ตำหนักบูรพา
หลายวันก่อนหน้าที่ตระกูลโจวจะกลับเมืองหลวงหนึ่งเดือน
"แคก ๆ องค์ชาย องค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เร็วเข้ารีบตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!!!"
เสียงร้องเรียกของหวังซุน องครักษ์ผู้ทำหน้าที่คอยรับใช้หยางจิ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ เมื่อพบว่ายามนี้เจ้านายของตนได้สติกลับมาแล้ว
ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เมื่อตรวจดูอาการหยางจิ่งต่ออีกสักครู่ ก็มีสีหน้าที่คลายความกังวลลงไปไม่น้อย
"ยามนี้ไอเย็นถูกขับออกหมดแล้ว องค์ชายใหญ่ทรงปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อย ๆ หันไปมองหมอหลวงคราหนึ่ง ก่อนแววตาของเขาจะหยุดลงที่หวังซุน องครักษ์ที่ภักดีกับเขาเป็นที่สุด
ภาพในกาลก่อนฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา
"องค์รัชทายาท ต่อให้พระองค์จะทรงสังหารกระหม่อม กระหม่อมก็ต้องเอ่ยเตือนพระองค์ คนผู้นั้นคิดไม่ซื่อ เขาหวังจะช่วงชิงตำแหน่งของพระองค์"
"หุบปาก!!! ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้ากำลังดูหมิ่นราชวงศ์ของข้าหวังซุน ทหาร ลากมันไปโบยจนตาย!!!"
"องค์รัชทายาทโปรดเชื่อกระหม่อมด้วยเถิด องค์รัชทายาท!!!"
หยางจิ่งหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครา ก่อนจะมองไปโดยรอบอีกครั้ง
ช้าก่อน!!! นี่มันเรื่องใดกัน?
หวังซุนตายไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดยามนี่จึงยังยืนอยู่ข้างกายเขาได้เล่า
เขาเองก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกันนี่นา?
หรือว่าที่นี่คือโลกหลังความตาย?
หยางจิ่งพลันลนลานสับสน ความรู้สึกปวดหนึบทั่วทั้งศีรษะทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น หวังซุนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงรีบรุดเข้ามาหาเจ้านายของตนทันที
"องค์ชาย เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ละเลยต่อหน้าที่"
"หวังซุน นี่มันเรื่องใดกัน?"
หวังซุนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดว่าคงเพราะอาการไข้เพิ่งจะหายดี องค์ชายจึงมีพระอาการหลง ๆ ลืม ๆ เช่นนี้
"ทูลองค์ชายใหญ่ หลายวันก่อนองค์หญิงรองหยางจินจินวิ่งตามผีเสื้อเข้าไปในสวนดอกเหมย แต่ทว่าเพราะฝนตกพื้นลื่น องค์หญิงจึงตกลงไปในสระบัวท้ายวังหลวง องค์ชายใหญ่ทรงเห็นเข้าพอดี จึงรีบ...เอ่อ รีบเข้าไปหาองค์หญิงรอง ก่อนจะยกเท้าเหยียบมือนางที่กำลังขอความช่วยเหลือ แต่เพราะพระองค์ทรงดื่มสุราไปไม่น้อย เกิดทรงตัวไม่อยู่ลื่นตกสระน้ำไปอีกคน และเพราะอากาศหนาวเกินไป พระองค์ที่ถูกเหล่าทหารช่วยขึ้นมาจากน้ำเกิดล้มป่วยหนัก จนไม่ได้สติร่วมหลายวันพ่ะย่ะค่ะ"
หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับมีไม้หนัก ๆ มาทุบตีที่ศีรษะของเขา เขายกมือตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและใช้กำปั้นชกเข้าไปที่หน้ากระจกบนหัวเตียง โลหิตจากหลังมือไหลเป็นทางยาว สร้างความตกใจให้แก่หวังซุนเป็นอย่างยิ่ง
ให้ตายเถิด!!! องค์ชายใหญ่ทรงคลุ้มคลั่งอีกแล้ว
"องค์ชาย!!!"
