หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศมึนตึงก็ปกคลุมไปทั่วบ้านบุรณากรณ์ คุณพราวพิไลที่โกรธสามีหนีไปอยู่บ้านผู้เป็นมารดาชั่วคราว ส่วนบุตรชายก็มักหมกตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร หากปกติยามเช้า สาย เที่ยง เย็น ก็มักจะมีคนยกเสบียงเข้ามาเสิร์ฟถึงที่ ทว่าวันนี้คอย...หาย จนเจ้าตัวทนหิวไม่ไหวต้องออกมาจากห้อง เด็กชายเหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งมีชีวิต แล้วเงาวอบแวบก็โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องรีบเรียก
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เงาที่รีบเดินงุดๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง ถาดอาหารที่แบกมาตกแตกกระจาย เมื่อเห็นคนที่ยืนตะหง่านบนเชิงบันได ดวงตาสีนิลที่มองลงมาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นชาและน่ากลัว
“ขะ...ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงรีบก้มหน้าก้มตาลนลานเก็บเศษจานที่ตกแตกที่พื้น
“คนอื่นๆ หายไปไหนหมด” เขาถามด้วยเสียงเย็นเยียบ
“เอ่อ... อยู่ที่เรือนเล็กค่ะ”
“แล้วจะยกถาดอาหารนั่นไปให้ใคร”
“ปะ...ไปให้...เอ่อ” คนพูดรวบรวมความกล้าเงยหน้าจ้องกลับไปทางคนถาม
“ให้ฉันงั้นเหรอ? ใครใช้ไม่ทราบ” คนตัวเล็กสะอึก รีบก้มหน้าซ่อนความน้อยใจ มือเล็กค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงกำวัตถุที่นอนนิ่งในนั้นราวกับขอกำลังใจ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่บรรจงซักจนหมดคราบเลือด ตั้งใจจะนำมาคืนเจ้าของมาหลายวัน เมื่อวันนี้เห็นใครๆ ก็วุ่นวายทำงานกันโกลาหลจนลืมเจ้านายอีกคนเสียสนิท ด้วยความหวังดี เมื่อเห็นถาดอาหารวางเตรียมไว้ในครัวจึงหมายตอบแทนน้ำใจที่ได้รับบ้าง แต่กลับถูกตัดรอนอย่างไร้เยื่อใย
“อวดดีไม่เข้าเรื่อง คราวหลังถ้าไม่สั่ง อย่ายุ่ง” ดวงตาคมกริบเบนไปมองทางอื่น “ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยได้ยิ่งดี”
“เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งไป” เสียงเรียกนั้นทำให้เด็กชายชะงัก ศุภิสรารวบรวมความกล้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมายัดคืนใส่มือเจ้าของ “คืนค่ะ ผ้าเช็ดหน้าที่คุณให้ยืมเช็ดเลือดวันก่อนไงคะ ฉันเอาไปซักรีดให้แล้ว ตั้งใจจะคืนหลาย...”
“แคว่ก!” ยังไม่ทันขาดคำ คนพูดก็พลันตะลึงงัน เมื่อเจ้าของผ้าเช็ดหน้าฉีกผ้าผืนน้อยทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี รอยยิ้มหยันแต้มบนมุมปาก ก่อนบดปลายเท้าขยี้เศษผ้าที่น่าสงสารผืนนั้นราวกับขยะไร้ค่า
“ของสกปรกแบบนี้ ฉันไม่อยากได้คืนหรอก เอาทิ้งขยะไปแล้วกัน” ศุภิสรามองผ้าผืนน้อยน่าสงสารที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้างโดยไม่มีความผิด หรือถ้าจะผิดก็เพียงเพราะมาอยู่ในมือคนต้อยต่ำอย่างเธอเท่านั้น
“อย่า!” มือคู่น้อยรีบดึงผ้าที่น่าสงสารออกมาจากปลายเท้าเจ้าของ ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มตกบันไดลงมา เคราะห์ดียันพื้นไว้ทัน แต่ก็ยังถูกเศษชามที่แตกบาดจนเลือดอาบอยู่ดี
“คุณเพชร!” ศุภิสราเบิกตาค้าง พอได้สติก็รีบเอาผ้ายับยู่ยี่ในมือมาซับเลือดให้อย่างหวังดี
“ออกไป! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” พีรภัทรตวาดเสียงดัง “ถึงตาย ฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ... ไป!”
