เข้าสู่ระบบเมื่อกรรวีไปถึงโรงพยาบาล ก็ได้พบกับวาสุกรีพี่ชายคนกลาง ที่กำลังยืนอยู่หน้าห้องของคนไข้
วาสุกรีเพิ่งมาถึง...เขาจึงพยักหน้ารับเมื่อเห็นกรรวียกมือขึ้นไหว้ขณะที่เดินเข้ามาหา...
พี่ชายคนกลางอ้าแขนออกกว้าง..พลางโอบกอดร่างบางอย่างถือวิสาสะ...และฉวยจังหวะนั้นกดจูบหน้าผากของน้องสาวด้วยความเร็วปานแสง
จุ๊บ!
“งื้อออ.พี่งูแกล้ง!นี่มันโรงพยาบาลนะคะ...แล้วลูกกวางก็โตเป็นสาวแล้วด้วย” กรรวีเงยหน้าขึ้นโวยวายใส่วาสุกรี ก่อนขืนตัวเอาไว้เมื่อเห็นพี่ชายก้มหน้าลงมาแล้วทำท่าจะจูบซ้ำ
“พี่ทำกับน้องแบบนี้มันผิดด้วยเหรอวะ..แล้วอันไหนที่เรียกว่าโต...หัวเนี่ยเหรอ” เขาว่ายิ้มๆ...ก่อนจะคลายวงแขนออกให้ แล้วเปลี่ยนเป็นเลื่อนมือขึ้นไปวางไว้บนหัวของน้องสาว จากนั้นจึงจับโยกไปมาเบาๆ ราวกับว่ามันคือของเล่น..
“พี่งูแกล้ง...ลูกกวางจะไม่มาให้เห็นหน้าอีกแล้ว”
ริมฝีปากบนของหญิงสาวเชิดขึ้นเกือบถึงปลายจมูกโด่งเล็กตอนว่าออกไป ก่อนค้อนใส่พี่ชายคนกลางอย่างมีแง่งอนตอนหมุนตัวเดินหนี แต่ถูกวาสุกรีคว้าข้อมือเอาไว้ได้
หมับ!
“มานี่เลย..จะไปไหน...เดี๋ยวนี้พี่กอดนิดหอมหน่อยไม่ได้หรือไง..งอนพี่จริงเหรอ”
“จริง!”
“แล้วทำยังไงจะหายงอนพี่ละหื้ม” วาสุกรีเอ่ยถาม ขณะกวาดสายตามองตามร่างกายของคนน้องไปทั่ว ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
ช่วงหลังเขาไม่ค่อยได้เจอน้องสาวสักเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยได้กลับบ้านเหมือนกับพี่ชายคนโตนั่นแหละ แล้วก็คลาดกันไปคลาดกันมา นี่มันก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ ปีได้แล้วละมั้ง
นี่น้องสาวของเขา...ก็เริ่มจะโตเป็นสาวแล้วนี่หว่า..ยิ่งโตก็ยิ่งสวยนะว่าไหม...
“เลี้ยงไอติม!” เธอเอ่ยออกมาแล้วฉีกยิ้มกว้างให้จนตาหยีลง ซึ่งบ่งบอกว่าเธอไม่ได้งอนเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่แค่อยากจะแกล้งเขาเล่นเฉยๆ
นั่นเลยทำให้วาสุกรีหัวเราะพรืดออกมา...แล้วเอ่ยต่อจากนั้นว่า
“เออ..มันโตเป็นสาวแล้วจริงๆ ด้วยว่ะ”
“พี่งูดูแก่ไปเลยใช่ไหมล่ะคะ..”
เธอหยอกพี่ชายกลับไป...และยิ้มให้อย่างน่ารัก…
นาน ๆ เจอกันทีกรรวีก็มักจะถูกวาสุกรีแกล้งหยอกเธอแบบนี้ตลอด...แต่คนเป็นพี่ชายก็ไม่ควรกอดหรือจุ๊บเหม่งเธอกลางที่สาธารณะหรือต่อหน้าสาธุชน แล้วทำให้คนเป็นน้องต้องอับอายคนอื่นอย่างนี้ไหม ก็เธอไม่ใช่เด็กแล้วนี่นา แต่วาสุกรีก็เป็นพี่ชายที่ใจดีกับกรรวีมากหลายกว่ามนต์พยัคฆ์ตั้งหลายพันเท่า แล้วเขาก็มีอายุน้อยว่าพี่ชายคนโตแค่เพียงสองปี...
ชายหนุ่มมีชื่อเล่นว่า จงอาง เพราะเขาเกิดปีงูใหญ่..แต่กรรวีเรียกพี่ชายคนนี้ว่าพี่งู มันดูสั้นดี...
ส่วนอีกคนนั่นชื่อดูสั้นก็จริง แต่หญิงสาวเปลี่ยนให้มันยาวขึ้นว่า...เสือกะบาก นั่นน่ะเหมาะกับนายคนนั้นมากที่สุด...
“จากจงอางกลายเป็นงูก็ดูแย่พออยู่แล้ว..น้องยังมาว่าพี่แก่อีกนี่นะ...รู้สึกหมดแรงเลยว่ะไอ้แสบ..”
วาสุกรีบ่นให้อย่างไม่จริงจัง พลางวางมือกว้างไว้บนหัวของน้องสาวแล้วโยกเล่นอีกครั้งอย่างรู้สึกเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะเบนสายตาไปตามเสียงของประตูที่กำลังถูกเปิดออก ด้วยฝีมือของมนต์สิงหาที่ยื่นหน้าออกมาเรียก
“ลูกกวาง...จงอางเข้ามาในห้องก่อนเถอะลูก...”
วาสุกรีหันมาพยักหน้า..ก่อนวาดแขนขึ้นมาคล้องคอของน้องสาวให้เดินเข้าไปพร้อมกัน
“ไอ้เสือมันแย่เลยเหรอแม่..ถึงได้ให้ไอ้วอกมันโทรตามผม...อ้าว!..แล้วทำไมหน้าของไอ้เสือมันถึงได้ดำคล้ำขนาดนั้นกันล่ะครับ”
วาสุกรีเอ่ยและทัก...เมื่อเห็นมนต์พยัคฆ์นอนนิ่งหมดสภาพอยู่บนเตียงของคนไข้...
ซึ่งตอนนี้มนต์พยัคฆ์กำลังหลับไปเพราะฤทธิ์ยา..ไม่งั้นกรรวีคงเข้ามาอยู่ในห้องนี้ไม่ได้ หรือไม่ก็ต้องแอบอยู่ข้างหลังของวาสุกรี...แต่ถ้ามารดาอยู่ด้วยแบบนี้ มนต์พยัคฆ์คงไม่กล้าอาละวาดใส่กรรวีมากเท่าไหร่...
จริงเหรอ...เมื่อเช้านี้ยังตะคอกใส่เธออย่างเกรี้ยวกราด...ขนาดว่าแย่แล้วนะนั่นน่ะ...
แต่ถ้าแม่ไม่เรียกให้เธอเข้ามา ก็ใช่ว่าเธออยากจะเสนอหน้ามาให้เขาเห็นหรอกนะ...จากอาการหนักอยู่แล้วอาจจะหนักกว่าที่เป็นอยู่เพราะเจอสารกระตุ้นต่อมอย่างเธอเข้านี่แหละ
“นั่นน่ะสิ...ผมก็ว่าเหมือนพี่งูนะ” หนุมานเอ่ยแทรกขึ้นมาจากโซฟามุมห้อง..
วาสุกรีตวัดสายตามองน้องชาย...ก่อนเอามืดชี้หน้าและทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง...
“เดี๋ยวๆ นะ...นี่แกเรียกชื่อฉันตามลูกกวางไปแล้วเหรอวะ.. แกลืมไปแล้วหรือไงว่าพี่คนนี้มีชื่อว่าจงอาง...แกเรียกเหมือนฉันเป็นงูเขียวเลยนะโว๊ย! ไอ้ลิงสังคัง!” วาสุกรีแว้ดใส่น้องชายแล้วเรียกกลับไปให้หนักกว่าอีก
“พี่งู! พี่ก็เรียกผมให้มันถูก ๆ หน่อยเด้” ท่าทางกวนๆ ของหนุมานทำให้วาสุกรีรู้สึกหมั่นไส้...เพราะยังไงหนุมานก็ยังเรียกชื่อของพี่ชายผิดไปอยู่ดี
“ลิงกัง!พอใจยังวะ”
“พี่งู...เอ้ย! พี่จงอาง..ถูกต้องนะครับ”
“เออ..ไอ้วอก”
สองพี่น้องปะทะคารมกันอย่างน่ารักจนกรรวีหัวเราะขำ นาน ๆ ทีเธอจะได้เห็นภาพแบบนี้บ้าง...แต่กับมนต์สิงหาเวลานี้เธอกำลังทุกข์ใจ เพราะเป็นห่วงลูกชายคนโต จนไม่มีอารมณ์มาเล่นกับลูกทุกคน
“หยุดเถียงกันก่อนนะจงอาง..วอก...เสียงดังกันใหญ่ เสือกำลังหลับอยู่” มารดาเอ่ยขึ้นมาห้าม...แต่คนอารมณ์ดีอย่างหนุมานอดค้านขึ้นมาไม่ได้
เขาหยัดตัวลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินมาชะโงกหน้ามองพี่ชายที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง...
“แม่จะบอกพวกเราว่า อย่าแหย่เสือหลับอย่างนั้นใช่ไหมละครับ...สภาพ! เอาไม้เขี่ยยังไม่ตื่นเลยนะครับแบบนี้”
กรรวีหัวเราะชอบใจ...ก่อนหันมาสะกิดมือของวาสุกรีที่อยู่ข้างกันแล้วเอ่ยขึ้นมาบ้างว่า
“พี่งู..ดูพี่ลิงสิคะ ว่าคุณเสือเป็นขี้ใช่ไหมคะนั่นน่ะ”
คำถามน่ารักจากน้องสาว ทำเอาสามคนพี่น้องต้องหัวเราะเสียงดัง จนมนต์สิงหาถึงกับส่ายหน้าหนี เพราะเวลานี้เธอกำลังเครียดมาก
เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาดุ ๆ จากมารดา ทุกคนจึงพร้อมใจกันหยุดหัวเราะราวกับมนต์สิงหาคือผ้าเบรคชั้นดี
แต่คนที่ดูเหมือนจะหลับอยู่บนเตียง และต้องทนนอนฟังเสียงน้องๆ นินทาตัวเองในระยะเผาขน เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากซะจากนอนกัดฟันอยู่อย่างนั้นคนเดียวเงียบๆ
ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ ไอ้พวกนอกคอกทั้งหลายที่เห็นขี้ดีกว่าไส้ แล้วก็ชอบเข้าข้างยายเด็กขยะนั่นตั้งแต่เล็กจนใหญ่..ซึ่งรวมไปถึงพ่อกับแม่ของเขานั่นด้วยแหละ ที่รักและเอ็นดูลูกกวางยิ่งกว่าเขาที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่านเสียอีก....ยัยเด็กขี้ประจบ..สอพรอก็ที่หนึ่ง...ไม่มีวันที่เขาจะญาติดีด้วยหรอกนะชาตินี้น่ะ...ฝันไปเหอะ!
“เสือถูกทำของใส่”
“ห้ะ!”
23.50 น.“พี่เสือ...” เสียงหวานเรียกหาเขาดังแว่วมาแต่ไกล...“หืม...เธอมาหาพี่อีกเหรอ?”มนต์พยัคฆ์ขานรับกับเอ่ยถามกลับแบบกึ่งหลับกึ่งตื่น“มารับลูกกวางสิคะ...ใกล้ถึงเวลาของเราแล้วค่ะ”“ที่ไหน...จะให้พี่ไปรับเธอได้ที่ไหน?”“พี่เสือรู้ว่าลูกกวางอยู่ที่ไหน?”สิ้นเสียงของกรรวี มนต์พยัคฆ์ก็มาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหน้าของต้นสาละ ที่ด้านบนของต้นมีดอกของมันดอกหนึ่ง กำลังมีแสงสีทองเปล่งประกายระยิบระยับสว่างวาบ ๆ และกำลังจะผละจากกิ่งลอยลงมาอย่างช้า ๆ ก่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่ม...เขารู้สึกตื่นเต้น ระคนประหลาดใจ แล้วก็อยากจะร้องไห้ เมื่อดอกไม้ดอกนั้นหายไป แล้วกลายเป็นหญิงสาวที่เขาโหยหามาแสนนาน..และไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เธอคืนกลับมาอีกครั้ง“ลูกกวาง!”กรรวีโผเข้ากอดร่างสูงที่มัวแต่ยืนอึ้ง แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะกอดร่างเล็กของเธอเอาไว้อย่างแนบแน่นด้วยเช่นกันกอดกันอยู่อย่างนั้น...โดยไม่รู้ว่ามีสายตาอีกสองคู่แอบมองอยู่อย่างตกใจ...จนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกของเพื่อนรัก ดังขึ้นมาจากด้านหลัง เพราะทนแอบดูอยู่ต่อไปไม่ไหว...“ไอ้เสือ!...มึงถูกผีต้นไม้นี่หลอกเอาแล้วนะ มันไม่ไช่ลูกกวางของมึงหรอก...”ชนธั
มนต์พยัคฆ์ยืนกอดอก ขณะแหงนคอมองต้นสาละที่มีความสูงราวยี่สิบเมตร ลำต้นที่มีดอกของมันทั้งตูมและผลิบานประดับอยู่ล้อมรอบจนถึงโคนต้น ส่งกลิ่นหอมละมุนชวนหลงไหล..คล้ายกับเชิญชวนให้เดินเข้าไปใกล้“ถ้ามึงคิดจะโค่นทิ้ง งั้นกูขอ”มนต์พยัคฆ์เอี้ยวคอหันมาพูดกับชนธัญ...ที่ยืนมองเขาอยู่ข้างหลัง...ก่อนจะหันกลับไปมองดอกสาละดอกหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนกับดอกนั้นที่มันหายไปมนต์พยัคฆ์กำลังจะเอื้อมมือขึ้นไปจับ แต่กิ่งของดอกไม้กลับโน้มลงมาหาเขาซะเอง“เฮ้ย!เล่นกูซะกลางวันเลย สัสเอ้ย!” ชนธัญสบถใส่ ในจังหวะที่ก้าวถอยหลังมาสองสามก้าว เพราะรู้สึกไม่ค่อยจะไว้ใจกับต้นไม้ต้นนี้ที่เขาคิดว่ามันมีผีสิง…ยิ่งเขาต่อต้านมันเท่าไหร่ ดูเหมือนกับต้นไม้ต้นนี้จะรู้ และพยายามโต้กลับมาทุกครั้ง แล้วก็ชอบทำให้เขาเห็นอะไรแปลก ๆ แบบนี้ทุกที“แต่กูชอบ..ไหนมึงบอกจะเล่า..กูรอฟังอยู่...”เมื่อถูกมนต์พยัคฆ์ทวงถาม ชนธัญจึงเริ่มเล่าให้เพื่อนฟังต่อจากนั้นว่า“เมื่อสักสองเดือนก่อน..อยู่ ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาเอง โดยใช้ระยะเวลาเจ็ดวันในการเจริญเติบโตเป็นต้นเท่านี้ได้...ขนกูลุกไปยันขนตูด..มึงเชื่อกูมั๊ย!”มนต์พยัคฆ์เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นรับ อีกคนจึ
ต่อให้เกลียดแค่ไหน...ยังไงก็ต้องรัก...สุดท้ายก็ต้องจาก...ในที่สุดเวลาที่มนต์พยัคฆ์รู้สึกกลัวก็เดินทางมาถึง…ชายหนุ่มนั่งกุมมือของหญิงสาวอันเป็นที่รัก ไม่จากไปไหนเลยนานเป็นเวลาหลายชั่วโมง รวมไปถึงทุกคนที่พร้อมใจมารวมตัวกันอยู่ภายในห้องของกรรวี ที่ตอนนี้ดูแคบไปถนัดหญิงสาวนอนเหยียดยาวอยู่บนที่นอนนุ่ม สีหน้าดูดีขึ้นหลังจากที่พูดคุยเข้าใจกันดีแล้วทุกอย่าง รวมไปถึงการจากไปของเธอที่ใกล้จะถึงเวลาอีกในไม่กี่นาทีข้างหน้า...การจุติเป็นมนุษย์ของกรรวีไม่ได้ผ่านครรภ์ของมารดา แต่เกิดจากการสร้างกายหยาบของมนุษย์ขึ้นมา ด้วยมนตราชั้นสูงของผู้ที่มีฤทธิ์มาก...แล้วฝังดวงจิตของเธอเข้าไปไว้ในนั้น...เธอจึงไม่มีพ่อแม่...และไม่เคยถูกใครนำมาทิ้ง…มันเป็นความตั้งใจของเธอเองทั้งสิ้น...การจากไปก็เช่นกัน...มนต์พยัคฆ์ฟุบหน้าลงร้องไห้กับที่นอน เมื่อร่างบางที่เขากำลังกุมมืออยู่เริ่มสลายหายไปจนหมด และตรงตามเวลาที่เธอได้บอกเอาไว้ เหลือเพียงดอกไม้ดอกเดียวที่เธอให้เขาได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก ดอกไม้ประจำตัวของเธอ ที่มีสีชมพูอมเหลืองหรือแดง ด้านในสีม่วงอ่อนอมชมพู มีกลิ่นหอมมาก...หอมอบอวลไปทั่วห้อง ดอกไม้ที่มีเขาเป็นเจ
วาสุกรีเข้าไปรับร่างบางทันที ที่เห็นเธอก้าวเท้าออกมาจากห้องพระ ในสภาพอ่อนแรง ใบหน้าน่ารักปราศจากสีเลือด หน้าผากมนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ บ่งบอกว่าหญิงสาวเหมือนจะไม่ไหวแต่ก็ยังฝืนใจเอ่ยกับพี่ชายทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงพร่าเครือ“คนพวกนั้นคงไม่มารบกวนครอบครัวของเราแล้วนะคะ”“ลูกกวางไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ พี่จะเราไปพัก”หนุมานเอ่ยออกมาอย่างตะหนก เพราะเคยเห็นอาการของน้องสาวมีสภาพเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นเธอที่บ้านโบราณในคืนนั้น…“ลูกกวางอยากไปหาพี่เสือ...พาลูกกวางไปหาพี่เสือนะคะ”วาสุกรีมองสบตากับหนุมาน ก่อนเลื่อนสายตามามองหน้าน้องสาว ที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนแล้ว“ไอ้เสือมันสั่งไว้ว่าไม่อยากจะเจอเรา มันจะไม่ออกมาจากห้องถ้าลูกกวางยังอยู่ ”คำพูดตรง ๆ ที่ออกมาจากปากของวาสุกรีทำร้ายจิตใจกรรวีอย่างที่สุด...มนต์พยัคฆ์ไม่อยากเห็นหน้าเธอ ถึงแม้จะรู้ว่า...นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายระหว่างเขาและเธออย่างงั้นเหรอ?แรงสั่นไหวของน้องสาวในอ้อมแขน...บอกเขาได้ว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่ มันทำให้คนเป็นพี่ชายรู้สึกปวดหัวใจแทน แอบไปรักกันลึกซึ้งขนาดนี้โดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วจู่ ๆ ก็มารับรู้เรื่องราวของทั้งคู่เอาตอนที่ต้อง
ความเงียบถูกปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณอย่าว่าแต่มนต์พยัคฆ์ตัวชาเลย วาสุกรีกับหนุมานก็รู้สึกไม่ต่างกัน...อยากจะเดินหนีแล้วหายตัวเข้าห้องตัวเองเหมือนกับที่พี่ชายทำ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อน้องสาวยืนร้องไห้จนตัวโยน ก่อนร่างเล็กจะทรุดตัวลงนั่งยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้อยู่คนเดียววาสุกรีหันมามองหน้าน้องชายพยักหน้าให้กันอย่างทำใจ ก่อนจะพากันเดินเขาไปนั่งข้างกันกับน้องสาว เขายกมือหนาขึ้นลูบผมเธออย่างแผ่วเบา พยายามบังคับตัวเองไม่ให้อ่อนไหวมากไปกว่านี้ แล้วเอ่ยกับน้องสาวที่น่ารักเพียงคนเดียวของบ้านคนนี้ว่า“เสือมันคงยังทำใจไม่ได้ เดี๋ยวพ่อกับแม่คงไปคุยกับมันเองนั่นแหละ ว่าแต่เราเถอะ ไม่ร้องไห้แล้วได้มั๊ย?...ไหน ๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะไปแล้ว ”ถึงตรงนี้เสียงของวาสุกรีเริ่มสั่น...เขาหยุดพูดกับกระพริบตาถี่..เพื่อไล่รื้นน้ำตาให้ออกไป แล้วจึงเค้นสียงพูดให้เป็นคำต่อจากนั้นว่า...“เราควรจะกอดกัน ก่อนที่จะไม่มีเวลาให้กอด...เราควรจะ....”หยุด...เพื่อบังคับน้ำตาตัวเองด้วยการเงยหน้าขึ้น ให้มันไหลกลับเข้าไปในอก แล้วจึงเค้นสียงพูดให้เป็นคำต่อจนจบประโยคว่า“...เราควรจะบอกรักกัน...ก่อนจะไม่ได้พบกันอีกแล้วว่า
ธรากรทำทุกอย่างตามที่บุตรสาวแนะนำอย่างเร่งด่วน ถึงแม้จะกะทันหัน แต่พนักทุกคนต่างก็ช่วยกันอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะฉุกละหุกไปสักหน่อย แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้เหตุผลว่าทำไม? ย่างเข้าวันที่สาม สาขาในเครือของธรากรกรุ๊ปทุกที่ทั่วประเทศได้ทำบุญใหญ่เสร็จสิ้นไปแล้วทุกคนต่างเหนื่อยล้า แต่ก็รู้สึกดีใจที่ทำทุกอย่างให้แล้วเสร็จได้ทันตามเวลา และกลับมารวมตัวกันที่บ้านเหมือนเคยโดยที่ยังไม่มีใครได้รู้ว่าเหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้น สองวันสุดท้ายที่น้องน้อยของบ้านต้องจากไปอย่างที่ไม่มีวันกลับมาวาสุกรีไม่ได้ไปกองถ่าย เขาช่วยงานบุญที่บริษัทร่วมกับพี่ ๆ อย่างเต็มที่จนสุดกำลังความสามารถมนต์พยัคฆ์แทบไม่มีเวลาได้พูดหรือคุยกับกรรวีเลยทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ ๆ ได้แต่มองตากันอย่างเข้าใจ เพราะต้องคอยหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ใครรู้หรือจับได้สิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหยุดได้..นั่นก็คือเวลา...เวลาที่ต้องพลัดพรากจากกันมันใกล้เข้ามาทุกที...สีหน้าที่ดูเศร้าหมองของกรรวี ทำให้มนต์พยัคฆ์จับสังเกตุได้ เขาอยากจะถามว่าเธอกำลังทุกข์อะไร ในเมื่อสามวันที่แล้วเขายังเห็นเธอยิ้มได้อยู่เลยชายหนุ่มได้จังหวะในตอนที่เธอข