แต่ทว่าหยางจิ่งกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
หึ ๆ สวรรค์!!! นี่มัน
"หวังซุน"
"พ่ะย่ะค่ะ"
"ปีนี้ปีที่เท่าใด"
"เอ๋?"
"เสด็จพ่อครองราชย์ปีที่เท่าใด"
"ปีที่ยี่สิบห้าพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย พระองค์ทรงจำไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?"
หยางจิ่งไม่ตอบ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเผือดเพราะพิษไข้ เขายกมือขึ้นก่อนจะให้หวังซุนและคนอื่น ๆ ออกไปจนหมด หวังซุนแม้จะเป็นห่วงหยางจิ่ง แต่ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทำได้เพียงออกไปยืนอยู่นอกตำหนักตามที่หยางจิ่งสั่ง
เมื่อยามนี้เหลือตนเองเพียงลำพังแล้ว เขาก็เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นขึ้น
รัชศกหลิงไท่ปีที่ยี่สิบห้า ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงองค์ชายใหญ่ที่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ชินอ๋องหยางหลิงฉี เสด็จอาของเขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากแคว้นเยี่ยน เนื่องจากเสด็จอานำทัพออกศึกบุกประชิดแคว้นเยี่ยน และสามารถนำชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนไม่อยากสูญเสียเมืองจึงยอมจำนน จึงส่งตัวเจียงหมิงเจ๋อ น้องชายต่างมารดามาเป็นตัวประกันที่แคว้นเป่ยฉินของเขา
และในเวลาเดียวกันนี้ที่ชายแดนแคว้นฉู่ แม่ทัพใหญ่โจวก็ได้รับชัยชนะเช่นเดียวกัน สามารถปราบเหล่ากบฏแคว้นฉู่ให้ยอมศิโรราบจนไม่กล้าเหิมเกริมอีก และทวงคืนศักดิ์ศรีให้แก่องค์หญิงใหญ่ที่ต้องไปตายยังแคว้นฉู่ได้สำเร็จ นับเป็นข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เสด็จพ่อทรงขึ้นครองราชย์มา
และเวลานี้ก็เป็นเวลาที่แม่ทัพโจวใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ในวันที่หิมะตกหนัก เขาได้พบกับนางอีกครา หลังจากที่นางจากไปชายแดนตอนอายุแปดขวบปี เขาและนางก็ไม่ได้พบเจอกันอีก
โจวหว่านหรู
เมื่อคิดถึงโจวหว่านหรู หยางจิ่งก็รู้สึกเจ็บที่ใจของตนไม่น้อย ดวงตาของเขาแดงก่ำเมื่อหวนนึกถึงวันที่นางยอมเผาตนเองไปพร้อมกับตำหนักบูรพาแห่งนี้ จิตใจของเขาก็บีบรัดอย่างทรมาน หยางจิ่งทิ้งกายลงบนเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่หัวใจของตน หยดน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า
"องค์ชายใหญ่ องค์หญิงรองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"
เสียงเรียกของหวังซุนทำให้หยางจิ่งรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตน ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะ
หยางจินจินมาขอพบเขาหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หยางจิ่งจึงเอ่ยตอบออกไปทันที
"ให้นางเข้ามาได้"
ไม่นานนักเขาก็เห็นหยางจินจินเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทีที่ประหม่า ใบหน้างามไม่สู้ดีเท่าใดนัก
"หยางจินจิน มาพบข้ามีเรื่องใดหรือ?"
