วันนี้หิมะค่อนข้างดูบางตากว่าปกติ หยางจิ่งสวมชุดคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ กำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ถนนในเมืองหลวง โดยมีหวังซุนติดตามมาด้วย ยามนี้สุขภาพของเขาแข็งแรงขึ้นมากแล้ว จึงตั้งใจออกจากวังหลวงเพื่อมารอพบนาง
ได้ยินว่าตระกูลโจวกลับมาจากชายแดนหลายวันแล้ว เสด็จพ่อเองก็ไม่ได้รีบร้อนให้แม่ทัพใหญ่เข้าเฝ้า บอกเพียงว่าพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเข้าวังหลวงก็ไม่เป็นปัญหา สองวันก่อนเขาสั่งให้หวังซุนนำจดหมายไปส่งให้โจวอวี้หานนัดหมายให้เขามาดื่มสุราด้วยกัน
หยางจิ่งเดินมาเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ร้านสุราร้านหนึ่ง มันคือร้านที่เขามักชอบออกมาดื่มเป็นประจำ สุราที่นี่หรูหราราคาแพง และรสชาติดีไม่น้อย
ยามนี้เขายังเป็นเพียงองค์ชายที่มีอายุเพียงสิบหกปี และยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท แต่อีกไม่นานเสด็จพ่อย่อมต้องแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาทเร็ว ๆ นี้
เขาจำได้ว่ายามนั้นราชสำนักวุ่นวาย เนื่องจากเหล่าขุนนางไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ เพราะเขาเสเพล ไม่เอาไหน วัน ๆ เมามายสุรา อยู่กับสตรีไม่ซ้ำหน้า งานราชกิจก็ไม่สน ทั้งยังไม่เห็นหัวใคร หากเขาได้เป็นใหญ่บ้านเมืองย่อมต้องเข้าสู่กลียุคเป็นแน่
แต่ทว่าเสด็จพ่อกลับไม่สนใจคำทัดทานเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
และพระโอรสโง่เขลาเช่นเขาก็ทำให้บ้านเมืองเกิดกลียุคขึ้นมาจริง ๆ
ยามนี้ในราชสำนักกำลังถกเถียงกันเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาท ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยที่จะให้หยางจิ่งพระโอรสสายตรงที่เกิดจากอดีตฮองเฮาขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาท ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องการสนับสนุนหยางเฉิง บุตรชายของฉินกุ้ยเฟยขึ้นมาเป็นองค์รัชทายาท เนื่องจากหยางเฉิงสง่างามเพียบพร้อมและเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเขา
หยางจิ่งยกยิ้มมุมปาก อีกไม่นานตำแหน่งฮองเฮาองค์ใหม่ก็ต้องตกเป็นของฉินกุ้ยเฟย
สตรีนางนี้เบื้องหน้าแสร้งทำเป็นรักและเอ็นดูเขาราวกับบุตรแท้ ๆ แต่จิตใจเบื้องหลังกลับดำมืดไร้ความเมตตา
"ข้าไม่เคยนับเจ้าเป็นลูก เจ้าก็แค่บุตรของสตรีที่ข้าเกลียดชัง ข้าทนเลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ก็นับว่าเมตตามากแล้ว"
ประโยคนี้เขาจำได้ขึ้นใจไม่มีวันลืม
ฉินกุ้ยเฟยมีนามว่า ฉินซินอวี้ นางคือน้องสาวต่างมารดาของเสด็จแม่เขา ก่อนหน้านี้เสด็จแม่รั้งตำแหน่งฮองเฮา แต่ทว่าไม่นานเสด็จพ่อก็รับฉินซินอวี้เข้ามาเป็นสนมเอก เป็นช่วงที่เสด็จแม่ทรงตั้งครรภ์เขาพอดี แต่ทว่าโชคร้ายเขาลืมตามาดูโลกได้เพียงสองวัน เสด็จแม่ก็ทรงจากเขาไปด้วยอาการตกเลือด หมอหลวงไม่อาจทำการช่วยเหลือได้ทันเวลาอีกทั้งยังหาสาเหตุไม่พบว่าเหตุใดเลือดจึงไม่หยุดไหลเช่นนี้ นับจากวันนั้น ฉินกุ้ยเฟยจึงเป็นคนเลี้ยงดูเขามานับแต่วันนั้น และเมื่อเขาอายุได้สองขวบปีนางก็ให้กำเนิดหยางเฉิงออกมา เมื่อนางให้กำเนิดพระโอรสก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นฉินกุ้ยเฟย ในชาติที่แล้วเขารักและเคารพนางมาก
เขาจำได้ว่าฉินซินอวี้ดีต่อเขามาก ดีเสียจนเขาคาดไม่ถึงว่านางจะอำมหิตได้ถึงเพียงนี้
อำมหิตถึงขนาดสั่งฆ่าเขาได้ลงคอ!!!
หยางจิ่งละทิ้งความคิดเหล่านี้ออกจากหัวของตน ก่อนจะเดินเข้าไปด้านบนชั้นสองของโรงสุรา และสั่งสุราชั้นดีมาดื่มเพื่อรอโจวอวี้หานมาพบเขาตามนัด
เขากับโจวอวี้หานเติบโตมาด้วยกัน ยามที่เขาอายุได้หกขวบปีเสด็จพ่อได้ให้โจวอวี้หานมาเป็นสหายร่วมศึกษาของเขา เมื่อเติบโต โจวอวี้หานเข้าร่วมกองทัพ ส่วนเขากลับไม่เอาไหน แม้บางคราเขาจะดูแคลนโจวอวี้หานที่วัน ๆ เอาแต่อ่านตำรา ชอบฝึกการรบ แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของเขาและโจวอวี้หานกลับยังคงแน่นแฟ้น ยังเป็นสหายที่ดีต่อกัน เมื่อยามนี้มานึกย้อนคิดดูแล้ว เขาก็รู้สึกขบขันไม่น้อย โจวอวี้หานเป็นบุรุษที่ดีงามถึงเพียงนั้น กลับมาคบสหายไม่เอาไหนเช่นเขาได้
น่าเสียดายในชาติก่อน สหายที่ดีเช่นนี้กลับต้องถูกฆ่าตายในสนามรบเพียงเพราะความโง่งมของเขา
เขายังจำได้ดี เขาตกใจมากที่รู้ว่าแม่ทัพใหญ่โจวและโจวอวี้หานถูกสังหารในสนามรบ เขาทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ แต่ทว่ามันคือความจริง
หยางจิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่มพลางเหม่อมองหิมะที่ตกหนักนอกหน้าต่าง ผ่านไปราวหนึ่งเค่อ หยางจิ่งก็มองเห็นโจวอวี้หานที่เดินเข้ามาในโรงสุรา เขาเลือกห้องชั้นบนเอาไว้ห้องหนึ่ง ห้องนี้อบอุ่นและกันลมหนาวได้ดีไม่น้อย
"อาจิ่ง ขออภัยที่ให้เจ้ารอนาน"
"ไม่เป็นอันใด รีบมานั่งเถิด"
หยางจิ่งเอ่ยกับโจวอวี้หานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะมองไปที่ข้างกายของโจวอวี้หานพลันขมวดคิ้วมุ่น
เหตุใดเขาจึงไม่เห็นโจวหว่านหรูเล่า เขาจำได้ว่าชาติก่อนนางจะต้องติดตามโจวอวี้หานมาเที่ยวเล่นในเมืองหลวงมิใช่หรือ?
"อาจิ่ง เจ้ามองสิ่งใดหรือ?"
"เอ่อ..."
โจวอวี้หานที่เห็นหยางจิ่งมองมาที่เขาอย่างไม่ลดละ พลางกวาดสายตาไปทั่ว ๆ ราวกับกำลังมองหาคน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หยางจิ่งพลันได้สติกลับคืนมา เขารีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยกับโจวอวี้หาน
"อ้อ เจ้ามาคนเดียวหรือ ข้าคิดว่าเจ้าจะพาคนติดตามมาด้วยมากหน่อย เพราะจากเมืองหลวงไปนาน เกรงว่าจะไม่คุ้นชิน"
โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเทสุราใส่จอกและยกขึ้นมาดื่ม แต่ไหนแต่ไรมาระหว่างเขาและหยางจิ่งก็ไม่มีกฎระเบียบใดต่อกันอยู่แล้ว
"ข้ามาคนเดียว เดิมทีคิดว่าจะพาน้องเล็กมาด้วย แต่นางไม่ยอมมา เหมือนว่านางจะไม่สบาย"
"ไม่สบายหรือ!!!"
