Share

ตอนที่ 2 ฟื้น

last update Terakhir Diperbarui: 2025-04-21 15:28:26

ตำหนักบูรพา

หลายวันก่อนหน้าที่ตระกูลโจวจะกลับเมืองหลวงหนึ่งเดือน

"แคก ๆ องค์ชาย องค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ เร็วเข้ารีบตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!!!"

เสียงร้องเรียกของหวังซุน องครักษ์ผู้ทำหน้าที่คอยรับใช้หยางจิ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความดีใจ เมื่อพบว่ายามนี้เจ้านายของตนได้สติกลับมาแล้ว 

ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เมื่อตรวจดูอาการหยางจิ่งต่ออีกสักครู่ ก็มีสีหน้าที่คลายความกังวลลงไปไม่น้อย

"ยามนี้ไอเย็นถูกขับออกหมดแล้ว องค์ชายใหญ่ทรงปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อย ๆ หันไปมองหมอหลวงคราหนึ่ง ก่อนแววตาของเขาจะหยุดลงที่หวังซุน องครักษ์ที่ภักดีกับเขาเป็นที่สุด

ภาพในกาลก่อนฉายชัดขึ้นมาในห้วงความคิดของเขา

"องค์รัชทายาท ต่อให้พระองค์จะทรงสังหารกระหม่อม กระหม่อมก็ต้องเอ่ยเตือนพระองค์ คนผู้นั้นคิดไม่ซื่อ เขาหวังจะช่วงชิงตำแหน่งของพระองค์"

"หุบปาก!!! ข้าไม่เชื่อเจ้า เจ้ากำลังดูหมิ่นราชวงศ์ของข้าหวังซุน ทหาร ลากมันไปโบยจนตาย!!!"

"องค์รัชทายาทโปรดเชื่อกระหม่อมด้วยเถิด องค์รัชทายาท!!!"

หยางจิ่งหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาคราหนึ่ง ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครา ก่อนจะมองไปโดยรอบอีกครั้ง

ช้าก่อน!!! นี่มันเรื่องใดกัน?

หวังซุนตายไปแล้วมิใช่หรือ แล้วเหตุใดยามนี่จึงยังยืนอยู่ข้างกายเขาได้เล่า 

เขาเองก็ตายไปแล้วเช่นเดียวกันนี่นา?

หรือว่าที่นี่คือโลกหลังความตาย?

หยางจิ่งพลันลนลานสับสน ความรู้สึกปวดหนึบทั่วทั้งศีรษะทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น หวังซุนที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงรีบรุดเข้ามาหาเจ้านายของตนทันที

"องค์ชาย เป็นความผิดของกระหม่อมเองที่ละเลยต่อหน้าที่"

"หวังซุน นี่มันเรื่องใดกัน?"

หวังซุนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางครุ่นคิดว่าคงเพราะอาการไข้เพิ่งจะหายดี องค์ชายจึงมีพระอาการหลง ๆ ลืม ๆ เช่นนี้

"ทูลองค์ชายใหญ่ หลายวันก่อนองค์หญิงรองหยางจินจินวิ่งตามผีเสื้อเข้าไปในสวนดอกเหมย แต่ทว่าเพราะฝนตกพื้นลื่น องค์หญิงจึงตกลงไปในสระบัวท้ายวังหลวง องค์ชายใหญ่ทรงเห็นเข้าพอดี จึงรีบ...เอ่อ รีบเข้าไปหาองค์หญิงรอง ก่อนจะยกเท้าเหยียบมือนางที่กำลังขอความช่วยเหลือ แต่เพราะพระองค์ทรงดื่มสุราไปไม่น้อย เกิดทรงตัวไม่อยู่ลื่นตกสระน้ำไปอีกคน และเพราะอากาศหนาวเกินไป พระองค์ที่ถูกเหล่าทหารช่วยขึ้นมาจากน้ำเกิดล้มป่วยหนัก จนไม่ได้สติร่วมหลายวันพ่ะย่ะค่ะ"

หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ราวกับมีไม้หนัก ๆ มาทุบตีที่ศีรษะของเขา เขายกมือตนเองขึ้นมาดู ก่อนจะลุกขึ้นนั่งและใช้กำปั้นชกเข้าไปที่หน้ากระจกบนหัวเตียง โลหิตจากหลังมือไหลเป็นทางยาว สร้างความตกใจให้แก่หวังซุนเป็นอย่างยิ่ง

ให้ตายเถิด!!! องค์ชายใหญ่ทรงคลุ้มคลั่งอีกแล้ว

"องค์ชาย!!!"