หยางจินจินมีท่าทีประหม่าไม่น้อย นางกำมือแน่น ก่อนเอ่ย
"เอ่อ หม่อมฉันได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าองค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้ว หม่อมฉันจึงมาขอรับโทษเพคะ องค์ชายใหญ่ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ไม่ทันระวังเพคะ ทำให้พระองค์ทรงล้มป่วย หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ"
หยางจินจินรีบคุกเข่าลงและโขกศีรษะลงกับพื้นทันที นางรู้ดีว่าเสด็จพี่ไม่ชอบนาง นางเป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางสนมชั้นต่ำศักดิ์ แต่ไหนแต่ไรนางก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวในวังหลวงแห่งนี้ เสด็จพ่อมีหยางจิ่งเป็นพระโอรสองค์โต และหยางเฉิงเป็นพระโอรสองค์รองที่เกิดจากฉินกุ้ยเฟย ส่วนนางสนมคนอื่น ๆ กลับให้กำเนิดองค์หญิงหลายพระองค์ ทว่ากลับล้มป่วยตายจากไปตั้งแต่แบเบาะ เหลือเพียงนางและพี่หญิงใหญ่เท่านั้นที่เติบใหญ่มาได้
พี่หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงที่เกิดจากซูเฟย พระสนมที่เสด็จพ่อทรงโปรดปราน เมื่อหนึ่งปีก่อนพี่หญิงใหญ่ต้องแต่งออกไปที่แคว้นฉู่เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่สุดท้ายกลับมาได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณ เนื่องจากตรอมใจที่สามีหลงอนุมากกว่าตน อีกทั้งยังหลอกใช้พี่หญิงใหญ่เป็นเครื่องมือหวังจะทำลายแคว้นเป่ยฉิน ยามเสด็จพ่อทราบเรื่องทรงกริ้วมาก จึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่โจวนำทัพไปบุกตีแคว้นฉู่ทันที สงครามยืดเยื้อเรื่อยมาจนกระทั่งแคว้นฉู่ไม่อาจสู้ได้อีก จึงยอมศิโรราบเป็นเมืองขึ้นให้แก่แคว้นเป่ยฉิน
วังหลวงแห่งนี้จึงเหลือเพียงนาง หยางจิ่ง และหยางเฉิง แต่เพราะหยางจิ่งเป็นคนถือตัว ไม่ชอบคบค้ากับคนต่ำศักดิ์กว่า เขาจึงไม่นับนางเป็นน้องสาว แม้นางจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิง แต่กลับมีชีวิตยากลำบากไม่น้อย สาวใช้บางคนไม่เคารพนาง อีกทั้งยังแอบนินทานาง เพียงเพราะนางไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ ส่วนหยางเฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจนางมากนัก วัน ๆ เขาเอาแต่อ่านตำราหาความรู้เพียงเท่านั้น
นางจำได้ หยางจิ่งเหยียบมือนาง และบอกกับนางว่า
คนเช่นเจ้าอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ไปตายเสียเถิด!!!
ทั้งที่เขาทำร้ายนาง แต่นางกลับต้องมาคุกเข่ารอรับโทษกับเขา เพียงเพราะเกรงว่าตนเองจะมีชีวิตอย่างยากลำบาก หากคิดแข็งข้อกับพี่ชายบ้าอำนาจผู้นี้
แม้นางจะเกลียดหยางจิ่ง แต่อย่างไรนี่ก็คือพี่ชายของนาง เมื่อได้ยินว่าเขาป่วยเพราะนาง นางก็ร้อนใจไม่น้อย พอรู้ว่าเขาฟื้นนางก็รีบวิ่งมาหาโดยไม่สนใจว่าเขาจะดุด่านางหรือไม่
หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจิน ภาพในชาติก่อนย้อนวนกลับมาอีกครา ราวกับต้องการจะตอกย้ำความเลวทรามที่เขาเคยกระทำกับน้องสาวผู้นี้
"องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่แต่งนะเพคะ หม่อมฉันไม่ไป"
"เจ้าก็เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากสนมชั้นต่ำ แต่งออกไปที่แคว้นฉีเสียจะได้เป็นกำลังเสริมให้ข้าในภายภาคหน้า เสด็จพ่อเองก็เห็นดีด้วยแล้ว เจ้าจะมาแหกปากร้องขอสิ่งใดกัน น่ารำคาญเสียจริง"
"ไม่!! องค์รัชทายาท แคว้นฉีขึ้นชื่อเรื่องชอบทุบตีและทารุณภรรยา หากหม่อมฉันแต่งไป หม่อมฉันย่อมต้องถูกทรมานจนตายเป็นแน่ อีกอย่างหม่อมฉันมีคนที่รักอยู่แล้ว เขากำลังจะมาแต่งงานกับหม่อมฉัน"
"เจ้าจะเป็นหรือตายย่อมไม่เกี่ยวกับข้า เจ้ามีสิทธิ์เพียงแค่ทำตามคำสั่งของข้าและเสด็จพ่อ ลากนางออกไป ล่ามโซ่นางเอาไว้ อย่าให้คิดหนีไปได้ และห้ามให้นางพบผู้ใดเด็ดขาด"
"องค์รัชทายาท ฮือ ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วย ฮือ องค์รัชทายาท!!!"
