เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ
“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง “ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้” เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย มือของนางยื่นไปหาสร้อยเส้นนั้นช้าๆ นางมองหยกสีขาวที่อยู่ในมือพอ เหมือนจี้รูปงูนั้นจะเคลื่อนไหวแต่พอมองเข้าดีๆมันกลับไม่ได้ไหวติงตามที่นางจินตนาการ “แม่ข้า…เป็นใครกันแน่หรือเจ้าคะ?” เสียงน้อยๆเอ๋ยขึ้น ชายคนนั้นเพียงยิ้มเศร้า ๆ แล้ววางมือลงบนศีรษะของเด็กน้อย อย่างไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี “วันหนึ่ง เจ้าจะได้รู้เอง แต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลา เจ้ารู้ตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องนี้สำหรับเจ้าหรอกให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่และเจ้าคนหามันด้วยตัวเองนะ” ผู้เห็นพ่อก็เอาขึ้นพลางมองดูหน้าลูกสาวที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก เสวี่ยหลานกำสร้อยไว้แน่น ความเย็นจากหยกซึมเข้าสู่ฝ่ามือ ก่อนที่จะหยิบมาส่องดูอีกครั้ง นางรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังมองนางผ่านเกล็ดเล็ก ๆ ที่ส่องประกาย ความลับที่ซ่อนอยู่ภายในหยกชาวนี้ เช้าวันนั้นผ่านไปช้า ๆ เหมือนเช้าวันอื่น ๆ แต่ในอกของเสวี่ยหลานกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ผู้เป็นพ่อไม่เคยมีกริยาแบบนี้มาก่อน วันนี้เหมือนจะมีผู้คนเดินตลาดมากกว่าทุนทุกวัน มีคนมากหน้าหลายตาเข้ามาแวะเวียนซื้อน้ำชาและดูผ้าของพ่อเด็กน้อยเสิร์ฟชาบ้าง ช่วยพ่อจับผ้าบ้าง วันนี้ผู้เป็นพ่อช่างแปลงจ้องมองผู้คนที่เดินอย่างขวักไขว่ ไม่นานก็มีเสียงผู้คนจอแจเดินเข้ามาในร้านผ้าเพื่อที่จะดูผ้า ผู้เป็นพ่อจับเทียบสีให้พวกเขาดู ลูกสาวก็ชงน้ำชาในลูกค้าอีกคน ไม่นานก็มีเสียงโวยวายอยู่ทางตอกในตลาด "เห้ไฟไหม้เร็วๆ ช่วยกันกับไฟ มันไหม้ลามมาแล้วเร็วๆก็น้อยทุกคนช่วยกันดับไฟหน่อย" เสียงดังขึ้น พ่อกับลุกวิ่งไปดูอย่างเตรียมตัวว่ากำลังดูลูกค้าอยู่ เมื่อไปถึงถึงสถานการณ์ไฟลุกท่วมแล้วผู้เป็นพ่อวิ่งไปหากระป๋องเพื่อที่จะใส่น้ำเพื่อที่จะไปดับบนหลุดหลายๆคนที่อยู่ในตลาดแห่งนี้ช่วยกันใช้กระป๋องตักน้ำแล้วสาดเข้าไปใช้เวลาดับไฟนั้นสับ 1 ก้านคู่ไฟนั้นก็สิ้นสุดลง "มีใครเป็นอะไรหรือป่าว" เสียงคนดังขึ้น "ลุงหลี่น่าจะถูกไฟครอก เพราะเขาเห็นล่าสุดน่าจะเป็นลุงหลี่ที่เข้าไปในตรอกนั้น" เสียงบุรุษผู้นั้นกล่าวขึ้นจึงทำให้ไป๋เสวี่ยหลานตกใจ เพราะเขาพึ่งเห็นบุรุษผู้นี้เมื่อเช้า และได้พูดคุยตอนที่สืบน้ำชาให้เมื่อเช้า "ไป๋อหมิง