เด็กชายสะบัดสุดแรงจนพลั้งมือผลักร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลัง มือที่ยันพื้นโดนเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นแผลเหวอะหวะ เด็กชายมองภาพนั้นตาค้าง ด้วยสำนึกที่ดีทำให้เขาถลันตัวจะเข้าช่วย หากแล้วภาพที่พ่อของเขาทำร้ายผู้เป็นมารดาก็แวบเข้ามาในสมอง ทำให้ร่างสูงตรึงนิ่งกับที่ เด็กคนนี้ควรรู้รสชาตินั้นบ้าง
คนตัวเล็กครางแผ่ว ความรู้สึกชาบริเวณแผลที่ถูกเศษแก้วบาดจนเลือดทะลัก พอมองเห็นร่างอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อคลอเต็มหน่วย พีรภัทรรีบเมินหน้าหนีภาพนั้นทันที
“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ เธอผิดเองที่ไม่อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วต่อไปก็จำไว้ซะด้วยล่ะว่า ที่ไหนมีฉัน ที่นั่นจะต้องไม่มีเธอ ถ้าฉันอยู่ที่ไหนก็ตาม จำไว้ว่าที่นั่นคือสถานที่ ‘ต้องห้าม’ สำหรับกรวดทรายไร้ค่าอย่างเธอ และถ้าเธออยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันจะไม่ขอเหยียบย่างเข้าไปที่นั่นเป็นอันขาดเช่นกัน!”
ประกาศิตกร้าวของคนเลือดเย็นตรงหน้าทำเอาคนฟังน้ำตาร่วงเผาะ แล้วทันใดนั้นเองน้ำเสียงทรงอำนาจก็แผดก้องขึ้น“ทำอะไรกันน่ะ” ร่างของคุณพราวพิไลปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ดวงตาเอาเรื่องกวาดมองข้าวของที่เกลื่อนกลาด หากพอมองเห็นลูกชายยืนนิ่ง มือที่กุมกันมีรอยเลือด เท่านั้นเองเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้าง“ตาเพชร!” คุณพราวพิไลตวัดหางตาไปที่ร่างเล็กที่พื้นอย่างเอาเรื่อง “แกกล้าดียังไงเข้ามาทำร้ายลูกชายแบบนี้ หา...”“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวน้อยละล่ำละลักปฏิเสธทั้งน้ำตา“เปล่าอะไร ก็ฉันเห็นตำตาอยู่นี่ ยังจะมาปฏิเสธอีกเหรอ”“มีอะไรกัน แม่พราว!” คนพูดคือหญิงวัยกลางคนที่โครงหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีดำมีเค้าประพิมประพายกับคุณพราวพิไล แต่มากวัยกว่า ร่างแบบบางในชุดสีโศกนั่งบนวีลแชร์เข้ามา“ก็นังเด็กเลวนี่น่ะสิคะ จะฆ่าหลานชายคุณพี่ ดูสิเลือดโชกเลย โถ... ตาเพชรลูกแม่” หญิงมากวัยเขม่นตามองจำเลยร่างเล็กมอมแมมที่นั่งตัวสั่นงันงกแล้วนึกขำน้องสาวที่โอเวอร์เกินเหตุ คนถูกมองเหมือนรู้ตัวเงยหน้ามองผู้มาใหม่“เอ๊ะ! นี่มัน...” โดยไม่มีใครคาดคิด ฝ่ามือเรียวก็ฟาดลงมาบนใบหน้าเด็กน้อยทันใด แก้มใสขึ้นรอยนิ้วมือแดงเห่อเป็นปื้น
“ก็เห็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ...” คุณพรรณรายยอมรับ มันก็น่าอยู่หรอกที่น้องสาวของเธอจะเดือดดาลได้ถึงขนาดนั้น แม้ไม่อยากจะเชื่อ หากทว่าเค้าโครงหน้าที่เล่นถอดพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนี้ มีหรือที่น้องสาวของเธอจะไม่ยอกแสยงในอก ยิ่งมาอยู่ร่วมชายคาด้วยแล้ว ก็เหมือนกับกอดระเบิดเวลาเอาไว้ไม่มีผิด หากทว่ามันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ ในเมื่อเธอเองก็มีสถานการณ์ไม่ต่างจากเด็กหญิงผู้น่าสงสารนี้“ผมเพิ่งทราบเรื่องของคุณพี่ เสียใจด้วยจริงๆ นะครับ คนดีๆ อย่างคุณพจน์ไม่น่ามาด่วนจากไปแบบนี้เลย” คุณไกรภพเอ่ยพลางเข้าช่วยเข็นรถพี่สาวภรรยาไปทางห้องรับแขก ดวงตาเศร้าสร้อยเมื่อนึกถึงสามีผู้ล่วงลับไปอย่างกะทันหัน ทั้งที่หน้าที่การงานของเขากำลังรุ่งโรจน์จนเกือบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งเอกอัครราชทูตอยู่ร่อมร่อ“แล้วนี่คุณพี่จะกลับมาอยู่เมืองไทยเลยหรือเปล่าครับ”“ค่ะ ก็คงอย่างนั้น พอสิ้นคุณพจน์ ที่นู่นก็ไม่มีใคร”“ก็ดีสิครับ นี่คุณแม่คงดีใจที่ลูกสาวมาอยู่เป็นเพื่อน” คนพูดไม่ทันสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่หม่นหมองลงทันควัน“ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดก็คงดี” คุณพรรณรายขอบตาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงชะตากรรมของตนเอง“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“พะ... พี่โท!”“ก็ใช่น่ะสิ โอย...” โทรินทร์ครางหน้าเหยเก แต่ไม่ยอมปล่อยแขนจากร่างน้อย “เกือบทำฉันตายไปด้วยแล้วรู้ไหม”“แล้วมาช่วยทำไม”“หนอย ทำคุณบูชาโทษ อุตส่าห์ช่วยไม่ให้ถูกรถทับตายกลับได้บาป ฮึ มันน่า…” คนพูดเงื้อง้ามะเหงกขึ้นอย่างมันเขี้ยว คนตัวเล็กกว่าหลับตาปี๋ วินาทีนั้นเอง จู่ๆ มะเหงกก็กลายเป็นลูบลงบนเส้นผมสลวยของเธอแทน“โป้งแปะ หาตัวเจอแล้ว” เด็กชายยิ้มให้พลางปาดน้ำตาให้คนตัวเล็กอย่างแผ่วเบา “รีบเดินจ้ำอ้าวแบบนี้จะไปไล่ควายที่ไหนหืม?”พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ จึงล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมายื่นให้ ดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปควายเขาโง้ง ที่ตอนนี้เขาข้างหนึ่งหัก แถมหน้ายุบบี้แบนไปแถบหนึ่งเพราะโดนทับ ทำให้เจ้าของบ่นอุบอิบ“ว้า...สงสัยตอนกลิ้งเมื่อกี้ล่ะสิ เสียดาย กะว่าจะเอามาฝากซะหน่อย อะ...ให้”“พี่โทตามมาได้ยังไงคะ”“ก็ตามรอยเลือดมาน่ะสิ” คนพูดรีบคว้ามือน้อยๆ ขึ้นมาซับเลือดให้เบาๆ ก่อนรวบร่างบางนั้นมากอดปลอบโยน“โอ๋ๆ เจ็บมากไหม ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรน้องทรายได้ ลองมาสิจะให้ควายขวิดไส้แตกเลย คอยดู”ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้คุณพงศ์เอก ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างโล่งอ
“เพ้อเจ้อน่า นั่นคุณลุงไกรวิ่งมานู่น แกอย่าพูดมากเชียว” คนเป็นพ่อชี้หน้าคาดโทษ เด็กชายแอบเบ้ปาก แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้คุณไกรภพอุ้มคนตัวเล็กลงจากรถไปอย่างขัดเคืองใจ“โถ... เจ็บมากไหมลูก” คุณไกรภพมองหน้าฟกช้ำของเด็กน้อยอย่างสงสารจับใจ “ลุงขอโทษนะลูก ลุงขอโทษ”“ไม่เจ็บแล้วค่ะ” ศุภิสราเอ่ย พลางเหลือบตามองคนที่เดินลงจากรถมายืนตาขวางข้างๆ“ผมขอบคุณมากนะครับคุณเอกที่เป็นธุระให้”“ไม่เป็นไรครับ งั้นลุงไปก่อนนะคะหนูทราย หายเร็วๆ นะลูก” คุณพงศ์เอกรีบตัดบท ก่อนรุนหลังลูกชายขึ้นรถ เด็กชายก็เหลียวกลับไปมองด้านหลังอย่างเข่นเขี้ยว“คอยดูนะ ถ้าน้องทรายต้องเจ็บตัวอีกล่ะก็...ผมจะไปดักตีหัวคนทำ”“หา! ว่าไงนะ” คนฟังตาเหลือก “เจริญล่ะไอ้ตัวแสบ หาเรื่องให้ฉันปวดหัวอีกแล้ว”“แล้วโตขึ้นผมจะไม่เป็นทนายเหมือนพ่อละนะ”“อ้าว... แล้วแกจะเป็นอะไร ฮึ เจ้าโท” คนเป็นพ่อถามยิ้มๆ อารมณ์ดี“ผมจะเป็นหมอ!” เด็กชายยึดอกประกาศอย่างภาคภูมิ“หา!” ทนายใหญ่อ้าปากค้าง “หมออะไร หมอดู หรือว่าปลาหมอ หา”“ไม่เชื่อพ่อก็คอยดู” เด็กชายฮึดฮัดหันกลับไปมองประตูรั้วของบ้านที่เพิ่งจากมาอย่างหมายมาด คอยดูนะ เขาจะต้องเป็นหมอให้ได้ จะได้ปกป้อ
“หย่างั้นเหรอ” คุณไกรภพยิ้มเหี้ยม คำว่า...หย่า คงทำให้เขารู้สึกยินดีปรีดามาก หลังจากต้องฝืนทนใช้ชีวิตคู่ที่กระท่อนกระแท่นไร้ความสุขกับหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยามานาน การแต่งงานที่มีรากฐานมาจากความผิดพลาดของเขา บวกกับความระแวงไม่ไว้ใจของเธอ ฉะนั้นการหย่าร้างก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี ถ้าหากไม่มี... โซ่ทองคล้องใจคุณไกรภพปรายตามองลูกชายที่ยืนหน้าซีดเผือด ช็อกกับคำขาดของผู้เป็นแม่ พีรภัทร ลูกชายสุดที่รักเพียงคนเดียวที่คล้องใจไม่ให้ขาดสะบั้นกับภรรยาดังที่ใจเขาปรารถนา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่คุณพราวพิไลรู้ดียิ่ง“ว่ายังไงล่ะ เลือกเอาถ้ามีฉันกับลูก ก็ต้องไม่มีเด็กคนนี้ในบ้าน” คุณพราวพิไลตวัดเสียงอย่างเป็นต่อ“งั้นก็ให้เด็กมาอยู่กับฉันแล้วกัน!” เสียงทรงอำนาจแทรกขึ้นท่ามกลางสงครามคุกรุ่น“คุณพี่” “พี่พรรณ”“ว่าไงล่ะ ถ้าไม่มีใครต้องการล่ะก็ ฉันจะขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ได้ไหมคุณไกร” คุณไกรภพขยับจะปฏิเสธความหวังดีนั้น หากพอมองหน้าคนในคุ้มครองที่สั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวต่อเหตุการณ์เบื้องหน้า ก็เกิดความลังเล ถ้าปล่อยให้ศุภิสราอยู่ร่วมบ้านต่อไป คุณพราวพิไลคงจองเวรเด็กน้อยไม่เลิก“ครับ คุณพี่ ผมไม่ขัด
“คะ...คุณท่าน!”“หืม? คุณท่าน?” คนถูกเรียกเลิกคิ้ว พลางหันไปมองคนสนิทแวบหนึ่งอย่างนึกรู้ “เอาๆ คุณท่านก็คุณท่าน ตอนนี้ก็เข้าบ้านกันก่อนเถอะ” คุณพรรณรายตัดบท ก่อนนำเข้าไปในบ้าน โดยมีเด็กน้อยถือห่อผ้าก้าวตามเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆห้องนั่งเล่นขนาดย่อม ถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่อง มีชั้นใส่หนังสือสูงท่วมศีรษะ ที่น่าสนใจคือเปียโนสีดำ ที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง ทำให้เด็กน้อยต้องชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ“ชอบเปียโนหรือจ๊ะ?” คนถูกถามหน้าตาเหรอหรา“เอ่อ ชะ...ชอบค่ะ แต่แม่ไม่ชอบ” “หืม อะไรนะ? เข้ามาใกล้ๆ นี่ซิ” เด็กน้อยยืนนิ่ง เสียงเข้มจึงสำทับ“เข้าไปใกล้ๆ คุณท่านสิคะ” อะไรบางอย่างในตัวหญิงมากวัยบนวีลแชร์ทำให้เด็กหญิงรู้สึกเกรงขามแต่เพราะความสนใจใคร่รู้ จึงเผลอมองเสี้ยวหน้าที่ถูกผ้าคลุมบดบังอยู่หลายนาที จนมีเสียงกระแอมเบาๆ จากแม่อบ นั่นแหละคนตัวเล็กจึงทรุดตัวลงนั่งพับเพียบข้างๆ รถวีลแชร์นั้น“คล้าย... คล้ายกันเหลือเกิน” ดวงตาดุที่ทอดมองมาแฝงด้วยความปรานี “เธอชื่ออะไร”“ซะ...ทราย...” ท้ายประโยคมีเสียงกระแอมแทรกขึ้นอีกครั้ง “เอ่อ... ค่ะ”“ชื่อจริงล่ะ”“ศุภิสราค่ะ”“ศุภิสรา... ศศิลดา...” ชื่อหลังที่เอ่