แต่ทว่าหยางจิ่งกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะในลำคอ 

หึ ๆ สวรรค์!!! นี่มัน

"หวังซุน"

"พ่ะย่ะค่ะ"

"ปีนี้ปีที่เท่าใด"

"เอ๋?"

"เสด็จพ่อครองราชย์ปีที่เท่าใด"

"ปีที่ยี่สิบห้าพ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย พระองค์ทรงจำไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?"

หยางจิ่งไม่ตอบ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเผือดเพราะพิษไข้ เขายกมือขึ้นก่อนจะให้หวังซุนและคนอื่น ๆ ออกไปจนหมด หวังซุนแม้จะเป็นห่วงหยางจิ่ง แต่ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง ทำได้เพียงออกไปยืนอยู่นอกตำหนักตามที่หยางจิ่งสั่ง

เมื่อยามนี้เหลือตนเองเพียงลำพังแล้ว เขาก็เริ่มจับต้นชนปลายเรื่องราวต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นขึ้น

รัชศกหลิงไท่ปีที่ยี่สิบห้า ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงองค์ชายใหญ่ที่ยังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท

เมื่อหนึ่งเดือนก่อน ชินอ๋องหยางหลิงฉี เสด็จอาของเขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากแคว้นเยี่ยน เนื่องจากเสด็จอานำทัพออกศึกบุกประชิดแคว้นเยี่ยน และสามารถนำชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนไม่อยากสูญเสียเมืองจึงยอมจำนน จึงส่งตัวเจียงหมิงเจ๋อ น้องชายต่างมารดามาเป็นตัวประกันที่แคว้นเป่ยฉินของเขา

และในเวลาเดียวกันนี้ที่ชายแดนแคว้นฉู่ แม่ทัพใหญ่โจวก็ได้รับชัยชนะเช่นเดียวกัน สามารถปราบเหล่ากบฏแคว้นฉู่ให้ยอมศิโรราบจนไม่กล้าเหิมเกริมอีก และทวงคืนศักดิ์ศรีให้แก่องค์หญิงใหญ่ที่ต้องไปตายยังแคว้นฉู่ได้สำเร็จ นับเป็นข่าวดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เสด็จพ่อทรงขึ้นครองราชย์มา

และเวลานี้ก็เป็นเวลาที่แม่ทัพโจวใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว

ในวันที่หิมะตกหนัก เขาได้พบกับนางอีกครา หลังจากที่นางจากไปชายแดนตอนอายุแปดขวบปี เขาและนางก็ไม่ได้พบเจอกันอีก

โจวหว่านหรู

เมื่อคิดถึงโจวหว่านหรู หยางจิ่งก็รู้สึกเจ็บที่ใจของตนไม่น้อย ดวงตาของเขาแดงก่ำเมื่อหวนนึกถึงวันที่นางยอมเผาตนเองไปพร้อมกับตำหนักบูรพาแห่งนี้ จิตใจของเขาก็บีบรัดอย่างทรมาน หยางจิ่งทิ้งกายลงบนเตียง ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับที่หัวใจของตน หยดน้ำตาไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า

"องค์ชายใหญ่ องค์หญิงรองขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

เสียงเรียกของหวังซุนทำให้หยางจิ่งรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของตน ก่อนจะชะงักไปชั่วขณะ 

หยางจินจินมาขอพบเขาหรือ?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หยางจิ่งจึงเอ่ยตอบออกไปทันที

"ให้นางเข้ามาได้"

ไม่นานนักเขาก็เห็นหยางจินจินเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทีที่ประหม่า ใบหน้างามไม่สู้ดีเท่าใดนัก

"หยางจินจิน มาพบข้ามีเรื่องใดหรือ?"

หยางจินจินมีท่าทีประหม่าไม่น้อย นางกำมือแน่น ก่อนเอ่ย

"เอ่อ หม่อมฉันได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าองค์ชายใหญ่ทรงฟื้นแล้ว หม่อมฉันจึงมาขอรับโทษเพคะ องค์ชายใหญ่ เป็นความผิดของหม่อมฉันเองที่ไม่ทันระวังเพคะ ทำให้พระองค์ทรงล้มป่วย หม่อมฉันยินดีรับโทษเพคะ"

หยางจินจินรีบคุกเข่าลงและโขกศีรษะลงกับพื้นทันที นางรู้ดีว่าเสด็จพี่ไม่ชอบนาง นางเป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากนางสนมชั้นต่ำศักดิ์ แต่ไหนแต่ไรนางก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวในวังหลวงแห่งนี้ เสด็จพ่อมีหยางจิ่งเป็นพระโอรสองค์โต และหยางเฉิงเป็นพระโอรสองค์รองที่เกิดจากฉินกุ้ยเฟย ส่วนนางสนมคนอื่น ๆ กลับให้กำเนิดองค์หญิงหลายพระองค์ ทว่ากลับล้มป่วยตายจากไปตั้งแต่แบเบาะ เหลือเพียงนางและพี่หญิงใหญ่เท่านั้นที่เติบใหญ่มาได้

พี่หญิงใหญ่เป็นองค์หญิงที่เกิดจากซูเฟย พระสนมที่เสด็จพ่อทรงโปรดปราน เมื่อหนึ่งปีก่อนพี่หญิงใหญ่ต้องแต่งออกไปที่แคว้นฉู่เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี แต่สุดท้ายกลับมาได้เพียงร่างที่ไร้วิญญาณ เนื่องจากตรอมใจที่สามีหลงอนุมากกว่าตน อีกทั้งยังหลอกใช้พี่หญิงใหญ่เป็นเครื่องมือหวังจะทำลายแคว้นเป่ยฉิน ยามเสด็จพ่อทราบเรื่องทรงกริ้วมาก จึงสั่งให้แม่ทัพใหญ่โจวนำทัพไปบุกตีแคว้นฉู่ทันที สงครามยืดเยื้อเรื่อยมาจนกระทั่งแคว้นฉู่ไม่อาจสู้ได้อีก จึงยอมศิโรราบเป็นเมืองขึ้นให้แก่แคว้นเป่ยฉิน

วังหลวงแห่งนี้จึงเหลือเพียงนาง หยางจิ่ง และหยางเฉิง แต่เพราะหยางจิ่งเป็นคนถือตัว ไม่ชอบคบค้ากับคนต่ำศักดิ์กว่า เขาจึงไม่นับนางเป็นน้องสาว แม้นางจะได้ชื่อว่าเป็นองค์หญิง แต่กลับมีชีวิตยากลำบากไม่น้อย สาวใช้บางคนไม่เคารพนาง อีกทั้งยังแอบนินทานาง เพียงเพราะนางไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่อและเสด็จพี่ ส่วนหยางเฉิงก็ไม่ได้ใส่ใจนางมากนัก วัน ๆ เขาเอาแต่อ่านตำราหาความรู้เพียงเท่านั้น

นางจำได้ หยางจิ่งเหยียบมือนาง และบอกกับนางว่า

คนเช่นเจ้าอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ไปตายเสียเถิด!!!

ทั้งที่เขาทำร้ายนาง แต่นางกลับต้องมาคุกเข่ารอรับโทษกับเขา เพียงเพราะเกรงว่าตนเองจะมีชีวิตอย่างยากลำบาก หากคิดแข็งข้อกับพี่ชายบ้าอำนาจผู้นี้

แม้นางจะเกลียดหยางจิ่ง แต่อย่างไรนี่ก็คือพี่ชายของนาง เมื่อได้ยินว่าเขาป่วยเพราะนาง นางก็ร้อนใจไม่น้อย พอรู้ว่าเขาฟื้นนางก็รีบวิ่งมาหาโดยไม่สนใจว่าเขาจะดุด่านางหรือไม่

หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจิน ภาพในชาติก่อนย้อนวนกลับมาอีกครา ราวกับต้องการจะตอกย้ำความเลวทรามที่เขาเคยกระทำกับน้องสาวผู้นี้

"องค์รัชทายาท หม่อมฉันไม่แต่งนะเพคะ หม่อมฉันไม่ไป"

"เจ้าก็เป็นเพียงองค์หญิงที่เกิดจากสนมชั้นต่ำ แต่งออกไปที่แคว้นฉีเสียจะได้เป็นกำลังเสริมให้ข้าในภายภาคหน้า เสด็จพ่อเองก็เห็นดีด้วยแล้ว เจ้าจะมาแหกปากร้องขอสิ่งใดกัน น่ารำคาญเสียจริง"