ข้าขอคุยกับเจ้าสักประเดี๋ยวให้ลูกสาวเจ้ากลับไปก่อนได้หรือไม่" เสียงบุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้น เสวียหลานจึงมองว่าใครที่เรียกพ่อของตัวเองไว้ เป็นบุรุษวัยกลางคนเหมือนจะรู้จักพ่อ นางมองหน้าผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นว่าพ่อพยักหน้าให้นางจึงเดินเรื่องหนีไปและเห็นบุรุษผู้นั้นพาพ่อไปคุยหรอกใกล้ๆกับตอกที่เกิดไฟไหม้เมื่อครู่นางเอยังไม่ได้กลับไปที่ร้านเลยยังคงจ้องมองอยู่สักพักใหญ่ๆค่ะผู้เป็นพ่อก็เดินออกมาด้วยสีหน้าที่หมองคล้ำ นางจึงรีบวิ่งกับร้านทันทีเพราะกลัวว่าพ่อจะรู้ว่าตนแอบดูอยู่เมื่อไปเห็นสภาพร้านก็ต้องตกใจเพราะผ้าทุบหีบนั้นถูกรื้อค้นไปหมดแถกล่องของใบชาของนางเองก็ถูกดูค้นใบชากระจัดกระจายเต็มพื้นร้าน นางอึ้งอยู่สักครู่พ่อก็เดินเข้ามา ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์จึงมุ่งดูร้านนี้ที่โดนรื้อค้นผู้เป็นพ่อรีบไปเก็บผ้าให้เข้าหีบการผูกหรือคนวันนี้ทำให้พวกเขาเสียเวลากับการจัดเก็บงานจนถึงเวลาเย็นส่วนสภาพของใบชานั้นพวกเขาไม่สามารถเก็บได้เลยจึงต้องปล่อยให้มันเสียหายไป หลายๆคนเห็นจึงช่วยกันเก็บผ้าเพราะสงสารเด็กน้อยตาดำๆกับผู้เป็นพ่อไม่รู้ว่าคนที่รื้อคนนั้นต้องการสิ่งใด เมื่อเก็บทุกอย่างเสร็จผู้เป็นพ่อก็ขอบคุณชาวบ้านที่ช่วยกันเก็บของ "พวกนั้นเป็นใครเจ้าพอจะรู้หรือไม่แล้วมันต้องการหาสิ่งใดล่ะแล้วมีของอะไรของเจ้าหายหรือไม่" ผู้นำหมู่บ้านถามขึ้น "พวกข้าไม่มีของที่มีค่าอะไรที่นี่หรอกขอรับพวกข้ามีแต่พวกผ้าและพวกชาแค่นี้ไม่มีสิ่งใดหาย ผ้านั้นก็ยังอยู่ครบแต่มีของเสียหายก็คือใบชาพวกนี้แหละขอรับ" ไป๋อมิงกล่าวอย่างนอนบน้อม และเขาก็มั่นใจแล้วว่าคนกลุ่มนั้นจะหาอะไรกันแน่ บุรุษวัยกลางคนมองหน้าบุตรสาว "ไม่มีอะไรเสียหายข้อดีแล้วและมีคนอื่นที่ถูกคนอีกหรือไม่" เสียงผู้นำหมู่บ้านถามขึ้น "มีขอรับเป็นลังผ้าเช่นเดียวกันพวกนั้นน่าจะได้ข้อมูลมาว่าของที่พวกเขาหานั้นอยู่ดังภาคเพราะว่าทุกร้านที่ขายผ้าจะโดนหรือค้นขอรับ" เสียงผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้เด็กน้อยรู้สึกโล่งอกมากเพราะไม่ใช่แค่ของของตนที่ถูกลื้อค้นแต่มีของของคนอื่นด้วย คนที่มาหาของอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ "งั้นข้าขอตัวกลับเลยถ้าต้องไปจัดแจงผ้าอีกแบบนี้ไม่น่าจะขายได้แล้ว" ไป๋อหมิงกล่าวกับผู้นำและขนของกลับบ้าน พอมาถึงบ้านไป๋อหมิงก็เก็บถุงผ้าให้ลูกน้อย เป็นของนางโดยเฉพาะแล้วก็เอาเบี้ยแบ่งให้นางครึ่งนึง "ของที่พ่อให้เจ้ายังอยู่ที่เจ้าหรือไม่หรือว่ามันหายไปกับพวกที่มารื้อขนของแล้ว" ผู้เป็นพ่อถามขึ้น ลูกสาวลูบตรงหน้าท้องที่มีผ้าคาดเอวอยู่และดึงมันออกมา "อยู่เจ้าคะทำไมหรือคะพ่อหรือว่าพวกนั้นจะตามหา" เด็กน้อยผู้ยังไม่จบดีผู้เป็นพ่อก็ยัดมันใส่มือลูกเหมือนเดิมและก็พยักหน้า "พ่อขอจัดของอีกสักหน่อยผ้าของเราเสียหายไม่มากคืนนี้พ่อต้องซ่อมมัน" ก็เป็นพ่อกล่าวขึ้นเมื่อลูกได้ยินอย่างนั้นจึงหยิบผ้าพวกหนึ่งแล้วเข้าไปในห้องเพื่อที่จะช่วยพ่อจัดการซ่อมมันเสียงฝีเท้าในค่ำคืนยังตามหลอกหลอนในห้วงฝันของเด็กสาว ลมกลางดึกพัดผ่านผนังไม้ กรีดเสียงคล้ายมีดเฉือนใจของนาง วันนั้น...แสงเพลิงส่องลอดประตู เสียงโลหะกระทบกันก้องกังวาน นางเองได้แต่ยืนตัวสั่น มองเงาของพ่อที่ยกดาบขึ้นปะทะกับคนชุดดำในความมืด“หนีไป...!”เป็นเสียงสุดท้ายที่พ่อพูดกับนางและพลักนางให้ออกจากบ้านหลังนั้น ก่อนที่เงานั้นจะกลืนร่างท่านหายไปในม่านควัน นางวิ่งไปในความมืด หัวใจเต้นรัวดั่งจะระเบิด เสียงดาบยังดังไล่หลัง เหมือนเตือนให้จำว่าข้ายังมีชีวิตได้เพราะใคร หลายคืนแล้วที่นางไม่อาจหลับสนิท ทุกครั้งที่ปิดตา เขายังเห็นแผ่นหลังของพ่อยืนอยู่ท่ามกลางเพลิง แผ่นหลังที่สั่นไหวด้วยลม แต่ไม่เคยสั่นด้วยความกลัว นางอยากกลับไปกอดพ่ออีกครั้ง อยากบอกว่าตัวเขาจะไม่หนีอีกต่อไป นางจะเติบโต...ให้คู่ควรกับเลือดที่พ่อทิ้งไว้ในคืนนั้น ครั้นนางจะหยุดพักก็เหมือนว่ามีคนกำลังวิ่งตามพอมองออกไปก็ไร้วี่แววของผู้คน นางได้แต่คิดอยู่ในใจ ในเมื่อนางหนีมาหลายวันหลายคืนแล้ว ทำไมเสียงนั้นยังตามหลอกหลอนนางอยู่ ถามว่านางน่าจะคิดไปเองว่ายังมีคนวิ่งไล่ตามอยู่ตลอดเวลา ลมหนาวยามค่ำยังคงพัดผ่าน เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้า เห็นดวง
ลมราตรีพัดกรรโชกผ่านป่าไผ่ เสียงใบไผ่เสียดสีกันราวกับเสียงคร่ำครวญจากวิญญาณเร้นลับภายในเรือนเล็กกลางหมู่บ้าน ไป๋เสวี่ยหลานเด็กสาวนั่งเย็บเสื้อผ้าใต้แสงตะเกียงน้ำมัน แสงอุ่นส่องขับดวงหน้านวลที่ยังไร้เดียงสา ดวงตาคู่นั้นยังเต็มไปด้วยความฝันเรียบง่าย ใช้ชีวิตอยู่กับบิดาเงียบสงบไปวัน ๆ พรุ่งนี้เช้าทั้งสองจะออกเดินทางไปขายผ้าที่ถิ่นใหม่แล้ว ไป๋เสวี่ยหลานเย็บผ้าตัวนี้เสร็จก็จะเขานอน แต่คืนนี้ที่ควรจะสงบสุข กลับแปรเปลี่ยนเป็นฝันร้ายที่ยากลืมเลือน "ตึง! ตึง! ตึง!เสียงของประตูไม้ที่ถูกถีบแตกดังสะท้านไปทั่วเรือน ก่อนที่เงาดำหลายสายจะทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วบิดาของไป๋เสวี่ยหลาน นามว่าไป๋อหมิงพ่อค้าเร่ที่ทุกทุกคนพูดถึง พุ่งออกมาขวางด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยว เขาเพียงทันคว้าดาบเก่า ๆ ขึ้นมาในมือ“หลานเอ๋อร์ถอยไปอยู่หลังข้า!” เสียงเขาก้องดังก้องไปทั้งห้องเพลี้ยง! เพลี้ยง! เพลี้ยง!เสียงดาบปะทะกับอาวุธของผู้บุกรุก เสียงโลหะเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟในความมืด ไป๋เสวี่ยหลานตัวสั่นงันงกเมื่อเห็นโลหิตสาดกระเซ็นออกมาจากแขนของบิดา หัวใจของนางนั้นเต้นดววตาของนางก็เริ่มพร่ามัวเหมือนมีอะไรมาบังสายตาให้มันมัวลงไป
เมื่อชายวัยกลางคนจัดของเสร็จวันพรุ่งนี้รุ่งเช้าเขาก็จะพาลูกออกเดินทาง เขาจึงเข้าไปดูลูกน้อย เมื่อเข้าไปแล้วก็เห็นว่าลูกยังไม่นอนกำลังเย็บผ้าที่เสียหายอยู่ ผู้เป็นพ่อนั่งลงตรงหน้าของลูก แสงตะเกียงสั่นไหวในห้องเล็ก พ่อจ้องมองดวงตาของบุตรสาวที่ยังใสซื่อ เขายกมืออันหยาบกร้านจากงานหนักลูบศีรษะเธอแผ่วเบา น้ำเสียงต่ำช้าแต่หนักแน่นเอ่ยว่า“ลูกเอ๋ยจำไว้นะ...อย่าบ่ายเบี่ยงกับคนแปลกหน้า”เด็กสาวขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นถามเบา “ทำไมเจ้าคะ พวกเขาไม่ใช่คนดีหรือ?”พ่อถอนหายใจยาว แววตาเต็มไปด้วยความอาทรปนเศร้าลึก “เพราะโลกนี้...ไม่ได้มีที่สำหรับความอ่อนแอ บางครา การปฏิเสธเพียงเล็กน้อยอาจเปลี่ยนเป็นหอกที่หันกลับมาทิ่มแทงเจ้าเอง”เงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนที่พ่อจะจับไหล่ลูกแน่น “หากเจ้าจำเป็นต้องยอม ก็ยอมอย่างฉลาด หากต้องเอ่ยถ้อยคำ ก็เอ่ยด้วยใจเย็น อย่าเผยความกลัวออกมาเด็ดขาด”คำสอนนั้นแทรกซึมในใจเด็กสาว ไม่ใช่เพียงคำเตือนเรื่องคนแปลกหน้า แต่คือการบอกนัยว่าทางข้างหน้ามีเพียงความโหดร้ายรออยู่ ผู้เป็นลูกพยักหน้าให้กับพ่องึกๆ พ่อสบสายตาลูกยิ้มให้เล็กน้อย เด็กผู้นี้แต่ก่อนมีนิสัยที่ร่าเริงแต่มาวันนี้เกิดเรื่องแ
เมื่อเด็กน้อยทุกคนกลับไปแล้วเด็กน้อยเสวี่ยหลานก็ไปช่วยพ่อจัดผ้าอีก พ่อจึงก็หยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยวัตถุที่เสวี่ยหลานเห็นเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิตสร้อยหยกรูปงูขาว เด็กน้อยมองด้วยความอยากรู้นางมองและจดจำลักษณะของมัน หยกนั้นขาวสะอาดจนแทบเรืองแสง ลวดลายสลักเป็นเกล็ดเรียงละเอียด เมื่อแสงแดดส่องต้องกลับสะท้อนเป็นประกายเย็นเยียบอย่างประหลาด เด็กน้อยทำตาลุกวาวเมื่อเห็นแสงสะท้อนอย่างประหลาดนั้นมากระทบตาตัวเอง นางมองเลยไปจนเห็นพ่อ ที่มองหยกอยู่นานก่อนจะยื่นให้เสวี่ยหลาน เด็กน้อยสะดุ้งเล็กน้อยไม่ใช่ว่าหนังจ้องมองขนาดนั้นจนพ่อรู้ว่านางแอบจดจำรายละเอียดแล้วหรือนางจึงไม่กล้ายื่นมือเข้าไปจับ“รับเอาไปสิ มันเป็นของเจ้า จำไว้นะ หลานเอ๋ย ของสิ่งนี้อย่าให้ใครเห็น ” น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความจริงจังผิดจากทุกวัน ทำให้ผู้ฟังที่ไม่เคยกินเกิดความรู้สึกในใจว่าเหมือนกำลังจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง“ของสิ่งนี้ คือของที่แม่เจ้าทิ้งไว้ให้ จงเก็บรักษามันให้ดี มันอาจนำพาเคราะห์ร้ายมา แต่ก็อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะคุ้มครองเจ้าได้”เสวี่ยหลานชะงัก ดวงตาสั่นไหว นางไม่ค่อยได้ถามถึงมารดา เพราะทุกครั้งที่ถาม พ่อมักเลี่ยงเสีย
แสงอรุณแรกของฤดูปลายวสันต์สาดลงมาบนตลาดเล็ก ๆ ริมทางการค้า หมอกเช้าลอยเอื่อยเหนือหลังคามุงฟาง กลิ่นควันไฟจากเตาถ่านผสมกับกลิ่นใบชาที่เพิ่งคั่ว เสียงเจื้อยแจ้วของเด็ก ๆ วิ่งไล่กันในตรอก เสียงเอะอะโวยวายของคนที่เดินผ่านตอนเด็กน้อยวิ่งไล่กันจนจะชนเขา เด็กน้อยหันมาทำหน้าล้อเลียนแล้ววิ่งหนีไป ทำให้เช้าวันนี้ดูเหมือนเช้าที่ผ่านมา อบอุ่น เงียบง่าย และไม่สำคัญต่อผู้ใดในยุทธภพที่แสนโหดร้าย ไป๋เสวี่ยหลานเด็กน้อยวางกาน้ำชาดินเผาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เสียงน้ำร้อนเดือดพล่านดัง ปุดปุด ขณะเธอค่อย ๆ รินลงถ้วยดินเผาสีน้ำตาล เสียงกระทบกันเบา ๆ คล้ายระฆังเล็ก สาวน้อยยิ้มบางให้ชายชราที่นั่งรออยู่พลางยื่นถ้วยไป “เชิญเจ้าค่ะ ลุงหลี่ วันนี้ชารสเข้มหน่อยนะ ดืมให้อร่อยเจ้าค่ะ”เด็กน้อยกล่าวขึ้น ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ พลางยื่นเหรียญทองแดงสองสามอันใส่มือเธอ และสูดดมชาที่หอมกรุ่นก่อนที่จิบเล็กน้อย พอริ้มรสแล้วรู้สึกว่าไม่ร้อนมากก็กระดกใส่ปากทันที“เสวี่ยหลาน เด็กน้อยเอ๋ย หากมีลูกสาวเช่นเจ้าอยู่บ้าน ข้าคงไม่เหงาอย่างนี้ ”ชายชรากล่าวขึ้น เด็กน้อยหัวเราะเบา ยกชายผ้าพันแขนปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก พลางหันไปเรียกพ่อค้าเร่ผู้ห
ใต้หล้าแห่งนี้ มิได้มีราชา มิได้มีสวรรค์ชี้นำ มีเพียง พลังแห่งวรยุทธ เท่านั้นที่ชี้ขาดชะตาชีวิตผู้คน ดินแดนยุทธภพ แผ่นดินกว้างใหญ่ที่แสงอาทิตย์มิอาจส่องทั่วถึง ปกคลุมด้วยหมอกควันแห่งสงครามและเลือดสังเวยแห่งความทะเยอทะยาน ที่นี่… ความถูกผิดถูกกลืนหายไปตั้งแต่ยุคบรรพกาล เหลือเพียง “กำลัง” และ “เจตจำนงแห่งคมดาบ” เท่านั้นที่ยังคงอยู่เหนือยอดเขา มีสำนักใหญ่ครอบครองฟ้าเบื้องบน กลางแผ่นดิน มีเจ้าพรรคผู้ปกครองดินแดนด้วยกำลังมือ ใต้เงาหุบเหว มีเหล่ามารผู้ซ่อนเร้น รอวันกลืนกินแสงสว่าง ทุกชีวิตที่ถือกำเนิดในโลกนี้ ล้วนถูกกำหนดด้วยพลังในลมปราณและเส้นทางที่ตนเลือก คำว่า “ยุทธภพ” จึงมิใช่เพียงชื่อเรียก หากคือ สนามประลองแห่งโชคชะตา ผู้ไร้พลัง ย่อมเป็นเหยื่อ ผู้มีพลัง แต่ไร้ใจ ย่อมเป็นอสูร และผู้ที่มีทั้งพลังและใจ ย่อมต้องแบกรับชะตาของโลกทั้งผืนไว้ในฝ่ามือ ในแต่ละราตรี มีเสียงกระบี่ที่ยังมิได้ชำระความในแต่ละรุ่งอรุณ มีโลหิตที่ยังมิทันแห้งกรังผู้ฝึกยุทธนับหมื่นชีวิตยอมสละเลือดเนื้อ เพื่อไขว่คว้า “หนึ่งก้าวเหนือฟ้า” เพราะเพียงแค่ก้าวเดียวที่ยืนสูงกว่าผู้อื่น คือเส้นแบ่งระหว่าง ผู้เป็นตำนาน และ ผู