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
หญิงสาวค่อยๆ ลากหีบไม้ใบเก่าออกมาจากใต้เตียง เมื่อเปิดออกจึงเห็นซองจดหมายมากมายที่ซ้อนทับไว้อย่างเป็นระเบียบ... ทุกซองจ่าหน้าเหมือนกัน แถมมีวันที่กำกับพร้อม ที่หมายคือประเทศอังกฤษ ก้นหีบนั้นมีเศษผ้าเช็ดหน้าขาวบางขลิบลูกไม้ซีดตามกาลเวลาที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะทะนุถนอมไว้อย่างดี ดวงตาหวานซึ้งกะพริบถี่ไล่ละอองน้ำให้ระเหยไป นับจากวันที่ร้องไห้แทบเป็นแทบตายวันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้เห็นน้ำตาของเด็กหญิงตัวน้อยอีก แม้ถูกแกล้งแค่ไหนก็ไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครหากวันนี้คำว่า... ของฝากจากอังกฤษ... สะกิดความทรงจำเก่า เดิมทีทุกคราวที่คุณพราวกลับจากอังกฤษจะมีของมาฝากคนในปกครองอยู่เสมอ ทุกคนจะได้รับน้ำใจลดหลั่นลงไปตามความโปรดปรานของผู้ให้ ไม่เว้นแม้แต่เด็กรับใช้หรือกระทั่งคนสวน หรือแม้แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่อบก็เถอะ คนอยู่ไกลก็ยังเผื่อแผ่น้ำใจมาถึงจะมีก็เพียง... เธอคนเดียว... เท่านั้นที่ตกสำรวจ ไม่เคยจะได้รับน้ำใจจากคนอยู่แดนไกลแม้เพียงสักครั้งเดียว เขาผู้นั้นคงเกลียดเธอจนเข้าไส้ หรือไม่ก็อาจลืมไปแล้วก็ได้ว่าศุภิสรายังมีตัวตนอยู่ในบ้านของเขา “ดี...ลืมซะ ลืมให้สนิทไปเลยได้ยิ่งดีว่ามีเราอยู่บนโลกอีกค
“เปียกฝนเหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด” คนเหมือนลูกหมาตกน้ำคลี่ยิ้มบางๆ พลางวางสัมภาระทั้งหมดลงบนโต๊ะรับแขกอย่างเป็นระเบียบ ก่อนยกมือไหว้คนสูงวัยกว่าตามที่เคยถูกสอนเสมอ ‘ไปต้องลา มาต้องไหว้’ มารยาทที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยขัดเกลาให้กิริยามารยาทเรียบร้อย“คุณท่านเข้าห้องไปแล้วหรือคะ”“ค่ะ เพิ่งเข้าไปเมื่อกี้นี้เอง ก่อนคุณมาครู่เดียว”“โอ้ย... เหนื่อยจังค่ะ” ว่าแล้วร่างบางทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ“วันนี้ทำไมกลับค่ำนักละคะ”“ก็ยัยตรีน่ะสิคะ ยึดตัวไว้จะให้เข้าประชุมชมรมให้ได้ ปีนี้เขาว่าจะจัดแสดงละครเวที งานนี้คุณตรีรักษ์รับเป็นแม่งานเชียวนะคะ เลยต้องเข้าประชุมกับเขาเกือบทุกวัน แต่พรุ่งนี้ทรายว่าจะแอบโดดล่ะ...” สุ้มเสียงคนพูดมีรอยสนุกซุกซน“อ้าว ทำไมอย่างนั้นล่ะคะ” คนพูดไม่เข้าใจ“ก็พรุ่งนี้แม่งานใหญ่เขาว่าจะคัดตัวนักแสดง”“แล้วทำไมคุณต้องโดดล่ะคะ” แม่อบมองหน้าใสๆ อย่างงุนงง“ขี้เกียจไปเป็นต้นไม้หรือก้อนหินให้เขาน่ะสิคะ เข็ด!” คนพูดหัวเราะร่วนเสียงใสยามนึกถึงตอนที่ตัวเองต้องตกกระไดพลอยโจนให้ต้องขึ้นเวทีเพราะคนเป็นเพื่อนขอร้องแกมบังคับ‘วันนี้คนที่แสดงเป็นต้นไม้ป่วย ทรายช่วยขึ้นแทนทีสิ ไม่มีบทพูด
เช้าวันนั้น ศุภิสราเดินออกไปรอรถจะไปโรงเรียนเช่นเคย ขณะที่ผ่านหน้าตึกใหญ่ ร่างเล็กต้องรีบหยุดทันควัน เมื่อเห็นคนทั้งบ้านมายืนออหน้าประตูตึกใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ความสังหรณ์ใจทำให้หนูน้อยแอบเตร่เข้าไปยืนแอบมองใกล้ๆ แต่ไม่กล้าเข้าไปร่วมวง คนตัวเล็กเขย่งกายชะเง้อมอง จนกระทั่งได้เห็น...ศุภิสราใจหายวาบเมื่อมองเห็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่คนรถกำลังขนขึ้นไว้ท้ายรถ โดยมีประมุขของบ้านยืนมองคุมความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ส่วนคุณพราวพิไลเฝ้าแต่กอดลูกชายไว้แนบอกร่ำไห้ปริ่มว่าจะขาดใจ ร่างสูงของเด็กชายในชุดแปลกตา ดวงหน้าคมคายเรียบสนิท แม้นัยน์ตาจะแดงๆ แต่ไม่มีหยดน้ำตาให้เห็น แล้วจู่ๆ ดวงตาคู่นั้นก็เบนมาทางที่เธอยืนอยู่ ศุภิสราหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเห็นร่างสูงผละจากมารดา เดินตรงดิ่งมาทางที่เธอยืนอยู่ ร่างเล็กผงะถอยหลังไปแอบอยู่ข้างตึก และเตรียมถอยหนีกลับไปทางเก่า หากแล้วแขนเรียวเล็กก็ถูกกระชากไว้“จะรีบหนีไปไหนล่ะ หา...” เสียงห้าวสะกดตรึงร่างเล็กไว้กับที่ “จะมาเยาะเย้ยฉันไม่ใช่เหรอ แล้วจะรีบเดินหนีทำไม”“มะ...ไม่ใช่นะคะ โอ้ย!” คนตัวเล็กนิ่วหน้าเพราะแรงที่บีบแขนไว้แน่นทำให้เจ็บ“ไม่ใช่อะไร” น้ำเสี
“หืม?” คุณพรรณรายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ หันไปมองหน้าเด็กในปกครองเชิงถาม“แล้วนั่นเราไปโดนอะไรมา ทำไมมอมแมมอย่างนั้น เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เมื่อคนพูดคือคุณพรรณราย คนตัวเล็กจึงหมดสิทธิ์เลี่ยงอีกต่อไปต้องรีบคลานเข่าเข้าไปหา“สงสัยฝีมือพวกใจยักษ์บนตึกนั่นแหละค่ะ พวกนายว่าขี้ข้าพลอยทั้งนั้น”“จริงอย่างที่แม่อบว่าหรือเปล่า หืม?” คนถูกถามนิ่งเงียบไม่ตอบ ดวงหน้าหวานสลดเศร้าทำให้คนมองอ่อนอกอ่อนใจ“เอาเถอะๆ มีอะไรก็กินกันไปก่อนแล้วกัน” คุณพรรณรายตัดบท พลางหันไปสบตากับคนสนิทที่ยืนหน้างออย่างหนักอกหนักใจ แม้จะพอคาดเดาเรื่องได้ แต่คนสูงวัยกว่าก็ยังเป็นห่วง เมื่อลับหลังคนตัวเล็ก ทั้งคู่จึงได้โอกาสปรับทุกข์ต่อกันเบาๆ“คุณพราวพิไลนี่ก็เหลือเกิน” แม่อบถอนหายใจ“จะไปว่าเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ถึงยังไงตาเพชรก็เป็นลูกเขาทั้งคน แค่ไปอยู่ไกลตาก็ห่วงแล้ว นี่จะส่งไปอยู่ถึงเมืองนอกเมืองนา ใครจะไปทนไหว”“นี่ตกลงว่าคุณเพชรต้องไปเมืองนอกแน่ๆ แล้วเหรอคะ” แม้ไม่เคยเลี้ยงดู ทว่าเมื่อเป็นหลานของเจ้านายก็ทำให้อดห่วงไม่ได้“แน่สิ ได้ยินพ่อเขาว่าเตรียมทุกอย่างไว้ให้หมดแล้ว กำหนดวันเดินทางก็คงเร็วๆ นี้ล่ะ” “แต่คุณไกรภพก็ใจแข็งเหลื
“พี่จะพาน้องทรายไปอยู่บ้านด้วยไง ดีไหม” คนฟังถึงกับอึ้ง แต่พอเห็นความหวังดีของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจพยักหน้ารับไป“ก็ได้ค่ะ แต่งก็ได้”“จริงๆ นะจ๊ะ สัญญาก่อน” โทรินทร์ชูนิ้วก้อยขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ได้เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นสักเท่าไหร่นัก แต่คนตัวเล็กก็ยอมยกนิ้วก้อยเกี่ยวก้อยตอกย้ำคำสัญญานั้น “ไชโย้...” โทรินทร์ตะโกนอย่างสมหวัง หากเขามัวดีใจจนไม่ทันเห็นสิ่งที่ซ่อนลึกในลูกแก้วคู่งามนั้น‘ดีเหมือนกัน ไปจากที่นี่ซะ ไม่มีเราสักคน เขาคนนั้นจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุขสักที...’ไม่กี่วันต่อมา สิ่งที่ศุภิสราหวังก็พังทลายลงพร้อมกับพายุใหญ่ “คุณพี่ว่ายังไงนะคะ!” เสียงเอะอะโวยวายดังคับบ้าน “จะส่งลูกไปเรียนเมืองนอก”“เบาๆ หน่อยเถอะ คุณพราว เดี๋ยวก็ได้แตกตื่นทั้งบ้าน” ประมุขของบ้านปราม“ช่างหัวมันปะไร ดิฉันไม่สน ตอบมาสิคะ ทำไมตาเพชรต้องไปอยู่ที่อื่นด้วย หรือว่าเป็นแผนเฉดหัวพวกเราออกไปจากบ้านนี้ให้หมด เริ่มจากลูกก่อน อีกหน่อยก็คงเป็นฉัน” คุณพราวพิไลตีโพยตีพายทั้งน้ำตาคุณไกรภพถอนหายใจ แม้จะเตรียมใจตั้งรับมาแล้วว่าต้องพบเหตุการณ์นี้จากภรรยา ทว่าที่ไม่คาดคิดคือแม้แต่คนในบ้านก็เป็นไปด้วย“วันนี้งดปิ
“บราวนี่!”เสียงแหลมเล็กตะโกนลั่น ทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันขวับ เด็กหญิงตัวป้อมที่เธอจำได้ว่าชื่อ เฟื่องตะวัน ยืนชี้โบ้ชี้เบ้มาทางที่เธอพลางป้องปากตะโกนลั่น“บราวนี่อยู่ทางนี้ค่ะ พี่เพชร!” ชื่อที่หลุดออกจากปากแดงจิ้มลิ้ม ทำให้หัวใจคนฟังกระตุกวูบลงไปกองที่ตาตุ่มทันที“เอาหมาของเขาคืนมานะ ยัยหัวขโมย!” จู่ๆ มือกลมป้อมก็จู่โจมเข้ามาจะคว้าตัวเจ้าขนปุยไปจากอ้อมแขน ทำให้ศุภิสราตกใจเผลอเกร็งแขนไว้เพราะกลัวเจ้าหมาน้อยตกลงพื้น การยื้อแย่งจึงเกิดขึ้น จนเจ้าตัวฟูก็เกิดตกใจจึงงับแขนเรียวเล็กของศุภิสราจนต้องปล่อยมือจากมันกะทันหัน ทำให้เฟื่องตะวันถลาล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปคลุกฝุ่นที่พื้นทันที“น้องเฟื่อง!” คนที่เดินตามเข้ามาทีหลังร้องเรียกอย่างตกใจ“พี่เพชรคะ ฮึกๆ ช่วยด้วยค่ะ... ยัยเด็กนี่ผลักเฟื่อง โอย เจ็บ...ฮือ” คนก้นจ้ำเบ้าโอดครวญ ทำให้เด็กชายตัวสูงต้องรีบเข้าไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้น แววตาเย็นชาทำให้คนตัวน้อยสะดุดลมหายใจ จนต้องรีบเบือนหน้าหนี “นี่แหน่ะ!” ก่อนจะทันรู้ตัว คนตัวป้อมที่ถลันหลุดจากวงแขนของพีรภัทรเข้ามาผลักสุดแรงบ้าง แต่ก่อนที่ศุภิสราจะล้มลงบาดเจ็บ มือของใครคนหนึ่งก็เข้ามาดึงร่างคนถลาเป็นนกปีกหั
“โจ๊กยังไม่ได้อีกหรือป้าแม้น”“เอ๊... ตาบอดหรือไงนังนี่ ก็ที่วางนั่นไม่ใช่...อ้าว!” คนพูดอุทานลั่น “โจ๊กฉันหายไปไหนล่ะเนี่ย!”ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่า... ชามโจ๊กหอมกรุ่นที่หายไป ยามนี้เดินทางมาถึงเรือนเล็กแล้วด้วยฝีมือใครคนหนึ่งที่อาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังวุ่นวาย แอบย่องเข้าไปในห้องคนป่วยอย่างเงียบเชียบ “นะ...น้ำ...ขอน้ำ” เสียงเบาเอ่ย ทำให้ผู้บุกรุกสะดุ้งเกือบจะเผ่นหนีออกจากห้องไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าคนป่วยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนตัดสินใจเข้าช่วยป้อนน้ำให้คนเจ็บอย่างทุลักทุเล สายน้ำเย็นชื่นใจซึมซาบผ่านริมฝีปากแห้งแตกระแหงขับไล่ความร้อนระอุที่แสนทรมานออกไปจนแทบหมดสิ้น ทำให้สีหน้าคนป่วยผ่อนคลาย“หายไวๆ นะ...ฉันขอโทษ...” คำนั้นทำให้คนฟังเผลอยิ้มรับออกมาโดยไม่รู้ตัว“คุณท่านคะ ฟื้นแล้วค่ะ คุณทรายฟื้นแล้ว” เสียงแม่อบตะโกนลั่นอย่างลืมตัว ทำให้คนเพิ่งฟื้นไข้ต้องกะพริบตาถี่ๆ อย่างงุนงง“อะไรกันจ๊ะ แม่อบ เอะอะอะไรเสียงดังไปถึงด้านนอกนู่น” ร่างบนรถเข็นปรากฏขึ้นที่หน้าประตู“คุณทรายฟื้นแล้วค่ะคุณท่าน ค่อยๆ นะคะคนดี อย่ารีบลุกเดี๋ยวจะเวียนหัว” ท้ายประโยคบอกคนตัวเ
