เจียงหมิงเจ๋อคล้ายรับรู้ได้ถึงสายตาของใครบางคนที่กำลังพุ่งเป้ามาที่ตน เขาจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาของคนทั้งสองสบประสานกันในชั่วขณะนั้น โจวหว่านหรูพลันใจเต้นตึกตักจนแทบควบคุมตนเองไม่ได้ นางรีบเก็บสายตาของตนกลับคืนทันที
หากบอกว่าคนผู้นั้นที่ก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์น่ากลัวแล้ว คนที่น่ากลัวกว่าคนผู้นั้นก็คือเจียงหมิงเจ๋อ!!!
หลังจากที่เจียงหมิงเจ๋อหนีออกไปจากแคว้นเป่ยฉินได้สำเร็จ นางไม่รู้เลยว่าเขาไปอยู่ที่ใด ยามที่เขายังอยู่ในวังหลวงนางได้พบกับเขาอยู่บ่อยครั้ง ในตอนนั้นนางคิดว่าเขาช่างน่าสงสารเหลือเกิน แต่ทว่าเมื่อได้รับรู้ถึงความเจ้าเล่ห์ของเขา นางจึงได้รู้ว่าคนผู้นี้ช่างเสแสร้งแกล้งทำได้อย่างแนบเนียนจนน่าตกใจ
เจียงหมิงเจ๋อปรายตามองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปพร้อมแม่นมที่คอยประคองเขา เมื่อลับสายตาผู้คน เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางคิดถึงสายตาที่โจวหว่านหรูมองตนเมื่อครู่นี้ด้วยความสงสัย
เหตุใดแววตาของนางที่มองเขาจึงมีแต่ความหวาดกลัวและระแวดระวังเช่นนั้นเล่า?
หรือนางจะรู้ว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด?
เป็นไปไม่ได้!!! ได้ยินว่านางคือเหล่าคุณหนูที่ถูกเรียกตัวเข้ามาคัดเลือกเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงรองมิใช่หรือ?
หากเป็นคุณหนูที่อยู่แต่ในห้องนอน ก็คงไม่มีทางล่วงรู้เรื่องภายนอกจวนของตนเป็นแน่
แต่เขารู้สึกว่าสายตาของนางแปลก ๆ
แปลกที่ใดเขาเองก็คาดเดาไม่ถูก
ด้านโจวหว่านหรูที่เข้ามาถึงด้านในของวังหลวงแล้ว ก็รีบนำข้าวของไปเก็บตามที่ขันทีบอก พวกนางถูกจัดให้พักอยู่ที่เรือนรับรองขนาดใหญ่ ห้องหนึ่งสามารถพักได้สองคน โจวหว่านหรูได้พักอยู่กับ มู่จั่วหลาน หลานสาวของราชครูมู่
โจวหว่านหรูคุ้นเคยกับสตรีนางนี้ดี ชาติที่แล้วนางคือพระชายาเอกขององค์ชายรอง หยางเฉิง
หยางเฉิง บุรุษที่ทำให้นางต้องเผาตนเองจนตายในตำหนักบูรพา!!!
เขาคือคนผู้นั้น!!!
เรื่องการเมืองเดิมทีนางก็ไม่รู้มากนัก รู้เพียงว่าหยางเฉิงคือคนที่ก่อกบฏ หลังจากฮ่องเต้หยางหลิงไท่สวรรคตได้เพียงสามวัน เขาก็เข่นฆ่าคนที่ไม่ยอมจงรักภักดี หยางจิ่งยังไม่ทันได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เลยด้วยซ้ำ แผ่นดินแคว้นเป่ยฉินก็เกิดการนองเลือดเสียแล้ว
เขาบีบให้นางเลือก ระหว่างอยู่หรือตาย!!! ท้ายที่สุดนางเลือกความตาย ไม่เลือกที่จะยอมสวามิภักดิ์ให้เขา
ตระกูลโจวของนางซื่อสัตย์ภักดี ย่อมไม่มีทางเข้าข้างกบฏชั่วเช่นหยางเฉิง
เขาสั่งให้คนขังนางเอาไว้ในตำหนักบูรพา ยามนั้นเองที่นางได้ล่วงรู้ว่าคนที่หยางเฉิงสมคบคิดมาทำลายบ้านเมืองของตนเองนั่นก็คือเจียงหมิงเจ๋อ
ฮ่องเต้เจียงหมิงเจ๋อ ผู้ที่หนีออกจากแคว้นเป่ยฉินและยกทัพบุกเข้าไปสังหารพี่ชายของตนเองเพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์แคว้นเยี่ยน ท้ายที่สุดเขาก็สามารถสังหารพี่ชายตนได้สำเร็จ
เบื้องหน้าเขาแสร้งว่าป่วยหนัก นางเองก็เคยสงสารเขา แต่ยามนี้นางรู้สึกหวาดกลัวเขายิ่งนัก
บุรุษที่ตีสองหน้าได้เก่งกาจเช่นเจียงหมิงเจ๋อย่อมไม่ใช่คนดีอะไร
แล้วเจียงหมิงเจ๋อและหยางเฉิงร่วมมือกันได้เช่นไรนั้น นางก็ไม่รู้เช่นกัน
และนางเองก็ไม่รู้ว่าชาตินี้นางจะเริ่มแก้ปัญหานี้ตรงที่ใดดี
การจะบอกเรื่องราวในชาติก่อนกับใครบางคนย่อมดูเป็นเรื่องเหลวไหล ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ท่านแม่ เฉินป๋อเหวิน ย่อมไม่เชื่อนางเป็นแน่ อีกทั้งหากพูดไปเรื่อยเปื่อยไม่มีหลักฐาน อาจจะกลายเป็นตัวนางเองที่เดือดร้อนเอาได้ อีกทั้งอาจจะพาตระกูลโจวให้พบเจอกับหายนะไปด้วย
ส่วนหยางจิ่งน่ะหรือ เขาโง่งมเช่นนั้น นางคงไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับเขา ที่แคว้นเป่ยฉินต้องตกอยู่ในกลียุคก็เพราะมีองค์รัชทายาทเช่นเขาที่ไร้ความสามารถ
โจวหว่านหรูคร้านจะคิดสิ่งใดอีก ยามนี้นางเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว บางคราอาจจะได้เบาะแสใดมาบ้างก็ได้ นางจะใจร้อนเกินไปไม่ได้ ต้องระแวดระวังตนเองจึงจะดีที่สุด
มู่จั่วหลานที่เก็บของของตนเข้าที่เรียบร้อยแล้ว จึงหันมามองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง พลางรู้สึกริษยาไม่น้อย
ได้ยินว่าสตรีนางนี้ไปอยู่ที่ชายแดนตั้งแต่วัยเยาว์ เดิมทีคิดว่าจะมีสภาพดูไม่ได้ ไม่รู้กฎระเบียบ ผิวพรรณไม่น่ามอง เทียบไม่ติดกับคุณหนูที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมืองหลวง แต่กลับตรงกันข้าม โจวหว่านหรูช่างงดงามน่ามองเหลือเกิน หากบอกว่านางงามแล้ว โจวหว่านหรูย่อมงามกว่า
แน่นอนว่าการที่มีสตรีงดงามมารวมตัวกันอยู่ในวังหลวงย่อมเกิดการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เหล่าคุณหนูที่เข้าวังมาย่อมใฝ่สูงมากกว่านั้น แท้จริงตำแหน่งพระสหายเล่าเรียนนั้นเป็นเพียงบันไดขั้นแรกเท่านั้น แต่ทว่าตำแหน่งชายาเอกขององค์ชายต่างหากคือบันไดขั้นต่อไปที่พวกนางหมายตาเอาไว้
ยิ่งได้อยู่ในวังหลวงนานเท่าใด อาจทำให้ได้พบเจอองค์ชาย นี่คือสิ่งที่พวกนางต้องการ ผู้ใดบ้างจะไม่อยากนั่งอยู่บนอำนาจที่สูงส่ง
โจวหว่านหรูที่รู้ตัวว่าถูกจ้องมองจึงหันไปมองมู่จั่วหลานคราหนึ่ง ก่อนจะส่งยิ้มให้เล็กน้อย แต่ทว่ามู่จั่วหลานกลับไม่ยิ้มตอบนาง อีกทั้งยังเอ่ยวาจาไม่น่าฟังกับนางอีกด้วย
"ข้าไม่คิดว่าจะได้พักอยู่ห้องเดียวกับเจ้า อย่าไรเสียเจ้าก็ระมัดระวังหน่อยก็แล้วกัน ของของข้าราคาแพงมากนัก เจ้าอยู่ชายแดนแต่เยาว์วัยคงจะไม่เคยเห็นของมีค่าเหล่านี้ ข้าเข้าใจ ได้ยินมาว่ายามอยู่ที่ชายแดนเจ้ามีชีวิตลำบากไม่น้อย ใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าชาวบ้าน ข้าเห็นใจเจ้านะ ชายแดนยากแค้น ย่อมไม่มีสิ่งดี ๆ อันใดให้เจ้าได้เรียนรู้"
"เจ้ากำลังกล่าวหาว่าข้าคิดอยากได้ของของเจ้าเช่นนั้นหรือ?"
โจวหว่านหรูเอ่ยถามมู่จั่วหลานด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม มู่จั่วหลานที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ย
"ข้าเพียงเอ่ยความจริง หรือว่าเจ้ารับความจริงไม่ได้"
โจวหว่านหรูพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
"อืม นั่นสินะ มู่จั่วหลาน ข้าไม่สนใจของมีค่าของเจ้าหรอกนะ ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดน เห็นผู้คนอดอยาก ลำบากมาไม่น้อย เห็นการตายและการพลัดพรากมาจนชินตา ข้าไม่ใส่ใจกับของมีค่าจอมปลอมพวกนี้หรอก ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้นะ เจ้าอยู่เมืองหลวงใช้ชีวิตสุขสบาย มีเหล่าทหารแดนหน้าคอยคุ้มครอง เจ้าไม่เคยรู้ว่าพวกเขาลำบากกันมาก ส่วนเจ้ากลับเชิดหน้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แล้วยังมาเอ่ยวาจาไม่น่าฟังกับข้าอีก ข้าเกิดในตระกูลแม่ทัพ ย่อมไม่ขาดแคลนของมีค่าเช่นเจ้า ข้าอยู่ชายแดนก็ไม่เคยมีชีวิตที่ยากแค้นอย่างที่เจ้าว่า อีกอย่างที่ชายแดนมีสิ่งดี ๆ มากมายให้ข้าได้เรียนรู้ไม่ต่างจากเมืองหลวง ผู้คนก็มีมรรยาท ไม่ใช่เปลือกนอกเสแสร้งแกล้งทำแต่ด้านในเหม็นเน่า ท่านพ่อและพี่ใหญ่ของข้าช่วยรักษาความสงบสุขให้ผู้คนทั่วใต้หล้า ของทุกชิ้นที่ได้มาข้าล้วนแบ่งปันให้คนยากไร้ อยู่ร่วมกับเหล่าชาวบ้านแล้วอย่างไร พวกเขาจริงใจและน่าคบหามากนัก แต่ตัวเจ้านั้น นอกจากจะเก่งกาจเรื่องเอ่ยวาจาไม่น่าฟังแล้ว เจ้าทำประโยชน์ใดให้แผ่นดินบ้าง คนเช่นเจ้าหากได้ไปอยู่ชายแดนคงอดตายไปนานแล้ว ถ้ามีผู้ใดล่วงรู้ว่าคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์เช่นเจ้า เอ่ยวาจาดูแคลนคุณหนูจวนแม่ทัพผู้รักษาเมืองและราษฎรที่น่าสงสารเช่นนี้ ตระกูลมู่ของเจ้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดกระมัง"
"โจวหว่านหรู!!!"
"หากอยากถูกข้าทุบตีจนข้อมือหักก็เข้ามาสิ อย่างมากก็แค่ถูกไล่ออกจากวังหลวง ตัวข้าไม่ได้เป็นทุกข์อยู่แล้ว เจ้าต่างหากคงจะอกแตกตายที่ไม่ได้ดั่งใจหวัง เอาสิ เราจะได้โดนไล่ออกไปพร้อมกัน เจ้ากล้าแลกกับข้าหรือไม่เล่า?"
มู่จั่วหลานกำมือแน่น โจวหว่านหรูรับมือยากกว่าที่นางคิดเสียอีก เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงส่งเสียงเหอะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะเอ่ย
"ข้าไม่อยากเอาความกับคนไม่รู้กฎระเบียบเช่นเจ้า"
"ก็ดี ในเมื่อรู้แล้วก็จำเอาไว้ ต่างคนต่างอยู่ จะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ"
"หึ"
โจวหว่านหรูคร้านจะสนใจมู่จั่วหลานอีก นางจึงเดินออกมารับลมที่ด้านนอกเรือน
วังหลวงยามนี้ยังคงสงบสุขไร้คลื่นลม แต่ทว่าอีกไม่นานโศกนาฏกรรมที่โหดร้ายกำลังจะมาเยือน
เรื่องราวดำเนินไปเช่นนี้วันแล้ววันเล่า นอกจากเรียนรู้เรื่องกฎระเบียบการเดิน การนั่ง การกินอาหาร และกฎระเบียบในวังหลวงแล้ว ฮ่องเต้หยางหลิงไท่ยังส่งเหล่าอาจารย์ผู้มีความรู้มาสอนพวกนางอีกด้วย โจวหว่านหรูรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย ตำราพวกนี้ก่อนเข้าวังหลวงในชาติก่อนนางย่อมเรียนรู้มาหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่นางไม่รู้
ความหัวไวและชาญฉลาดของโจวหว่านหรู สร้างความไม่พอใจและเป็นที่ริษยาของเหล่าคุณหนูที่มาร่วมคัดเลือกหลายต่อหลายคน โจวหว่านหรูเองก็ไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย มีคราหนึ่งคุณหนูจวนตระกูลจ้าว คิดกลั่นแกล้งให้นางตกสระบัวจนขายหน้า แต่ทว่านางไหวตัวทัน จึงซ้อนแผนกลับ กลายเป็นคุณหนูจ้าวที่ตกน้ำลงไปเอง จนเกิดล้มป่วยหนัก จึงต้องถูกตัดออกจากการคัดเลือกในครั้งนี้
ก่อนวันประกาศผลเพียงสองวัน เหล่าหมัวหมัวต่างให้พวกนางได้พักผ่อน ได้ยินว่าอีกสองวันฝ่าบาทและฉินกุ้ยเฟยจะเสด็จมาดูการคัดเลือกสหายเล่าเรียนในครั้งนี้ด้วยตนเอง
เดิมทีนางคิดว่าไม่อยากจะเข้าวังอีก แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนางเองก็มีเรื่องที่ต้องการรู้จากวังหลวงแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องของเจียงหมิงเจ๋อ นางจึงต้องเข้ามาเป็นสหายเล่าเรียนขององค์หญิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ไม่รู้ว่าจะได้เบาะแสมากน้อยเพียงใด แต่ก็ดีกว่าการที่นางไม่รู้อันใดเลยเหมือนชาติที่แล้วมิใช่หรือ
ส่วนหยางจิ่งนางก็หลีกเลี่ยงเขาหน่อย เช่นนี้ก็คงจะไม่มีปัญหาใดมาทำให้นางปวดหัวเพิ่มอีก
โจวหว่านหรูรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย ยามนี้เป็นปลายฤดูหนาวแล้ว โจวหว่านหรูออกมาเดินเล่นไม่ไกลจากเรือนที่พักมากนัก นางมองเห็นต้นผิงกั๋วที่ออกผลสีแดงชวนน่าลิ้มลองไม่น้อย
ภาพในวันเก่า ๆ พลันปรากฏขึ้นมาอีกครา ใต้ต้นผิงกั๋วแห่งนี้นางเคยพบกับหยางจิ่งในวัยเด็ก
เมื่อคิดได้เช่นนั้นโจวหว่านหรูจึงคิดจะหันหลังเดินกลับเพราะไม่อยากคิดถึงเรื่องในกาลก่อนอีก แต่ทว่าโจวหว่านหรูกลับได้ยินเสียงเรียกของสตรีนางหนึ่งเอ่ยเรียกขึ้นมาเสียก่อน
"แม่นาง แม่นาง"
โจวหว่านหรูหันมองซ้ายมองขวาแต่กลับไม่พบผู้ใด นางเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาชั่วขณะ
"แม่นาง เจ้าเงยหน้ามาบนนี้สิ แม่นาง"
โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมองบนต้นไม้ ก่อนจะต้องตกตะลึงไปชั่วขณะ แต่ในความตกใจนั้นมีความดีใจซ่อนอยู่อย่างไม่อาจปิดบัง
หยางจินจิน!!!
หยางจินจินสหายรักของข้า
ค่ำคืนนี้ช่างเหน็บหนาวนัก แต่ทว่าภายในตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนนั้นกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟแห่งปรารถนาเจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูแต่งงานกันมาร่วมปีแล้ว แต่ทว่ายังคงไม่มีบุตร อาจเพราะได้รับพิษในครานั้น ทำให้การมีบุตรไม่ใช่เรื่องง่ายบนเตียงใหญ่ เจียงหมิงเจ๋อกำลังตระกองกอดร่างบางระหงตรงหน้าอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากหนาใหญ่ทาบทับลงไปบนริมฝีปากบางสวยของนางอย่างอ่อนโยน ก่อนจะบดขยี้อย่างเร่าร้อนราวกับคนเอาแต่ใจ ลิ้นอุ่นร้อนสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของนางและเกี่ยวกระหวัดกันอย่างเมามัน ยามนี้ร่างกายของคนทั้งสองเปลือยเปล่า กลิ่นหอมกำยานอ่อน ๆ ยิ่งกระตุ้นกำหนัดให้ลุกโหมมากยิ่งขึ้น เจียงหมิงเจ๋อผละริมฝีปากออกจากนาง แล้วจึงจูบไซ้ไปตามซอกคอขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนใบหน้าลงมาเรื่อย สองมือหนาใหญ่บีบขยำดอกบัวงามทั้งสองข้างของนางอย่างเต็มไม้เต็มมือ พร้อมกับครอบริมฝีปากกลืนกินจุกบัวสีหวานอย่างลำพองใจ โจวหว่านหรูส่งเสียงครางกระเส่าพลางบิดกายเร่า ๆ ไปมาด้วยความเสียวซ่าน กายสาวถูกบุรุษตรงหน้าลูบคลำเชยชมอย่างไม่ยอมลดละ เจียงหมิงเจ๋อสอดแทรกแท่งหยกสวรรค์เข้าไปในกายของนาง ก่อนจะขยับกายอย่างช้า ๆ แล้วเร่
ยามนี้เจียงหมิงเจ๋อและโจวหว่านหรูกำลังเดินเคียงข้างกันไปตามทางเดินเพื่อมุ่งหน้าออกจากวังหลวง ฉับพลันนางก็หันมาเอ่ยถามเขา“เจียงหมิงเจ๋อ ท่านเอ่ยสิ่งใดฝ่าบาทจึงเห็นด้วยง่ายดายเช่นนี้ ข้าคิดว่าจะไม่ทรงเห็นด้วยเสียอีก”เจียงหมิงเจ๋อยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมามองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ โจวหว่านหรูหนังตากระตุกรู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเริ่มจะออกอาการเจ้าเล่ห์ใส่นางอีกแล้ว“อย่ามองข้าแบบนี้สิ”“ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ข้าเอ่ยเพียงว่า ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย และครอบครัวของเจ้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ใต้หล้านี้ข้ายกให้แคว้นเป่ยฉินทั้งหมด ข้าขอมีเพียงแคว้นเยี่ยนและมีเจ้าก็พอ”โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย“ท่านทำได้จริง ๆ หรือ”“ทำได้สิ คนอย่างข้าไม่เคยเอ่ยวาจาโป้ปด”“แต่ท่านเคยแกล้งป่วยนะ”“โจวหว่านหรู เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ ที่ข้าทำเพราะความอยู่รอดเพียงเท่านั้น”โจวหว่านหรูจ้องมองเจียงหมิงเจ๋อด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย“หากไม่เชื่อ ข้าคงไม่เลือกท่าน”เจียงหมิงเจ๋อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้าง โจวหว่านหรูพลันใจเต้นแรงเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา“เจ้าจะไม่มีวันเสียใจที่เลือกข้า
โจวหว่านหรูเดินทางกลับมาที่แคว้นเป่ยฉิน หยางจิ่งที่ได้รู้ข่าวว่าโจวหว่านหรูกลับมาถึงแล้ว ก็รีบมาพบนางในทันทีสตรีตรงหน้ายามนี้งดงามเป็นสาวงามสะพรั่งแล้ว โจวหว่านหรูหันมามองหยางจิ่งคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เขาเล็กน้อยหลายปีที่ไม่ได้พบกัน มันทำให้นางเข้าใจหัวใจตนเองได้อย่างชัดเจนแล้วนางไม่อาจกลับไปรักเขาเฉกเช่นเดิมได้อีก แม้ในใจของนางจะไม่สามารถตัดขาดจากหยางจิ่งได้อย่างสนิทใจ แต่ทว่านางเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขาแล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่าเขากำลังติดค้างสิ่งใดกับนางอยู่ บางคราทุกสิ่งที่มันเปลี่ยนไปแล้วย่อมไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก จะคงไว้เพียงเรื่องราวดี ๆ ในอดีตที่จะให้จดจำแม้จะดูเหมือนสตรีที่เห็นแก่ตัว แต่โจวหว่านหรูคิดเสมอว่าในเมื่อนางมีชีวิตอีกชาติหนึ่งแล้ว นางควรมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่นางต้องการคราก่อนนางยังไม่แน่ใจในหัวใจของตนเองมากเท่าใดนัก แต่เมื่อได้หลับฝันไปตื่นหนึ่ง ได้รู้ความจริงบางอย่าง ใจของนางก็เริ่มชัดเจนขึ้นหยางจิ่งคือรักแรกของนางส่วนเจียงหมิงเจ๋อคือคนที่นางเลือก เพราะไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เขาคือคนที่ทำเพื่อนางมากที่สุด“หวานหว่าน เจ้ากลับมาแล้ว”หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำ
เช้าวันต่อมา โจวหว่านหรูควบม้ามุ่งหน้าไปยังทิศทางของประตูวังหลวง ระหว่างทางนั้นนางมองเห็นหยางจิ่งที่ยืนมองนางอยู่ที่ด้านหน้าประตู เขาสวมชุดสีขาวทั้งชุด ดูแล้วช่างงดงามสง่าราวกับเทพเซียน นางสั่งให้ม้าหยุด ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า และเดินตรงเข้ามาหาเขา หยางจิ่งยิ้มให้นางคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"แต่งเป็นบุรุษเช่นนี้นับว่าไม่เลวเลย"โจวหว่านหรูยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"อืม"หยางจิ่งจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย"หวานหว่าน เจ้าจะกลับมาเมื่อใด"โจวหว่านหรูจ้องมองหยางจิ่งด้วยแววตาที่อ่อนโยน ก่อนจะเอ่ย"ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะหนึ่งปี สามปี หรือห้าปี ข้าอยากจะไปทำตามความฝัน ท่องไปในยุทธภพ"หยางจิ่งจ้องมองนางด้วยแววตาที่ล้ำลึก เขาอยากยื่นมือไปดึงรั้งนางใจจะขาด แต่ทว่าอีกใจก็ไม่อยากทำลายสิ่งที่นางถวิลหา ตั้งแต่ได้รู้ว่านางตั้งใจจะไปท่องเที่ยวทั่วทั้งใต้หล้า เขาก็ตกใจไม่น้อย เดิมทีคิดจะพานางเข้าวัง แต่งนางเป็นชายาเอก แต่ทว่านางกลับปฏิเสธเขาข้ายังไม่คิดจะแต่งงานกับผู้ใดในยามนี้"ข้าจะรอเจ้า ต่อให้รอทั้งชีวิต ข้าก็จะรอ"หยางจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ โจวหว่านห
ที่ตำหนักมังกรสวรรค์แคว้นเยี่ยนยามนี้มีเหล่าทหารกำลังผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม โจวหว่านหรูรีบตรงมาที่แห่งนี้ทันทีที่ได้ทราบเรื่องราวจากหยางจินจินแท้จริงแล้วนางไม่ได้ฝัน เป็นเขาจริง ๆ ที่ช่วยนาง เขาป้อนโลหิตให้นางดิื่มเพื่อระงับพิษไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายนาง"ข้าอยากพบเจียงหมิงเจ๋อ"เหล่าทหารที่เฝ้าเวรยามปรายตามองนางคราหนึ่ง แต่ทว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใด โจวหว่านหรูที่กำลังร้อนใจ พลันจ้องมองสตรีนางหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักมังกรสวรรค์ นางสวมชุดเยี่ยงสตรีสูงศักดิ์ ใบหน้างดงามไม่น้อย นางจ้องมองโจวหว่านหรูคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้าก็คือโจวหว่านหรูกระมัง"โจวหว่านหรูที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง สตรีนางนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าคือพระสนมเอกของฝ่าบาท ยามนี้ฝ่าบาทคงกำลังรอพบเจ้าอยู่ เจ้าเข้าไปเถิด"ฟ่านฮวาเอ่ยเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินจากไปไม่แม้แต่จะมองนางอีก โจวหว่านหรูไม่รอช้ารีบเข้าไปด้านในทันที เมื่อมาถึงนางก็พบกับเจียงหมิงเจ๋อที่กำลังเอนกายนอนพิงขอบเตียง ใบหน้าหล่อเหลายามนี้ซีดเซียวราวกับคนป่วยไข้ เมื่อรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามา เขาจึงหันไปมองคราหนึ่ง ก่อนที่แววตาจะฉาย
หยางจิ่งนั้นยามนี้กำลังเดินออกมาจากตำหนักเหลียนฉง เมื่อออกมาก็ได้พบกับโจวอวี้หาน เฉินป๋อเหวิน รวมถึงหยางจินจินที่กำลังยืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก เขามีท่าทีแปลกใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย"พวกเจ้ามาได้เช่นไรกัน"โจวอวี้หานยิ้มให้หยางจิ่งเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย"ข้าเป็นห่วงน้องเล็กจึงรีบติดตามมาสมทบกับเจ้า เฉินป๋อเหวินและหยางจินจินก็เป็นห่วงนางเช่นกัน จึงขอติดตามข้ามาด้วย"หยางจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูนางสักระยะ ข้ามีเรื่่องต้องไปจัดการ”โจวอวี้หานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยถามทันที"เรื่องใดหรือ"หยางจิ่งถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย"สมุนไพรที่ใช้ถอนพิษไม่เพียงพอ ข้าจำต้องขึ้นเขาไปเก็บมันมา""ข้าไปกับท่านด้วย"หยางจิ่งหันไปจ้องมองเฉินป๋อเหวินคราหนึ่ง ก่อนจะพบว่าในดวงตาของเฉินป๋อเหวินดูเด็ดเดี่ยวและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหึงหวงอันใดกัน เขาจึงเอ่ยกับเฉินป๋อเหวินด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรมากกว่าเดิม"ทางไปเก็บสมุนไพรอยู่บนเขา ข้าได้ยินว่ามันทั้งหนาวเหน็บและอันตรายไม่น้อย กลับมาแล้วอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพ เจ้า...""ต่อให้ต้องตาย