หลังจากหยางจินจินแต่งงานไปที่แคว้นฉี ข่าวคราวสุดท้ายที่เขาได้รับ ก็คือข่าวการตายของหยางจินจิน นางถูกองค์ชายแคว้นฉีผู้เป็นสามีใช้เชือกรัดคอจนตายในคืนเข้าหอ เพราะนางไม่ยินยอมหลับนอนกับเขา
หยางจิ่งรู้สึกจุกในอก คนชั่วช้าเช่นเขากลับทำร้ายแม้กระทั่งน้องสาวที่เหลือเพียงคนเดียวของตนได้ลงคอ เขากลับส่งนางไปตายอย่างเลือดเย็น
"จินเอ๋อร์"
"เอ๋?"
หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหยางจิ่ง พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางจ้องมองหยางจิ่งราวกับเห็นผี
เรียกเช่นนี้หรือว่ากำลังคิดจะทรมานนางจนตาย!!!
หยางจิ่งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เขาก็ไม่โทษหยางจินจิน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำดีกับนางอยู่แล้ว
"ทำไม ข้าเรียกเจ้าว่าจินเอ๋อร์ไม่ได้หรือ?"
"ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า เอ่อ องค์ชายใหญ่ คือว่า? พระองค์ถูกผีสิงหรือเพคะ"
หยางจิ่งพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ด่าทอหยางจินจิน เขาส่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
"ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ข้าไม่ลงโทษเจ้า"
"จริงหรือเพคะ"
"จริงสิ"
หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความหวาดระแวง พลางครุ่นคิดในใจ
ผีในสระบัวเข้าสิงเป็นแน่!!! ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ยามปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว นี่ยังมีผีมาสิงอีก!!!
หยางจิ่งพยายามมองข้ามสายตาหวาดระแวงของหยางจินจินไปเสีย ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"ขอบใจเจ้ามากที่มาเยี่ยมข้า"
หยางจินจินตกใจอีกครา นางรู้สึกคล้ายกับว่าหยางจิ่งดูแปลกไป นางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเขาออกไป
"เอ่อ องค์ชายไม่ด่าหม่อมฉันหรือเพคะ?"
"อยากด่าเหมือนกัน แต่เวทนาเจ้ามากกว่า"
หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย หยางจินจินแม้จะมีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดอีก
หยางจิ่งจ้องมองร่างกายผอมบางของน้องสาวตนแล้วรู้สึกปวดใจไม่น้อย เขาจำได้ว่าหยางจินจินมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก นางไม่มีมารดาคอยค้ำจุน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมองดูสีหน้าของผู้อื่น
"มานั่งนี่สิ"
"เอ่อ"
"ไม่ต้องกลัว มานั่งข้าง ๆ ข้า"
หยางจินจินพยักหน้า ก่อนจะเดินมาทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ หยางจิ่ง
"ต่อไปไม่ต้องมากพิธีกับข้า ไม่ต้องเอ่ยวาจาห่างเหินกับข้า เราคือพี่น้องกัน"
"ฮะ?"
หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความสับสน แววตาที่เขามองนางดูอ่อนโยนไม่มีความรังเกียจเฉกเช่นแต่ก่อนเลย นางรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยถามเขาออกไป
"ข้าเรียกพระองค์ว่า เสด็จพี่ได้จริง ๆ หรือเพคะ?"
"ได้สิ"
"เสด็จพี่"
"สงสัยหรือ?"
"เอ่อ หากท่านเป็นข้าก็ต้องสงสัยเหมือนกัน ทุกคราท่านคอยด่าข้า เอ่อ ข้าไม่พูดแล้ว"
หยางจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันหยางจินจินอยู่ไม่น้อย หยางจินจินเองก็ไม่รู้สึกเกร็งอีกแล้ว นางจึงเอ่ยสนทนากับเขาโดยใช้คำปกติทั่วไป
หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจินก่อนจะเอ่ย
"ยามที่ข้าป่วย ข้าผ่านความตายมา ทำให้ได้เข้าใจว่าชีวิตคนเรามันสั้น จินเอ๋อร์ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำเรื่องให้เจ้าต้องลำบากอีก"
"จริงหรือเพคะ?"
"อืม"
"ท่านคือเสด็จพี่ของข้าจริงหรือ ไม่ใช่ผีมาสิงแน่นะ?"
"จินเอ๋อร์ ข้าเริ่มอยากด่าเจ้าขึ้นมาแล้วสิ"
หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี พลางล้วงหยิบของบางอย่างในแขนเสื้อส่งให้หยางจิ่ง
"เสด็จพี่ นี่คือยันต์คุ้มครอง ข้าได้มันมาจากไต้ซือมีชื่อผู้หนึ่งยามที่ตามฉินกุ้ยเฟยไปไหว้พระที่วัดไป๋หวา หากเสด็จพี่ไม่รังเกียจ ช่วยรับไว้ได้หรือไม่เพคะ"
หยางจิ่งจ้องมองยันต์เก่า ๆ ในมือของหยางจินจินคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้อย่างไม่รังเกียจ
"ได้ ข้าจะเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี"
"ข้าชอบเสด็จพี่ที่ใจดีเช่นนี้ที่สุดเลย"
หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหยิบจานขนมส่งให้น้องสาวของตน
"ข้ามอบขนมกุ้ยฮวาจานนี้ให้เจ้า ต่อไปหากเจ้าหิว ก็มาที่ตำหนักของข้าได้เสมอ"
"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่ อีกเดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว"
"เจ้าไปเถิด"
"เพคะ เสด็จพี่รีบ ๆ หายนะเพคะ"
"อืม"
หยางจิ่งมองหยางจินจินเดินจากไปจนลับสายตา ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
ชาติที่แล้วเพราะหลงเชื่อคนชั่ว ทำให้ข้าทำร้ายน้องสาวเช่นเจ้าได้อย่างไร้ความปรานี
จินเอ๋อร์ ชาตินี้พี่จะปกป้องเจ้าเอง พี่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก
เขาทิ้งกายลงนอนพักอีกครา พลางครุ่นคิดว่าอีกไม่นานตระกูลโจวก็จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจะได้พบกับนางอีกครา
ครานี้เขาจะไม่ปล่อยให้นางจากเขาไปอีกเป็นอันขาด
โจวหว่านหรู เจ้ารอข้าก่อนนะ
ข้าจะต้องไปพบเจ้าอีกคราให้ได้
ข้าจะทำให้การพบกันของเราในชาตินี้น่าจดจำ และเป็นความทรงจำที่ดีของเจ้าไปตลอดกาล
ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่
ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า
โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ
เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห
ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย
หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย