เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า
“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า” เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?” พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง” เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด” คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และเขาเองก็มอบสิ่งของแทนใจของแม่นางให้กับนาง และคำพูดเมื่อครู่นี้จึงทำให้เด็กน้อยผู้นี้เหมือนจะไม่ค่อยมีความสุข เขาไม่อยากจะให้นางมีความกดดันแบบนี้ แต่ไม่รู้ว่าเขานั้นจะปกป้องเด็กน้อยผู้นี้ได้นานสักแค่ไหน ต่อไปนี้เสียงหัวเราะจากเด็กผู้นี้ก็คงไม่มีอีกแล้วเพราะต่อไปนี้เด็กคนนี้คงจะเดินทางด้วยความกดดันทุกวิถีก้าวเป็นแน่ เขาคิดอยู่ในใจตลอดหากออกไปจากที่นี่ได้แล้วเขาต้องผลักดันให้เด็กผู้นี้เดินทางไปอีกทางและเขาก็ต้องไปอีกทางเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนสืบค้นหาตัวเด็กผู้นี้เจอ "พ่อเรื่องวันนี้มันเรื่องอะไรกันแน่เจ้าคะมันเป็นเหตุบังเอิญหรือเปล่าที่ลุงหลี่ไปดื่มชาร้านเราตั้งแต่เช้า พอตกบ่ายมาเขาก็ตายในกองเพลิงนั้นมันเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ธรรมดาหรือว่าเป็นคนที่จัดทำขึ้นกันแน่" เด็กน้อยถามผู้เป็นพ่อด้วยความสงสัย "พ่อเองก็ไม่รู้อะไรหรอกลูกเอย เจ้าถามอะไรกับพ่อก็ไม่ได้ความอะไรมากมายหรอก คนในหมู่บ้านนี้ก็แทบไม่รู้เรื่องอะไรเลย ส่วนต้นเพลิงนั้นเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่ต้องสืบดูว่ามาจากที่ใด พ่อเองก็ไม่ค่อยได้สนิทสนมกับเขามากมาย เจ้าก็รู้นี่เราเป็นคนนอกหมู่บ้านจะมีสิทธิ์อะไรไปถามไปก้าวก่ายกับเขาเล่า เจ้าไม่ต้องใส่ใจเรื่องนี้แล้ว มันไม่ใช้เรื่องของเรา" ผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นแต่สีหน้ายังมีความกังวลอยู่ ทั้งๆที่บอกลูกสาวว่าไม่ต้องกังวลแต่ในใจของพ่อน้ำหนักขึ้นไปด้วยความลำบากใจตอนนี้เหมือนเขาจะคิดอยู่ในหัวตลอดเวลาว่าจะจัดการเรื่องพวกนี้อย่างไร ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นพุ่งเป้ามาที่ตัวลูกสาวของเขาเพียงผู้เดียว ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาต้องรีบออกจากหมู่บ้านที่ไปขายของทั้งที่ขายกำลังดี เพราะมีคนรู้เบาะแสอะไรบางอย่าง และจวนจะถึงตัวของพวกเขาทั้งสองคน พวกเขาจึงต้องรีบหนี ครั้งนี้ก็เป็นรอบที่สามในปีนี้แล้ว ที่ต้องย้ายที่ขายของอย่างกระทันหัน ถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยแต่มันก็ปลอดภัยกับลูกสาวของเขาเขาก็ต้องทำ "แล้วลุงที่เรียกพ่อไปคุยกับเขาเมื่อที่พวกเราจะไปนั้นเสร็จละเจ้าคะ เขาคุยเรื่องอะไรกับพ่อบ้าง เหมื่อนพอจะกังวลอะไรอยู่เลย" เด็กน้อยถามขึ้นด้วยความสงสัยเพราะหลังจากที่พ่อคุยกับลุงคนนั้นแล้วก็เหมือนมีสีหน้าที่เครียดอยู่พอสมควร "ไม่มีอะไรมากหรอกลูกเอย มันเป็นเรื่องของผู้หลักผู้ใหญ่เขาน่ะ เอาแบบนี้นะเจ้าก็ไม่ต้องซ่อมผ้าแล้วล่ะ นอนเร็วหน่อยก็ดีพรุ่งนี้เช้าพ่อจะพาเจ้าออกจากหมู่บ้านนี้แล้ว ลุงเขาบอกว่ามีหมู่บ้านที่ลุงเขามาแล้วพวกผ้านั้นขายดีมาก" ผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้น "ทำไมเราจะไปเร็วจังล่ะพ่อในเมื่ออยู่ที่นี่เราก็ขายดีอยู่นะ" เด็กสาวพูดขึ้น "ไม่รู้สิเหมือนจะมีอะไรสักอย่างเหมือนที่นี่ไม่อยากให้คนขายผ้าอยู่ขายยังไงยังไง เจ้าก็สังเกตเห็นนี่ว่าพวกเขามาลื้อค้นเฉพาะร้านผ้า และอีกอย่างเจ้าเห็นว่าขายดีหรือผู้คนแค่มาขอดูผ้าของเราเฉยเฉนสำหรับที่นี่พ่อว่าน่าจะไม่เหมาะกับพวกเราแล้วล่ะ เราไปหาที่ตลาดอื่นที่ลุวผู้นั้นว่ากันเถอะ เราจะได้ไปหาผ้ามาออกขายเพิ่มด้วยไง" ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้นกับผู้เป็นลูก "งั้นก็ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ แต่ท่านพ่อข้าขอเย็บตรงนี้อีกสักหน่อย ยังไงข้าก็ไม่นอนดึกแน่นอนพรุ่งนี้เช้าเดินทางก็เดินทางเจ้าค่ะท่านพ่อไปเตรียมของแล้วไปนอนเถอะ" เด็กน้อยกล่าวขึ้นผู้เป็นพ่อจึงเดินไปข้างนอก เด็กน้อยจึงแอบตามไปก็เห็นว่าผู้เป็นพ่อเพียงแค่ไปเก็บของเท่านั้น ไม่ได้ออกไปข้างนอกเรือนแต่อย่างใด นางจึงกลับมาซ่อมผ้าตามเดิม นางหยิบสร้อยที่พ่อให้ตอนเช้าออกมาพิจารณาดู ถึงแม้มันจะเป็นหยกสีขาวแต่มันก็เหมือนมีสิ่งที่ลึกลับอะไรซ้อนอยู่ในตัว มองดูงูที่กำลังเลื้อยนี้นนางสัมผัสไปที่หยกขาวก็รู้สึกว่าเป็นครุคระและรู้สึกเย็นๆนานจึงหยิบมันมาแล้ววางไว้ที่หน้าอกของตัวเอง เพราะนางคิดถึงผู้เป็นแม่ที่ไม่ได้เห็นหน้าตา พ่อบอกเพียงว่าแม่ของนางนั้นตายไปตั้งแต่ที่นางเกิดแล้ว ส่วนพ่อที่แท้จริงของนางนั้นก็สูญหายไปตั้งแต่ที่นางพึ่งคลอดมาใหม่ๆแล้ว นางจึงไม่รู้ว่าผู้เป็นพ่อที่แท้จริงคือใคร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าสูญหายนั้นแปลว่าพ่อทิ้งนางไป หรือพ่อจากนางไปเพราะความจำเป็น หรือพ่อถูกคนลักพาตัวไป หรือพ่อจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วนางได้แต่เดาไปต่างๆนานา และพ่อผู้นี้ก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับพ่อแท้ๆมากมายและไม่มีสิ่งของที่พ่อแท้ๆเคยมอบไว้ให้นางด้วย นางหยิบสร้อยงูขาวออกมาจากอกแล้วมาดูอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บมันไว้ที่เดิม และหันมานั่งเย็บผ้าที่เสียหายต่อไป นางเย็บเสร็จแล้วพับลงหีบทันที เหลือไม่มากแล้วเด็กน้อยจึงคิดจะทำให้เสร็จๆเลยเสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด“หนีไป...!”เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวง
ลมราตรีพัดกรรโชกผ่านป่าไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันราวกับเสียงคร่ำครวญจากวิญญาณเร้นลับภายในเรือนเล็กกลางหมู่บ้าน ไป๋เสวี่ยหลานเด็กสาวนั่งเย็บเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงน้ำมัน แสงอุ่นส่องขับดวงหน้านวลที่ยังไร้เดียงสา ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความฝันเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับบิดาเงียบสงบไปวัน ๆ พรุ่งนี้เช้าทั้งสองจะออกเดินทางไปขายผ้าที่ถิ่นใหม่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลานเย็บผ้าตัวนี้เสร็จก็จะเขานอน แต่คืนนี้ที่ควรจะสงบสุข กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ยากลืมเลือน "ตึง! ตึง! ตึง!เสียงของประตูไม้ที่ถูกถีบแตกดังสะท้านไปทั่วเรือน ก่อนที่เงาดำหลายสายจะทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วบิดาของไป๋เสวี่ยหลาน นามว่าไป๋อหมิงพ่อค้าเร่ที่ทุกทุกคนพูดถึง พุ่งออกมาขวางด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว เขาเพียงทันคว้าดาบเก่า ๆ ขึ้นมาในมือ“หลานเอ๋อร์ถอยไปอยู่หลังข้า!” เสียงเขาก้องดังก้องไปทั้งห้องเพลี้ยง! เพลี้ยง! เพลี้ยง!เสียงดาบปะทะกับอาวุธของผู้บุกรุก เสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟในความมืด ไป๋เสวี่ยหลานตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากแขนของบิดา หัวใจของนางนั้นเต้นดววตาของนางก็เริ่มพร่ามัวเหมือนมีอะไรมาบังสายตาให้มันมัวลงไป
เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า”เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?”พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง”เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด”คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแ
เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง“ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้”เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย
แสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป “เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที“เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ”ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้ห
ใต้หล้าแห่งนี้ มิได้มีราชา มิได้มีสวรรค์ชี้นำ มีเพียง พลังแห่งวรยุทธ เท่านั้นที่ชี้ขาดชะตาชีวิตผู้คน ดินแดนยุทธภพ แผ่นดินกว้างใหญ่ที่แสงอาทิตย์มิอาจส่องทั่วถึง ปกคลุมด้วยหมอกควันแห่งสงครามและเลือดสังเวยแห่งความทะเยอทะยาน ที่นี่… ความถูกผิดถูกกลืนหายไปตั้งแต่ยุคบรรพกาล เหลือเพียง “กำลัง” และ “เจตจำนงแห่งคมดาบ” เท่านั้นที่ยังคงอยู่เหนือยอดเขา มีสำนักใหญ่ครอบครองฟ้าเบื้องบน กลางแผ่นดิน มีเจ้าพรรคผู้ปกครองดินแดนด้วยกำลังมือ ใต้เงาหุบเหว มีเหล่ามารผู้ซ่อนเร้น รอวันกลืนกินแสงสว่าง ทุกชีวิตที่ถือกำเนิดในโลกนี้ ล้วนถูกกำหนดด้วยพลังในลมปราณและเส้นทางที่ตนเลือก คำว่า “ยุทธภพ” จึงมิใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ สนามประลองแห่งโชคชะตา ผู้ไร้พลัง ย่อมเป็นเหยื่อ ผู้มีพลัง แต่ไร้ใจ ย่อมเป็นอสูร และผู้ที่มีทั้งพลังและใจ ย่อมต้องแบกรับชะตาของโลกทั้งผืนไว้ในฝ่ามือ ในแต่ละราตรี มีเสียงกระบี่ที่ยังมิได้ชำระความในแต่ละรุ่งอรุณ มีโลหิตที่ยังมิทันแห้งกรังผู้ฝึกยุทธนับหมื่นชีวิตยอมสละเลือดเนื้อ เพื่อไขว่คว้า “หนึ่งก้าวเหนือฟ้า” เพราะเพียงแค่ก้าวเดียวที่ยืนสูงกว่าผู้อื่น คือเส้นแบ่งระหว่าง ผู้เป็นตำนาน และ ผู