หยางจิ่งลืมตัวว่าตนเองเผลอพูดสิ่งใดไป ก็มีท่าทีประหม่าไม่น้อย
"นี่อาจิ่ง เจ้าจะตกใจทำไมกัน นางไม่ได้เป็นอันใดมากเสียหน่อย จะว่าไปพวกเจ้าก็ไม่ได้พบกันมานานแล้วนี่ จำได้ว่ายามที่ท่านพ่อไปชายแดน น้องเล็กอายุเพียงแปดขวบปี ยามนี้นางอายุสิบสามปีแล้ว ผ่านมานานเพียงนี้แต่เจ้ายังจำนางได้ ข้าคิดว่าเจ้าลืมนางไปแล้วเสียอีก"
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางครุ่นคิดในใจเงียบ ๆ คนเดียว
ข้ากับนางเคยเป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งชาติ นั่นคือสิ่งที่เจ้าไม่รู้อาอวี้
ในใจของหยางจิ่งรู้สึกสับสนไม่น้อย เขาสงสัยเหลือเกินว่าเพราะสิ่งใดกัน ที่ทำให้เหตุการณ์ในชาตินี้ไม่เหมือนกับชาติที่แล้ว เขาหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะครุ่นคิดว่าตนจำวันผิดหรือไม่ แต่คิดให้ดี ๆ อีกครา เขาก็ยังมั่นใจว่าเขาไม่ได้จำวันผิด
วันนี้นางกับเขาต้องได้พบเจอกัน มันควรจะเป็นเช่นนั้น
โจวอวี้หานที่เห็นว่าหยางจิ่งเอาแต่นิ่งเงียบ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"เหม่อลอยเรื่องใดอยู่หรือ?"
หยางจิ่งหันมามองโจวอวี้หานคราหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
"ไม่มีอันใด อาอวี้ กลับมาครานี้ เจ้าจะอยู่เมืองหลวงนานเท่าใด?"
"น่าจะสามเดือน แม้ยามนี้แคว้นฉู่จะยอมสงบศึก แต่ก็ไม่อาจประมาทได้ ยังต้องยกทัพไปข่มขวัญให้พวกมันหวาดกลัวอีก จะได้ไม่กล้าคิดไม่ซื่อ อ้อ อาจิ่ง ข้าได้ยินว่าชินอ๋องทรงกลับเมืองหลวงมาแล้ว พร้อมกับนำตัวองค์ชายแคว้นเยี่ยนมาเป็นตัวประกันด้วยเช่นนั้นหรือ?"
หยางจิ่งยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ย
"อืม องค์ชายผู้นี้มีนามว่า เจียงหมิงเจ๋อ ตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนผู้เป็นบิดายังมีชีวิตอยู่ เขาก็เป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ มีหน้ามีตาไม่ด้อยกว่าองค์ชายราชวงศ์อื่น แต่จู่ ๆ เสด็จพ่อของเจียงหมิงเจ๋อก็ตายลงอย่างไร้สาเหตุ พี่ชายของเขาจึงยึดครองอำนาจแทน อีกทั้งยังกรอกยาพิษให้เจียงหมิงเจ๋อกิน โชคดีที่เขารอดมาได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ารอดมาได้เพราะเหตุใด เสด็จอาไม่ได้บอกรายละเอียดมากนัก นับแต่นั้นมาเขาก็ล้มป่วยลง ไร้ซึ่งอำนาจในแคว้นตน ถูกพี่น้องที่เป็นเชื้อพระวงศ์เหยียดหยาม สุดท้ายถูกส่งตัวมาที่แคว้นของเราเพื่อเป็นเชลย"
"อืม เป็นเช่นนี้นี่เอง"
"แต่เสด็จพ่อก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เขา ยังคงมีตำหนักเล็ก ๆ ให้อยู่ที่ท้ายวังหลวง เพราะสุขภาพของเขาไม่สู้ดีนัก ล้มป่วยง่าย เสด็จพ่อทรงเวทนาที่องค์ชายผู้หนึ่งต้องพลัดจากบ้านเกิดตนมาอยู่ในแคว้นศัตรูเช่นนี้ ชีวิตนี้คงไม่ง่ายอีกแล้ว"
โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นก็จ้องมองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยเห็นเจ้าคิดสงสารผู้ใด มีแต่ด่าทอคน แม้กระทั่งข้าบางคราเจ้ายังสมน้ำหน้า เหตุใดวันนี้จึงนึกสงสารคนอื่นขึ้นมาได้ ระหว่างทางถูกหิมะตกใส่หัวหรือ?"
หยางจิ่งจ้องมองโจวอวี้หานคราหนึ่ง ก่อนจะหยิบถั่วเม็ดหนึ่งเขวี้ยงใส่สหายตน
"เจ้าคงไม่รู้ หนึ่งเดือนก่อนเพราะอยากแกล้งจินเอ๋อร์ที่ตกน้ำให้นางหนาวตาย ข้าจึงเหยียบมือนาง แต่มันคงเป็นเวรกรรม ข้าลื่นตกน้ำไปตามนางจนข้าล้มป่วยไม่ได้สติอยู่หลายวัน ยามนั้นข้าฝันว่าข้าถูกคนฆ่าตาย ไร้อำนาจ เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้คนที่ข้าเคยรังแกพากันก่นด่าสาปแช่งข้า ราวกับได้ไปเยือนปรโลกในช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อได้สติตื่นขึ้นมา ข้าจึงรู้แจ้งว่าคนเราอายุไม่ยืนยาว อย่าสร้างความทุกข์ใจให้ตนเองและผู้อื่นเลย"
โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นพลันยกมือขึ้นมาตบขาตนเองฉาดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ความตายทำให้เจ้ารู้แจ้ง คำนี้ช่างดีนัก เจ้าน่าจะตกน้ำไปตั้งนานแล้ว จะได้รู้แจ้งเร็วกว่านี้สักหน่อย เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้องค์หญิงรองจริง ๆ"
"นี่ ๆ ให้มันน้อย ๆ หน่อย ข้ายังด่าเจ้าได้เหมือนเดิมนะ"
"ข้าน่ะชินแล้ว"
"เหอะ นี่อาอวี้ ข้าเบื่อโรงสุราแล้ว มิสู้ไปที่จวนเจ้าแล้วหาตำราการสู้รบมาอ่านไม่ดีกว่าหรือ? ได้ยินว่าจวนของเจ้ามีตำราดี ๆ มากมายเลย"
โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถาม
"อาจิ่ง ปกติเจ้าบอกว่าตำราพวกนั้นไร้สาระ เจ้าไม่มีทางอ่านมันมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงอยากอ่านมันขึ้นมาได้เล่า"
หยางจิ่งยิ้มให้โจวอวี้หานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
"ข้าอยากลองอ่านดูน่ะ เผื่อว่ามันอาจจะสนุก"
"เช่นนั้นก็ได้ แล้วอย่ามาด่าข้าเล่า ตำราการรบน่ะไม่สนุกเหมือนที่เจ้าคิดหรอกนะ"
"สหายรัก ข้าย่อมไม่ด่าเจ้าแน่นอน"
"ให้มันจริง"
เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว หยางจิ่งและโจวอวี้หานก็เดินออกมาจากห้องด้านบนชั้นสองของโรงสุราทันที ระหว่างที่เดินลงบันไดมานั้น หยางจิ่งมองเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังเดินสวนเขาขึ้นไปที่ชั้นสองของโรงสุราพอดี กลิ่นหอมที่คุ้นเคยของนาง ทำให้หยางจิ่งหันไปมองนางก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
เราพบกันอีกคราจนได้นะ
ไป๋อี๋ซิน!!!
ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่
ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า
โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ
เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห
ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย
หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย