Share

บทที่ 4

Author: หออักษร
ฝูงชนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างส่งเสียงอุทานด้วยความตกตะลึง!

“เขาจะแต่งจริง ๆ หรือ!?”

“หากองค์ชายแต่งงานครั้งนี้ ในอนาคตก็ยากที่จะดึงกองกำลังอื่นมาช่วยเขาได้แล้ว”

“นั่นสิ อย่างน้อยก็น่าจะหาบุตรสาวของขุนนางใหญ่สักคน เช่นนี้แล้วในอนาคตก็ยังพอจะมีกำลังสนับสนุนอยู่บ้าง”

ใบหน้าของกวนเยว่เต็มไปด้วยความลังเล ความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ก็จางหายไปไม่น้อย

อันที่จริงนางไม่รู้เลยว่า หลังจากที่ฉินหมิงได้เห็นนางแล้ว เขาก็ไม่ลังเลเรื่องการแต่งงานอีกต่อไป

ก็แค่แต่งงาน จะมีเรื่องอะไรมากมายนัก

ไม่ใช่ทุกคนที่จำเป็นต้องไต่เต้าเกาะผู้มีอำนาจ ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หรือต้องคิดหน้าคิดหลังเสียหน่อย

ชาตินี้ ฉินหมิงขอเพียงแค่ได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ไม่ให้เสียชาติเกิดก็พอ!

“องค์ชาย ขอบพระทัยที่ทรงช่วยหม่อมฉันแก้ไขสถานการณ์ แต่ท่านไม่จำเป็นต้องสงสารตระกูลกวน”

กวนเยว่มองไปยังฉินหมิงอย่างลังเล ท่าทีไม่ได้โกรธเกรี้ยวเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

“ใครสงสารเจ้า?”

“เจ้าคิดว่า ข้าอยากจะแต่งงานกับเจ้า เพราะสงสารตระกูลกวนอย่างนั้นหรือ?”

“แต่ข้าก็จะต้องไปรักษาการณ์ชายแดนที่หลิ่งหนานแล้ว เจ้าไม่กลัวหรือ?”

ฉินหมิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

กวนเยว่เม้มริมฝีปากแน่น พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ฉินหมิงยกมือขึ้น ดึงเส้นด้ายสองสามเส้นออกจากธงรบของค่ายทหารอู่เวย

แล้วถักทออย่างง่าย ๆ จนกลายเป็นแหวนเส้นด้ายวงหนึ่ง

หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าบนนั้นยังมีคราบเลือดจาง ๆ จากธงรบอยู่ด้วย

นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าธงผืนนี้ ถูกนำกลับมาจากสนามรบจริง ๆ

“ท่านจะทำอะไร?”

กวนเยว่เห็นฉินหมิงก้าวเข้ามาหาตนทีละก้าว ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที

“มานี่”

ฉินหมิงคว้ามือเล็ก ๆ ที่เนียนนุ่มและเย็นเฉียบของหญิงสาวไว้

แล้วสวมแหวนที่ทำจากธงรบให้แก่นางอย่างจริงจัง

กวนเยว่ก้มลงมองแหวนที่อยู่บนนิ้ว ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“นี่คือของหมั้นของท่านหรือ?”

ฉินหมิงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น

“นี่คือคำมั่นสัญญาระหว่างข้ากับเจ้า”

“คำมั่นสัญญาอะไร?”

“ข้าจะทำให้ธงรบของค่ายทหารอู่เวย ได้โบกสะบัดต่อไปในสนามรบ ตระกูลกวนก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาท่านอ๋องหรือขุนนางคนใด พวกเราจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเราเอง!”

“หึ ก็ดีแต่พูดจาใหญ่โต ทำให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูด”

กวนเยว่ทำหน้าบึ้งแล้วหันไปทางอื่น แต่หัวใจกลับเต้นรัว

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับองค์รัชทายาท

จะว่าอย่างไรดี...

เป็นคนที่ชอบพูดจาโอ้อวด ไม่เหมือนกับในข่าวลือเลยแม้แต่น้อย!

แต่ความรู้สึก... ก็ไม่เลวนัก?

คุณชายตระกูลสูงศักดิ์สองสามคนที่มุงดูอยู่ เมื่อเห็นภาพนี้ก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์

อดไม่ได้ที่จะจิ๊ปากแล้วกล่าวอย่างชื่นชม

“ใช้เส้นด้ายจากธงรบมาถักทอเป็นของแทนใจ องค์ชายนี่มีของจริง ๆ นะ”

“นี่มันเหนือชั้นเกินไปแล้ว!”

“ให้ตายเถอะ ต้องเรียนรู้วิธีนี้ไว้บ้างแล้ว”

พวกเขาต่างลอบจำวิชานี้ไว้ เตรียมจะนำไปใช้เมื่อตามจีบคุณหนูตระกูลไหนสักคนในอนาคต จะได้แสดงออกมาอย่างน่าประทับใจ

“ราชสำนักไม่มีทางมอบค่ายทหารอู่เวยให้ท่านหรอก”

เมื่อรู้สึกได้ว่าสายตาของฉินหมิงยังคงจับจ้องอยู่ที่ตนเอง

กวนเยว่ก็รีบเก็บสีหน้า ทำหน้าบึ้งแล้วกล่าวเตือนเขา

“เช่นนั้นถ้าข้าได้ค่ายทหารอู่เวยมา เจ้าจะไปหลิ่งหนานกับข้าหรือไม่?”

ฉินหมิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ

กวนเยว่เบือนหน้าหนี กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“บุตรสาวตระกูลกวนไม่แต่งไปต่างแดน”

“แต่ว่าหากท่านได้ค่ายทหารอู่เวยมา... ก็อาจจะได้”

“ตกลงตามนี้?”

“ตกลงตามนี้”

...

ยามค่ำคืน ภายในตำหนักหย่างซิน

จ้าวสี่กุมใบหน้าของตน ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายอยู่ต่อหน้าเซียวซูเฟย

“เขาตีเจ้ากลางถนนจริง ๆ หรือ?”

เซียวซูเฟยขมวดคิ้ว บนใบหน้าแสดงความรังเกียจออกมา

“พ่ะย่ะค่ะ พระสนม เด็กคนนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป จู่ ๆ นิสัยก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน!”

“พาลูกน้องสิบกว่าคน มารุมตีกระหม่อมจนเป็นเช่นนี้!”

“เขายังบอกว่าจะยื่นฎีกาทูลฟ้องว่ากระหม่อมใส่ร้ายป้ายสี สร้างข่าวลือ ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ!”

เซียวซูเฟยไม่ได้ตอบรับเขา

เมื่อเทียบกันแล้ว นางสนใจเรื่องการแต่งงานของฉินหมิงมากกว่า

“เจ้าบอกว่าฉินหมิงยอมตกลงแต่งงานกับตระกูลกวนแล้วหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ เขาพูดออกมาด้วยตนเอง”

“ดี ดีมาก!”

ข่าวนี้ ทำให้ในใจของเซียวซูเฟยผ่อนคลายลงไม่น้อย

เดิมทีนางยังกังวลว่าฉินหมิงจะเลือกแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับขุนนางใหญ่ในท้องถิ่น เพื่อไปสะสมกำลังที่หลิ่งหนาน

แต่เมื่อแต่งงานกับกวนเยว่ เขาก็หมดโอกาสแล้ว

“พรุ่งนี้เจ้าเข้าเฝ้า ก็ให้นำเรื่องนี้ไปทูลฝ่าบาทตามความจริง พระองค์จะทรงลงโทษฉินหมิงเอง”

เดิมทีฮ่องเต้เฉียนก็มีอคติต่อฉินหมิงอยู่แล้ว

ประกอบกับความดื้อรั้นของฉินหมิงในท้องพระโรง

ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเปรียบเสมือนถังดินปืน แค่มีประกายไฟเล็กน้อยก็พร้อมจะระเบิดออกมา

“เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ พระสนม”

จ้าวสี่พยักหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น

หลังจากที่เขาจากไป เซียวซูเฟยก็หันไปมองขันทีหวังเป่าที่อยู่ข้างกาย

“เจ้าไปติดต่อขุนนางกรมต่าง ๆ ให้พวกเขายื่นฎีกาพร้อมกับจ้าวสี่ในวันพรุ่งนี้ ยิ่งหลายคนช่วยกันสุมไฟ ย่อมโหมกระพือได้ง่าย”

“พระสนม ทำเช่นนี้จะไม่ดูจงใจเกินไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”

หวังเป่าค้อมกาย เอ่ยปากด้วยความกังวลเล็กน้อย

ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซียวซูเฟยในราชสำนักก็ไม่ค่อยดีนัก

ฉินหมิงก็ถูกลดขั้นไปแล้ว หากยังคงบีบคั้นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะมีคนนินทาลับหลังได้

มุมปากของเซียวซูเฟยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มดูแคลน กล่าวอย่างเฉยเมยว่า

“ในราชสำนักนี้เมื่อไม่มีเขาแล้ว ต่อไปก็คือโลกของเยว่เอ๋อร์กับข้า”

“ก็แค่คำนินทาไร้สาระ ปล่อยให้พวกเขาพูดไปเถอะ ไม่มีประโยชน์อันใด!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

หวังเป่ารับคำ แล้วจัดแจงให้ขันทีน้อยสองสามคน เริ่มส่งข่าวให้แก่ขุนนางฝ่ายของเซียวซูเฟย

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงรุ่งเช้าของวันถัดมา

เป็นเวลาประชุมราชสำนักยามเช้าอีกครั้ง

ฮ่องเต้เฉียนประทับบนบัลลังก์ในท้องพระโรงจินหลวน ขุนนางทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันเสียงเบา ๆ ก็พลันเงียบลง

พระองค์ทอดพระเนตรลงมาจากบนบันไดใต้ที่ประทับ

ตำแหน่งที่เดิมทีควรจะเป็นที่ยืนของฉินหมิง บัดนี้กลับว่างเปล่า

สิ่งนี้ทำให้ท้องพระโรงจินหลวนที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานานหลายปี ดูว่างเปล่าเล็กน้อย

ราวกับทรงระลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

ฮ่องเต้เฉียนแค่นเสียงเย็น สีพระพักตร์ก็ดูย่ำแย่ลงไปอีกหลายส่วน

“มีเรื่องก็ทูลมา ไม่มีก็เลิกประชุม!”

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูล!”

เมื่อได้รับข่าวนี้

จ้าวสี่ก็รีบก้าวออกมาทันที ในมือถือฎีกา เตรียมถวายรายงานต่อหน้าพระพักตร์

“มีเรื่องอันใด?”

จ้าวสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมสูง

“ทูลฝ่าบาท เมื่อวานนี้กระหม่อมได้ไปยังจวนขององค์ชาย เพื่อถ่ายทอดพระราชประสงค์ของฝ่าบาท แต่องค์ชายกลับมีท่าทีหยิ่งยโส และไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา!”

“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกระหม่อมเดินออกจากจวนอ๋องไป เขากลับเก็บความแค้นไว้ในใจ หาโอกาสก่อเรื่อง และรุมทำร้ายกระหม่อมกลางถนน!”

“กระหม่อมได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังกัดฟันฝืนทนมาเข้าเฝ้าในวันนี้ เพียงเพื่อขอให้ฝ่าบาททรงมอบความเป็นธรรม คืนความยุติธรรมให้แก่กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ในฐานะปัญญาชน หลังจากที่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักมาหลายปี ความสามารถในการกลับดำเป็นขาวของจ้าวสี่ก็ได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว

เพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถกลับผิดเป็นถูก สลับประเด็นสำคัญ

บรรยายให้ฉินหมิงกลายเป็นองค์ชายที่ใจแคบ และเก็บความแค้นต่อราชสำนักไว้ในใจ

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เฉียนค่อย ๆ มืดมนลง

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินคำว่าเก็บความแค้นไว้ในใจและหาโอกาสก่อเรื่อง ความพิโรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที!

“ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ?!”

“ฝ่าบาท เมื่อวานนี้กระหม่อมก็ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในเมืองหลวงเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”

โอวหยางหย่วนผู้ตรวจการแห่งสำนักตรวจการ กล่าวสนับสนุนคำพูดของจ้าวสี่อย่างหนักแน่น

เฉาเจิ้งหยางแม่ทัพรักษาการณ์แห่งกองกำลังรักษาการณ์กล่าวต่อ

“เมื่อวานนี้หน้าประตูจวนขององค์ชายมีผู้คนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก และได้มีปากเสียงกับใต้เท้าจ้าว ทำให้การจราจรในเมืองหลวงติดขัด เป็นกระหม่อมเองที่ต้องนำทหารหลายร้อยนายไป จึงสามารถขับไล่ฝูงชนให้สลายตัวไปได้ในที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำพูดของพวกเขา ฮ่องเต้เฉียนก็ทรงพระพิโรธจนถึงขีดสุด

“เจ้าสารเลวนี่!!”

“ถ่ายทอดราชโองการของเรา ลงโทษฉินหมิงงดเบี้ยหวัดสามปี กักบริเวณครึ่งปี และให้ยุบสามหน่วยพิทักษ์! ให้มีผลทันทีที่ไปถึงหลิ่งหนาน!”

“ว่ากระไรนะ!?”

การกักบริเวณและงดเบี้ยหวัดนั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

แต่การยุบสามหน่วยพิทักษ์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก!

สามหน่วยพิทักษ์คือกองกำลังสามหน่วยของอ๋องผู้ครองหัวเมือง

ตามกฎหมายของราชสำนัก เมื่ออ๋องผู้ครองหัวเมืองเดินทางไปยังที่ดินศักดินาของตน จะสามารถได้รับกองกำลังองครักษ์สามหน่วยจากราชสำนัก

นี่ถือเป็นกองกำลังพื้นฐานที่มอบให้แก่พวกเขา เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถวางรากฐานได้อย่างง่ายดายขึ้น หลังจากที่ไปถึงที่ดินศักดินา

ในอนาคตการป้องกันชายแดน ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสามหน่วยพิทักษ์นี้เช่นกัน

แต่บัดนี้ฮ่องเต้เฉียนกลับจะยุบสามหน่วยพิทักษ์ของฉินหมิง!
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 426

    “ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นก็รายงานขึ้นไปเถิด แต่ค่ายทหารในมือข้าไม่มีทางมอบให้ราชสำนักเด็ดขาด”คำพูดของพวกเขา อันที่จริงฉินหมิงคาดการณ์ได้นานแล้วแต่ค่ายทหารอู่เวย ฉินหมิงเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือไม่ว่าจะเป็นโรงช่าง โรงทอผ้า ร้านขายผ้า หรือโรงผลิตเกลือ ต่างก็เป็นของเขาทั้งสิ้น“ท่านอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”หลี่เหรินโซ่วผู้อยู่ด้านข้างเพิ่งได้ยินฉินหมิงกล่าวตอบ ก็คัดค้านขึ้นทันทีแต่ฟู่เจิ้งเซวียนกลับห้ามเขาไว้“ท่านอ๋อง ท่านจะคิดอย่างไรก็ได้ แต่พวกกระหม่อมจะรายงานต่อราชสำนักตามความเป็นจริงพ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เจิ้งเซวียนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับฉินหมิงให้มากความที่พวกเขามาครั้งนี้ก็แค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นส่วนความผิดที่แท้จริงของฉินหมิงนั้น ถูกกำหนดไว้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงเสียอีก“ย่อมได้”ฉินหมิงพยักหน้าเชื่องช้าระยะนี้ โรงช่างของพวกเขาเดินหน้าผลิตเต็มกำลัง สามารถติดอาวุธให้ทั้งค่ายทหารได้อย่างทั่วถึงแม้แต่จำนวนปืนคาบศิลา ก็มีถึงหนึ่งพันกว่ากระบอกยาเม็ดยิ่งเตรียมไว้นับไม่ถ้วนถ้าราชสำนักมาจริงก็พร้อมสู้นับตั้งแต่ที่ฉินหมิงมาถึงโลกใบนี้ เขาก็ตระหนักดีว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใดควา

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 425

    อีกด้านหนึ่ง ภายในจวนของฉินหมิงหลิ่วเยว่หลีกำลังรายงานตำแหน่งของเหล่าองครักษ์เงา“ท่านอ๋อง ครั้งนี้ตรวจพบสิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่อำเภอซี ในสังกัดเมืองเฉียนถังเพคะ”“ข้ารู้แล้ว”ฉินหมิงพยักหน้าแช่มช้า จากนั้นจึงเหน็บดาบยาวไว้ข้างเอว ก่อนขี่ม้าตรงไปที่อำเภอซีด้วยตนเองไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าครั้งนี้ ฉินหมิงจะไปกำจัดเหล่าองครักษ์เงาเพียงลำพัง!กลุ่มข่าวกรองของหลิ่วเยว่หลี เพียงระบุตำแหน่งให้เขารู้เท่านั้นการลงมือฉายเดี่ยวของฉินหมิงนั้นทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และเด็ดขาด โดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสตั้งตัวสักนิด!ฉินหมิงมีความสามารถถึงขั้นนั้นแล้วแม้การออกกระบวนท่าต่าง ๆ จะยังไม่ชำนาญนัก แต่สิ่งที่เขาขาดในยามนี้ก็คือการฝึกฝน“หวังว่าคู่ซ้อมในวันนี้จะทำให้ข้าพอใจก็แล้วกัน”ขณะนั่งอยู่บนหลังม้า ฉินหมิงก็พึมพำกับตนเองอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ฉินหมิงย่อมต่อสู้กับพวกเขาได้อย่างสูสีแม้จะมีเพียงตัวคนเดียว แต่เขาก็สามารถสังหารหมู่กลุ่มคนขนาดเล็กของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงสิบกว่ากลุ่มเขาลงมือเพียงลำพัง ไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือต่อให้พบเห็น พวกเขาก็คงไม่คิดว่าฉินหมิงผู้ควบม้าอยู่ด้านนอกเพียงลำพ

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 424

    พวกเขาล้วนเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักเดิมทีฟางชิงหย่วนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่หลังถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีอำนาจเหมือนเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งใหญ่อีกต่อไปย่อมทำให้บรรดาเพื่อนขุนนางที่เคยร่วมงานกัน คิดดูแคลนเล็กน้อยประกอบกับจุดยืนของพวกเขาในยามนี้แตกต่างกันขุนนางส่วนใหญ่ล้วนยืนอยู่ข้างเซียวซูเฟย จึงไม่คิดเปิดโอกาสให้ฉินหมิงกับฟางชิงหย่วนได้แข็งข้อส่วนหลี่เหรินโซ่วผู้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหม ด้วยความที่กรมกลาโหมมักไปเบิกเงินและเสบียงจากกรมคลังอยู่บ่อยครั้งแต่ฟางชิงหย่วนเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการจึงปฏิเสธคำขอของหลี่เหรินโซ่วเป็นประจำ ทำให้หลี่เหรินโซ่วแค้นฝังใจในเวลานี้เมื่อเห็นเขาตกต่ำ หลี่เหรินโซ่วจึงต้องเข้ามาเหยียบย่ำซ้ำเติมเป็นธรรมดาเมื่อได้ยินคำพูดดูแคลนของอีกฝ่าย บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของฉินหมิงอย่างซ่งติ้งเซิงและหลิวฉ่วง ต่างก็รู้สึกไม่พอใจฟางชิงหย่วนเองก็ไม่ใช่คนที่จะยอมผู้ใดโดยง่าย จึงกล่าวขึ้นทันที“ใต้เท้าหลี่ หากท่านไม่เข้าใจบัญชีของกรมกลาโหม ก็มากราบข้าเป็นอาจารย์สิ เดี๋ยวข้าสอนท่านเอง”“จะให้ข้ากราบเจ้าเป็นอาจารย์น่ะหรือ?”หลี่เหรินโซ่วเบะปากด้วยคว

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 423

    “รับบัญชาเพคะ!”หลิ่วเยว่หลีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนหันหลังเตรียมตัวเดินจากไปนางจะนำกลุ่มองครักษ์ลับ ไปสืบหาร่องรอยขององครักษ์เงาเหล่านั้นส่วนฉินหมิง ช่วงนี้คงต้องลบล้างอิทธิพลที่เกิดจากสำนักหลัวให้ได้ก่อนรัตติกาลมาเยือน กวนเยว่ต้มชาโสมถ้วยหนึ่ง นำมาวางลงตรงหน้าฉินหมิงฉินหมิงสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่ง นั่งรับลมฤดูใบไม้ร่วงอยู่ในศาลา“หากราชสำนักใช้เรื่องสำนักหลัวเป็นข้ออ้าง นำทัพเข้ามาในหลิ่งหนาน พวกเราจะทำอย่างไร?”กวนเยว่กังวลใจเรื่องค่ายทหารอู่เวยยิ่งนักเนื่องจากนี่คือกองทัพสำคัญที่บิดานางทิ้งไว้ให้ฉินหมิงเคยกล่าวไว้ว่า จะฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่บัดนี้ เขาทำได้แล้ว แต่ก็มีแรงกดดันจากราชสำนักตามมาติด ๆ เช่นกัน“กองทัพเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ รอให้พวกเขาเคลื่อนไหวก่อนค่อยว่ากัน”“อืม”หลายวันต่อมา คณะผู้ตรวจสอบจากราชสำนักก็เดินทางมาถึงหลิ่งหนานคนที่มาในครั้งนี้คือ หัวหน้าผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายแห่งสำนักตรวจสอบ ฟู่เจิ้งเซวียนผู้ช่วยของเขาคือรองเจ้ากรมกลาโหม หลี่เหรินโซ่วนอกจากนี้ยังมีลู่เหยียนเหนียนจากกรมทหารม้า เริ่นหลิงอวิ๋นจากกรมโยธาธิการและผู้คน

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 422

    ในอดีตครั้งที่เฉินซื่อเม่าอยู่ในราชสำนัก เขายังพอจะกดข่มคำพูดว่าร้ายฉินหมิงจากฝ่ายพระสนมเซียวซูเฟยได้บ้างแต่เมื่อเขาออกมาจากเมืองหลวง พระสนมเซียวซูเฟยและเหล่าขุนนางใต้สังกัดนางก็สบโอกาสลงมือพวกเขาอาศัยจังหวะนี้ เริ่มโจมตีฉินหมิงทันทีเมื่อได้ยิน ฉินหมิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนสอบถาม“แล้วศึกทางเหนือเล่า พวกเขาไม่สนใจแล้วหรือ?”“ได้ข่าวว่ายังรบกันอยู่ แต่ฝ่ายต้าเฉียนน่าจะใกล้ขอเจรจาสงบศึกสำเร็จแล้วเพคะ”“เจรจาสงบศึก!?”ฉินหมิงถึงกับตกตะลึงแม้ชนเผ่าทางเหนือจะมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง แต่กำลังรบของต้าเฉียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันยิ่งไปกว่านั้น ต้าเฉียนเป็นเพียงฝ่ายตั้งรับรอโต้กลับ แต่บัดนี้กลับคิดยอมจำนนนี่ช่างน่าอัปยศเสียจริงหากเป็นฝ่ายเริ่มขอเจรจาสงบศึก เมื่อถึงเวลาก็ต้องชดใช้ด้วยเงินมหาศาล มิหนำซ้ำอาจต้องยกดินแดนให้อีกฝ่ายต้าเฉียนก่อตั้งประเทศมาหลายชั่วอายุคน ยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน!“จากการสืบสวนของกองเงาทมิฬ ราชสำนักคงอยากถอนตัวโดยเร็ว เพื่อมาจัดการกับท่านอ๋องเพคะ”หลิ่วเยว่หลีกล่าวถึงการคาดเดาของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและนี่ก็สอดคล้องกับวิธีการทำงานของราช

  • ตำแหน่งองค์รัชทายาท ผมไม่เอาแล้ว   บทที่ 421

    เมื่อเห็นดังนั้น ฉินหมิงก็รีบชักมือกลับทันทีเฉาชวนกับหลิวฉ่วงจึงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้น พลางหอบหายใจหนักหน่วง“สำนักหลัวช่างน่าสะพรึงกลัวโดยแท้!”ยามนี้บนใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงพูดตามตรง พลังลมปราณของฉินหมิงเวลานี้ หากบอกว่าเป็นอันดับสองในใต้หล้า ก็คงไม่มีผู้ใดกล้าบอกว่าตนเป็นอันดับหนึ่งแล้ว“ท่านอ๋อง กระหม่อมจะไปรวบรวมตำราวรยุทธ์ให้ท่านเองพ่ะย่ะค่ะ!”แม้หลิวฉ่วงจะพ่ายแพ้ให้แก่ฉินหมิง แต่เมื่อฟื้นตัวแล้ว เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้งหากฉินหมิงมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หลังฝึกฝนวรยุทธ์ ก็สามารถขึ้นเป็นยอดแม่ทัพอีกคนหนึ่งของค่ายทหาร และเข้าร่วมสงครามได้อย่างแน่นอนและการค้าขายของพวกเขาขณะนี้ก็เป็นไปด้วยดี กิจการทุกประเภทล้วนได้รับผลกำไรมากมายกระทั่งเงินที่เคยหยิบยืมจากหอการค้าหลิ่งหนาน ก็ชดใช้คืนหมดสิ้นและเมื่อมีเงินแล้ว ก็ซื้อตำราฝึกวรยุทธ์เหล่านั้นได้ไม่มีปัญหา“จะลำบากเช่นนั้นไปไย”ฉางไป๋ซานพลันขวางเขาไว้ และโบกมือเบา ๆจากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าผากของตนเองพลางกล่าว“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”“ตอนแรกที่ข้าติดตามท่านอ๋องนั้น ความจริงก็เพื่อฝึ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status