆ ที่พวกเขาใช้เป็นสนามซ้อมมาตลอดคืน ทั้งสองอยู่ในสภาพยับเยิน ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ดวงตาแดงช้ำเพราะไม่ได้นอนเต็มตา
"เสี่ยวหนาน! เธอมาได้ยังไง..." หานเจาอุทานออกมาอย่างตกใจ
เสี่ยวหนานไม่ตอบ เธอหยิบภาพถ่ายขึ้นมาชูหลายแผ่นแววตาเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัว
"ดูสิ..นี่อะไร? ไป๋ลี่เหยา ถ้าเธอยังไม่เลิกวุ่นวายกับฉันกับพี่สือซาน ฉันจะเอารูปพวกนี้ไปแปะทั่วหมู่บ้านให้คนดู ส่วนแกหานเจา เงิน 600 หยวนที่ฉันเสียไปกับแก วันนี้แกต้องคืนมาทั้งหมด ไม่อย่างนั้นฉันจะส่งรูปพวกนี้ไปให้ว่าที่ภรรยา พ่อตากับแม่ยายของแก!"
ภาพในมือของเธอเป็นภาพที่หานเจาและไป๋ลี่เหยานัวเนียกันในสภาพเปลือยเปล่าภายในบ้านร้างแห่งนี้ ใบหน้าของทั้งคู่ชัดเจนยิ่งกว่าภาพจากกล้องวงจรปิด พอทั้งคู่ได้เห็นก็หน้าซีดเผือดทันที
"อย่านะเสี่ยวหนาน ฉัน...ฉันขอโทษ มันเป็นความผิดของไป๋ลี่เหยา! นังนั่นมันวางแผนทั้งหมด เพราะหล่อนอยากได้โจวสือซานเป็นผัว!"
"ไอ้เลว! ไอ้หานเจา! แกมันคนชั่ว! อย่ามาโยนความผิดให้ฉัน แกเองก็อยากข่มขืนนังเสี่ยวหนานไม่ใช่เหรอ! แกพูดเองว่าจะทำให้มันเชื่องเหมือนหมา!"
ไป๋ลี่เหยากรีดเสียงโต้กลับ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แววตาเต็มไปด้วยพิษร้าย
เพียงชั่วอึดใจ เสียงหมัดก็ฟาดใส่ใบหน้าหานเจาดัง ปั่ก! หน้าของเขาหันไปอีกด้านด้วยแรงหมัดของสือซาน เขาเดินเข้ามาโดยไม่พูดไม่จา ร่างสูงสง่าทาบทับเงาเหนือหานเจาราวกับพญามัจจุราช
"กล้าดียังไง...คิดจะทำร้ายเมียฉัน?"
เขากัดฟันกรอด เสียงของเขาไม่ได้ตะโกน แต่กลับดังก้องเข้าไปถึงกระดูกสันหลังของทุกคนในห้อง
สือซานต่อยซ้ำอีกหมัด สองหมัด จนหานเจอล้มลงนอนครางครืด ๆ เสี่ยวหนานไม่ได้ห้ามอะไรเลย นัยน์ตาของเธอสงบนิ่ง...ราวกับนี่คือสิ่งที่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
"วันนี้แกต้องคืนเงินให้ฉัน แล้วกลับไปบอกแม่แก กับน้องสาวแกด้วย ถ้ายังไม่หยุดยุ่งวุ่นวายกับฉัน ฉันจะให้คนทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเห็นรูปพวกนี้"
เธอพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับคมดั่งมีด หานเจานั่งตัวสั่นงันงก ก่อนจะรีบควักธนบัตรในกระเป๋าออกมานับแล้วนับอีก
"นี่...นี่เอาไปเลย เอาไปเถอะ ขอร้องล่ะ เสี่ยวหนาน อย่าเอารูปพวกนั้นไปเผยแพร่...อย่าทำลายอนาคตของฉันเลยนะ"
เสี่ยวหนานรับเงินทั้งหมดมานับ เธอรู้ดีว่าจุดจบของหานเจาเป็นยังไง ต่อให้เธอไม่ทำอะไรสุดท้ายเขาก็จะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยเพราะถูกจับได้ว่าโกงคะแนนสอบ
"ได้ ฉันให้สัญญา...ตราบใดที่แกกับครอบครัวไม่มาวุ่นวายกับฉันอีก รูปพวกนี้ฉันก็จะทำลายมันทิ้งทั้งหมด"