"ไม่!! องค์รัชทายาท แคว้นฉีขึ้นชื่อเรื่องชอบทุบตีและทารุณภรรยา หากหม่อมฉันแต่งไป หม่อมฉันย่อมต้องถูกทรมานจนตายเป็นแน่ อีกอย่างหม่อมฉันมีคนที่รักอยู่แล้ว เขากำลังจะมาแต่งงานกับหม่อมฉัน"

"เจ้าจะเป็นหรือตายย่อมไม่เกี่ยวกับข้า เจ้ามีสิทธิ์เพียงแค่ทำตามคำสั่งของข้าและเสด็จพ่อ ลากนางออกไป ล่ามโซ่นางเอาไว้ อย่าให้คิดหนีไปได้ และห้ามให้นางพบผู้ใดเด็ดขาด"

"องค์รัชทายาท ฮือ ได้โปรดเมตตาหม่อมฉันด้วย ฮือ องค์รัชทายาท!!!"

หลังจากหยางจินจินแต่งงานไปที่แคว้นฉี ข่าวคราวสุดท้ายที่เขาได้รับ ก็คือข่าวการตายของหยางจินจิน นางถูกองค์ชายแคว้นฉีผู้เป็นสามีใช้เชือกรัดคอจนตายในคืนเข้าหอ เพราะนางไม่ยินยอมหลับนอนกับเขา

หยางจิ่งรู้สึกจุกในอก คนชั่วช้าเช่นเขากลับทำร้ายแม้กระทั่งน้องสาวที่เหลือเพียงคนเดียวของตนได้ลงคอ เขากลับส่งนางไปตายอย่างเลือดเย็น

"จินเอ๋อร์"

"เอ๋?"

หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองหยางจิ่ง พลันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางจ้องมองหยางจิ่งราวกับเห็นผี 

เรียกเช่นนี้หรือว่ากำลังคิดจะทรมานนางจนตาย!!!

หยางจิ่งรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่เขาก็ไม่โทษหยางจินจิน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยทำดีกับนางอยู่แล้ว

"ทำไม ข้าเรียกเจ้าว่าจินเอ๋อร์ไม่ได้หรือ?"

"ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ว่า เอ่อ องค์ชายใหญ่ คือว่า? พระองค์ถูกผีสิงหรือเพคะ"

หยางจิ่งพยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้ด่าทอหยางจินจิน เขาส่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย

"ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ข้าไม่ลงโทษเจ้า"

"จริงหรือเพคะ"

"จริงสิ"

หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความหวาดระแวง พลางครุ่นคิดในใจ

ผีในสระบัวเข้าสิงเป็นแน่!!! ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ยามปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว นี่ยังมีผีมาสิงอีก!!!

หยางจิ่งพยายามมองข้ามสายตาหวาดระแวงของหยางจินจินไปเสีย ก่อนจะเอ่ยกับนาง

"ขอบใจเจ้ามากที่มาเยี่ยมข้า"

หยางจินจินตกใจอีกครา นางรู้สึกคล้ายกับว่าหยางจิ่งดูแปลกไป นางจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถามเขาออกไป

"เอ่อ องค์ชายไม่ด่าหม่อมฉันหรือเพคะ?"

"อยากด่าเหมือนกัน แต่เวทนาเจ้ามากกว่า"

หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย หยางจินจินแม้จะมีความสงสัยมากมายอยู่ในใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใดอีก

หยางจิ่งจ้องมองร่างกายผอมบางของน้องสาวตนแล้วรู้สึกปวดใจไม่น้อย เขาจำได้ว่าหยางจินจินมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก นางไม่มีมารดาคอยค้ำจุน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการมองดูสีหน้าของผู้อื่น

"มานั่งนี่สิ"

"เอ่อ"

"ไม่ต้องกลัว มานั่งข้าง ๆ ข้า"

หยางจินจินพยักหน้า ก่อนจะเดินมาทิ้งกายลงนั่งข้าง ๆ หยางจิ่ง 

"ต่อไปไม่ต้องมากพิธีกับข้า ไม่ต้องเอ่ยวาจาห่างเหินกับข้า เราคือพี่น้องกัน"

"ฮะ?"