เธอหันไปทางไป๋ลี่เหยา ซึ่งยืนกำกระโปรงแน่นร่างทั้งร่างสั่นเทาและคอยหลบหน้าสือซานด้วยความอับอาย
"ส่วนเธอ...ถ้ายังคิดเล่นสกปรกอีกครั้ง อย่าหวังว่าเสี่ยวหนานคนนี้จะเห็นแก่ความเป็นผู้หญิงเหมือนกัน"
พูดจบ สองสามีภรรยาก็หันหลังเดินออกมา โดยไม่ชายตามองร่างสองคนนั้นอีกเลย เสียงกรีดร้องของไป๋ลี่เหยา กับคำด่าสาปแช่งของหานเจาดังลอยตามลมมาแผ่วเบา สือซานเอื้อมมือมาโอบไหล่ภรรยาไว้แน่น แล้วพูดเสียงต่ำข้างหูเธอว่า
"ต่อจากนี้ ทุกคนที่จะแตะต้องเธอได้...ต้องผ่านพี่ก่อน"
เสี่ยวหนานซบหน้ากับอกเขา ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลลงข้างแก้มเงียบ ๆ ความเจ็บที่เคยฝังอยู่ในหัวใจกำลังถูกลบเลือน...โดยผู้ชายที่ร่างนี้เคยคิดว่าเขาเย็นชาที่สุด
ยามเช้าของหมู่บ้านชาวประมงยังคงงดงามด้วยเสียงคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ และกลิ่นน้ำเค็มที่ลอยมากับสายลม สือซานพาภรรยาแวะที่บ้านซู
ในมือของเธอคือธนบัตรหลายใบมูลค่าหกร้อยหยวนที่เธอเพิ่งได้คืนมาจากหานเจา เงินที่เมื่อก่อนเธอเคยยื่นให้เขาด้วยหัวใจ แต่บัดนี้มันคือสิ่งเดียวที่เธอยอมให้เขาเอาชนะไม่ได้ เธอหันมาบอกสามีผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง
"ฉันอยากเอาเงินก้อนนี้ไปคืนพ่อกับแม่ เงินพวกนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของพวกท่านทั้งนั้น"
โจวสือซานพยักหน้าไม่พูดพร่ำ เขาจับมือเธอแน่น แล้วเดินเคียงข้างเข้าไปบ้านซู แม้จะเงียบแต่ท่าทีของเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า พร้อมจะยืนอยู่ข้างเธอในทุกเรื่องเสมอ
ประตูไม้เก่าถูกผลักเปิดออกด้วยเสียงเอี๊ยดเบา ๆ กลิ่นอาหารเช้าลอยมาแตะจมูก พร้อมเสียงแหลม ๆ ที่คุ้นเคย
"จะมาทำไมอีก อย่าบอกนะว่าจะมาขอเงิน"
ซูอี้หลัน พี่สะใภ้คนโตโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าเปื้อนแป้งยังมีแววไม่ต้อนรับน้องสามีคนนี้แม้แต่น้อย ถึงเมื่อวานจะเอาของมาให้ แต่วันนี้มามือเปล่า เธอต้องมีแผนอะไรแน่ ๆ
เสี่ยวหนานไม่ตอบโต้ เธอเพียงยิ้มบาง ๆ แล้วเดินเข้าไปกลางบ้านเพื่อไปหาพ่อแม่
"หนูเอาเงินมาคืนค่ะ พ่อ แม่ แล้วก็พี่ใหญ่ด้วย เงินก้อนนี้หนูได้คืนมาจากหานเจา ขอโทษนะคะที่เมื่อก่อนลูกสาวคนนี้ไม่รู้ความ เห็นผิดเป็นถูก"
สีหน้าของพ่อซูแม่ซูเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
"หกร้อยหยวน...เสี่ยวหนาน ลูกไปเอาคืนมาจากมันได้ยังไง?" พ่อของเธอถามเสียงแหบพร่า
แม่ของเธอรีบตรงเข้ามาจับมือ ลูบแขนลูกสาวด้วยแววตาระคนระหว่างความเป็นห่วงและไม่อยากเชื่อ
"คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นทำไมถึงยอมคืนเงินก้อนนี้มา มันไม่ได้ทำร้ายลูกใช่ไหม?"
เสี่ยวหนานหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะส่ายหน้า
"คนแบบนั้นทำอะไรหนูไม่ได้หรอกแม่ หนูก็แค่กุมความลับของมันเอาไว้ ความลับที่มันยอมให้ใครรู้ไม่ได้ พ่อกับแม่รับคืนไปเถอะนะคะ...หนูสบายดีจริง ๆ"
สองตายายมองหน้ากันเงียบ ๆ แววตาของพ่อซูฉายแววลังเล ก่อนเขาจะยื่นมือออกมารับเงินอย่างช้า ๆ
"เห็นเจ้าใหญ่บอกว่าลูกจะเปิดร้านขายกับข้าว ถ้าเงินไม่พอ...ก็มาเอาที่พ่อได้นะลูก ไม่ต้องกังวลอะไรเลย พวกเรายังเป็นพ่อแม่ของลูกเสมอ เงินค่าสินสอดที่บ้านโจวให้มาก็ยังเหลือครบ พ่อเก็บไว้ให้ลูกยามจำเป็น"
โจวสือซานที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ก็พูดขึ้นในเวลานั้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและอบอุ่น
"พ่อตาไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมมีเงินพอให้เสี่ยวหนานใช้จ่ายในการเปิดร้าน เย็นนี้พวกเราว่าจะออกเรืออีกแล้ว ถ้าพี่จื่อเหิงกับจื่ออันอยากออกเรือด้วยก็ไปด้วยกันได้นะครับ"
คำพูดของเขาเหมือนสายฝนที่ตกลงมาบนผืนดินแห้งแล้ง ดวงตาของซูจื่อเหิงสว่างวาบ เขาโพล่งออกมาทันที
"จริงเหรอสือซาน พวกเราไปด้วยได้ใช่ไหม? พวกเรากำลังกังวลเรื่องนี้อยู่พอดี ได้ข่าวว่าเรือที่เราทำอยู่กำลังจะขาย..."
สือซานพยักหน้า เขาได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้วถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา ต่อให้เขาจะถูกบ้านไป๋กดราคา แต่เงินที่มีอยู่ก็เพียงพอที่จะจ่ายค่าแรงคนงานได้
"ได้สิครับ เอาเป็นว่าเย็นนี้พี่ก็ไปรวมตัวกับพวกเราที่ท่าเรือประมงนะครับ ผมเตรียมของไว้หมดแล้ว พรุ่งนี้เช้าเสี่ยวหนานเปิดร้านวันแรก จะได้ช่วยกันขนของสดไปส่งแต่เช้ามืดด้วย"
"ได้ ๆ ขอบใจมากนะสือซาน"
จื่อเหิงจับไหล่น้องเขยด้วยความตื้นตัน ส่วนจื่ออันที่ยืนเงียบอยู่ข้างหลังเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาหวัง
ห้าปีต่อมาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1988 ซูจื่ออัน เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยความรู้และความสามารถที่ร่ำเรียนมา เขาได้เข้ามาช่วยงานในโรงงานของพี่สาวอย่างเต็มตัว โรงงานแห่งใหม่ ของ ซูเสี่ยวหนาน กำลังเริ่มก่อสร้างบนที่ดินที่เธอซื้อสะสมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีพื้นที่กว้างขวางจื่ออันใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา วางแผนงานเกี่ยวกับเครื่องจักรในโรงงานแห่งใหม่ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แม้โรงงานจะยังคงเน้นการใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่จื่ออันก็เลือกที่จะนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตบางส่วน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มปริมาณการผลิตเที่ยงวัน ที่ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋งวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋ง เพื่อกินมื้อเที่ยงกันอย่างคับคั่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมของผู้คน หรือจะเรียกว่าเป็น "ขวัญใจแรงงาน" ก็ว่าได้ เพราะอาหารอร่อย ราคาถูก และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองเสี่ยวหนาน พาลูก ๆ และหลานชายมาช่วยงานที่ร้านข้าวแกง หน่วนหน่วนตอนนี้อายุ 13 ปี ดูแลการจัดโต๊ะช่วยคน
วันต่อมาเสี่ยวหนาน ก็พาพ่อแม่และทุกคนออกไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในปักกิ่ง การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคน โดยเฉพาะพ่อซู แม่ซู พ่อโจว และ แม่โจว ที่ไม่เคยได้มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อนสถานที่แรกที่พวกเขาไปคือ โรงละครอุปรากรปักกิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกำลังถูกฟื้นฟู หลังยุคปฏิวัติวัฒนธรรม บรรยากาศภายในโรงละครไม้เก่าแก่เต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงคลอเคล้ากับการแสดงงิ้วที่วิจิตรตระการตา นักแสดงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม สร้างความประทับใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก雪落寒亭魂未散Xuě luò hán tíng hún wèi sànเสวี่ย ลั่ว หาน ถิง หุน เว่ย ซ่านหิมะโปรยลงบนศาลาเยือกเย็น วิญญาณยังมิยอมลาจาก天公莫笑女孤单Tiān gōng mò xiào nǚ gū dānเทียน กง ม่อ เสี้ยว หนฺ หวี่ กู ตันโอ้สวรรค์ อย่าหัวเราะหญิงผู้โดดเดี่ยว泪洒心灯照旧愿Lèi sǎ xīn dēng zhào jiù yuànเล่ย ส่า ซิน เติง เจ้า จิ้ว เยฺวียนหยาดน้ำตาหลั่งลง กลางแสงตะเกียงใจ ส่องให้คำอธิษฐานเก่าแจ่มชัดอีกครา冤枉三声唤地寒Yuān wǎng sān shēng huàn dì hánเยวียน หว่าง ซาน เซิง ฮ่วน ตี้ หาน
"ครับพี่เขย" เจ้าเด็กแฝดถูกส่งต่อให้น้าชายกับพี่ ๆ ดูแลต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันพักผ่อนอาบน้ำอยู่ในห้องของตัวเองแท้จริงแล้วเสี่ยวหนานแอบเก็บอาหารทะเลสด ๆ เหล่านั้นไว้ในมิติส่วนตัวของเธอ และแกล้งทำเป็นเติมน้ำแข็งตามจุดแวะพักต่าง ๆ ตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมอาหารทะเลถึงยังสดใหม่ราวกับเพิ่งขึ้นจากทะเลมาวันนี้เสี่ยวหนานตั้งใจทำเมนูโปรดหลายอย่างให้น้องชายได้กิน มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น โจ๊กปู ซุปหอยนางรม ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ผัดเนย ปลานึ่งบ๊วย และที่ขาดไม่ได้คือ เป่าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว ที่พ่อกับแม่ชอบเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอได้บอกให้จื่ออันซื้อเครื่องปรุงและของใช้ในครัวไว้ให้ครบถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวหนานก็เตรียมอาหารส่วนหนึ่งใส่ปิ่นโตอย่างสวยงาม เพื่อนำไปมอบให้ อาจารย์เกา และครอบครัว นอกจากนี้เธอยังเตรียมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง และปลาหมึก หอยนางรมใส่ถังใบใหญ่แยกต่างหาก เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเกาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยดูแลจื่ออันมาตลอด"จื่ออัน" เสี่ยวหนานเรียกน้องชาย "มาช่วยพี่ถือข
3 เดือนแล้วตั้งแต่เด็กแฝดเกิดมาในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมและเล่นกับเด็กแฝดตัวน้อย เสี่ยวหนานสังเกตเห็นว่าหน่วนหน่วนกำลังยืนมองน้องชายด้วยแววตาที่ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะดูดีใจ แต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่"หน่วนหน่วนมาหาแม่เร็วเข้า ไหนดูซิว่าวันนี้ลูกสาวของแม่จ๋าอยากได้ผมทรงไหน? เอาเปียสองข้างดีไหม? หรือจะให้แม่มัดแบบหางม้า"เช้าวันเสาร์ที่เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน สือซานเองก็ยังไม่ยอมให้เสี่ยวหนานไปทำงาน เธอจึงพาเด็ก ๆ มานั่งเล่นอยู่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าเด็กแฝดทั้งสองก็มีปู่ย่าคอยดูแลอาหารการกินอี้หลันก็จะให้คนงานเอามาส่งให้ ไม่ต้องให้เสี่ยวหนานเข้าครัวให้ลำบาก มีเพียงช่วงค่ำของวันที่สือซานจะพาเสี่ยวหนาขับรถเข้าไปที่ร้านเพื่อเติมของ และเข้าโรงงานบ้างสัปดาห์ละครั้งส่วนงานที่โรงงานก็มีพนักงานในสำนักงานคอยดูแลครบทุกตำแหน่งแล้ว เสี่ยวหนานจึงรอตรวจบัญชีโดยรวมที่สือซานเอากลับไปให้ที่บ้านเท่านั้น ส่วนงานอย่างอื่นก็มีจื่อเหิงและพ่อแม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางด้านบ้านโจว พ่แโจวกับสือซานก็ยังรับหน้าที่ออกเรือหาอาหารทะเลเช่นเดิม ถึงจะมีเรือหลายลำที่นำของมาขายให้โรงงาน แต่พ่อโจวก็มันจะเดินเรืออ
แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเสี่ยวหนานและสือซาน ส่องกระทบผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสี่ยวหนานนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด ความสำเร็จทางธุรกิจในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสุขใจได้อย่างเต็มที่ ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของตัวเอง"นี่ฉันแย่งชะตาชีวิตคนอื่นมารึเปล่า?" เสี่ยวหนานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปในความเงียบของราตรีเธอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เธอจำได้ว่าเดิมทีเธอเป็นเพียงผู้อ่านนิยายที่ยังอ่านไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องนี้ และสวมรอยเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า ซูเสี่ยวหนาน ซึ่งตามบทบาทเดิมแล้วเป็นเพียงตัวละครรองที่จะถูกสลัดทิ้งหลังจากที่ตัวร้ายอย่าง หานเจา ได้สมหวัง และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางเอกของเรื่องคือ ไป๋ลี่เหยา คนที่จะต้องได้แต่งงานกับ โจวสือซาน พระเอกของเรื่องและเป็นสามีของเธอในตอนนี้เสี่ยวหนานถอนหายใจยาว ในฉบับนิยายเดิม ซูเสี่ยวหนาน ตัวจริงจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ ครอบครัวข
ที่โรงพยาบาล ทันทีที่รถของสือซานจอดสนิทที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลก็รีบเอารถเข็นมารับร่างของคนป่วย แล้วพาเสี่ยวหนานเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามารับช่วงต่อทันที พวกเขาพยุงร่างของเสี่ยวหนานขึ้นนอนบนเตียงเข็น และพาเธอเข้าไปในห้องตรวจ หลังจากเก็บรถเสร็จสือซานก็รีบมายืนรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ หัวใจของเขาบีบรัดแน่นด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเสี่ยวหนานไม่นานนัก แพทย์หญิงท่านหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สือซานรีบปรี่เข้าไปหาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ เสี่ยวหนานเป็นอะไรมากหรือเปล่า" น้ำเสียงของเขาสั่นเครือคุณหมอยิ้มให้สือซานอย่างใจเย็น "ไม่ต้องห่วงค่ะคุณโจว ภรรยาคุณแค่เหนื่อยล้ามากเกินไป พักผ่อนน้อยไปหน่อยค่ะ"สือซานถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย "...""แต่ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังให้มากนะคะ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้เธอทำงานหนักเด็ดขาดเลย เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องค่ะ"คำพูดของคุณหมอทำให้สือซานอ้าปากค้