หยางจินจินจ้องมองหยางจิ่งด้วยความสับสน แววตาที่เขามองนางดูอ่อนโยนไม่มีความรังเกียจเฉกเช่นแต่ก่อนเลย นางรวบรวมความกล้า ก่อนจะเอ่ยถามเขาออกไป

"ข้าเรียกพระองค์ว่า เสด็จพี่ได้จริง ๆ หรือเพคะ?"

"ได้สิ"

"เสด็จพี่"

"สงสัยหรือ?"

"เอ่อ หากท่านเป็นข้าก็ต้องสงสัยเหมือนกัน ทุกคราท่านคอยด่าข้า เอ่อ ข้าไม่พูดแล้ว"

หยางจิ่งที่เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกขบขันหยางจินจินอยู่ไม่น้อย หยางจินจินเองก็ไม่รู้สึกเกร็งอีกแล้ว นางจึงเอ่ยสนทนากับเขาโดยใช้คำปกติทั่วไป 

หยางจิ่งจ้องมองหยางจินจินก่อนจะเอ่ย

"ยามที่ข้าป่วย ข้าผ่านความตายมา ทำให้ได้เข้าใจว่าชีวิตคนเรามันสั้น จินเอ๋อร์ ต่อไปนี้ข้าจะไม่ทำเรื่องให้เจ้าต้องลำบากอีก"

"จริงหรือเพคะ?"

"อืม"

"ท่านคือเสด็จพี่ของข้าจริงหรือ ไม่ใช่ผีมาสิงแน่นะ?"

"จินเอ๋อร์ ข้าเริ่มอยากด่าเจ้าขึ้นมาแล้วสิ"

หยางจินจินที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือขึ้นปิดปากตนคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มตาหยี พลางล้วงหยิบของบางอย่างในแขนเสื้อส่งให้หยางจิ่ง

"เสด็จพี่ นี่คือยันต์คุ้มครอง ข้าได้มันมาจากไต้ซือมีชื่อผู้หนึ่งยามที่ตามฉินกุ้ยเฟยไปไหว้พระที่วัดไป๋หวา หากเสด็จพี่ไม่รังเกียจ ช่วยรับไว้ได้หรือไม่เพคะ"

หยางจิ่งจ้องมองยันต์เก่า ๆ ในมือของหยางจินจินคราหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับมันมาถือเอาไว้อย่างไม่รังเกียจ

"ได้ ข้าจะเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี"

"ข้าชอบเสด็จพี่ที่ใจดีเช่นนี้ที่สุดเลย"

หยางจิ่งยิ้มให้หยางจินจินเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือไปหยิบจานขนมส่งให้น้องสาวของตน

"ข้ามอบขนมกุ้ยฮวาจานนี้ให้เจ้า ต่อไปหากเจ้าหิว ก็มาที่ตำหนักของข้าได้เสมอ"

"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพี่ อีกเดี๋ยวข้าต้องไปแล้ว"

"เจ้าไปเถิด"

"เพคะ เสด็จพี่รีบ ๆ หายนะเพคะ"

"อืม"

หยางจิ่งมองหยางจินจินเดินจากไปจนลับสายตา ก่อนจะครุ่นคิดในใจ

ชาติที่แล้วเพราะหลงเชื่อคนชั่ว ทำให้ข้าทำร้ายน้องสาวเช่นเจ้าได้อย่างไร้ความปรานี

จินเอ๋อร์ ชาตินี้พี่จะปกป้องเจ้าเอง พี่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าได้อีก

เขาทิ้งกายลงนอนพักอีกครา พลางครุ่นคิดว่าอีกไม่นานตระกูลโจวก็จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว เขาจะได้พบกับนางอีกครา

ครานี้เขาจะไม่ปล่อยให้นางจากเขาไปอีกเป็นอันขาด

โจวหว่านหรู เจ้ารอข้าก่อนนะ

ข้าจะต้องไปพบเจ้าอีกคราให้ได้ 

ข้าจะทำให้การพบกันของเราในชาตินี้น่าจดจำ และเป็นความทรงจำที่ดีของเจ้าไปตลอดกาล

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   ตอนพิเศษ

    ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   บทที่ 66

    ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   บทที่ 65

    โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   บทที่ 64

    เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   บทที่ 63

    ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย

  • ดั่งบุปผา ดุจจันทรา   บทที่ 62

    หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status