ในห้องนั่งเล่นของบ้านบุรณากรณ์ บุตรชายคนเดียวของบ้านยืนมองกระจกหน้าต่างที่ฝนกำลังตกกระหน่ำอยู่เบื้องนอก ดวงตาคมกร้าวทอดมองไปเบื้องหน้า โดยทำเป็นไม่สนใจร่างของคนสนิทของคุณพรรณรายที่เดินกางร่มชะเง้อชะแง้ท่ามกลางสายฝนอย่างกระวนกระวาย หัวใจด้านดีก็รู้สึกไหววูบเป็นห่วงขึ้นมานิดๆ แต่เขาก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกนั้นให้ปลิวหายไปแทบทันควัน‘ช่างปะไร! เด็กคนนั้นต่างหากที่ผิด ผิดที่ไม่เจียมตัว โดนแค่นี้ยังน้อยไป!’ดวงตาคมกริบไหววูบ เมื่อเห็นรถของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งแล่นสวนเข้ามา และดูท่าจะเห็นคนที่ยืนกางร่มรออยู่ก่อนจึงหยุดสนทนาด้วย ร่างสูงยืนกอดอกมองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่ง จนกระทั่งเห็นคนเป็นพ่อเดินแกมวิ่งเข้ามา เด็กชายจึงรีบจงใจจะเดินหนีเลี่ยงขึ้นบันไดไป แต่ถูกคุณไกรภพเรียกไว้เสียก่อน“ตาเพชร วันนี้รถไปรับหนูทรายกลับมาด้วยหรือเปล่าลูก”“ไม่ทราบครับ” เสียงราบเรียบที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังเริ่มร้อนรุ่ม เกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย หนูน้อยจะหายตัวไปอีก“หมายความว่ายังไง นี่ลูกไม่ได้กลับมาพร้อมน้องหรอกเหรอ” เด็กชายยืนนิ่งเหมือนตอบรับโดยปริยาย“บ้าที่สุด!” คนเป็นพ่อสบถเสียงดัง “อย่าบอกนะว่าลูกทิ้งให้น้องยืนตา
ทุกเช้าหน้าที่หลักของศุภิสราคือต้องช่วยแม่อบเตรียมของสำหรับให้ ‘คุณท่าน’ ใส่บาตร และรับปิ่นโตที่เรือนใหญ่เพื่อตั้งโต๊ะอาหารเช้าที่ส่วนใหญ่เธอต้องร่วมโต๊ะกับคุณท่านเสมอ ทว่าพอโรงเรียนเปิดเทอม หน้าที่ตั้งโต๊ะจึงเป็นของแม่อบโดยปริยาย เพราะเด็กหญิงต้องรีบไปขึ้นรถซึ่งคุณอรดาภรรยาของคุณพงศ์เอกจะมาจอดรอรับที่หน้าบ้านเพื่อไปส่งที่โรงเรียนพร้อมกับลูกชายและลูกสาวของเธอแต่เช้าตรู่ ทว่าวันนี้ร่างเล็กชะเง้อชะแง้มองหารถของคุณอรดาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไร้วี่แวว“อ้าว ยังไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอหนูทราย” คุณไกรภพเปิดกระจกรถร้องถาม“เอ่อ... คุณป้าอรยังไม่มาเลยค่ะ”“งั้นก็ขึ้นรถมาสิ เดี๋ยวลุงไปส่งที่โรงเรียนให้” คำนั้นทำให้ผู้โดยสารอีกคนหันขวับมองคนเป็นพ่ออย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อสบตากับคนตัวเล็กเข้าเขาก็ชักสีหน้าใส่ก่อนรีบสะบัดหน้าไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ทันที คนตัวเล็กแอบเหลือบมองอาการนั้นอย่างห่อเหี่ยวใจ ตัดสินใจปฏิเสธ“เดี๋ยวหนูเดินไปขึ้นรถตรงปากทางก็ได้ค่ะ”“ขึ้นมาเถอะลูก สายแล้วเดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทันนะ” เมื่อคนมากวัยกว่าออกปากศุภิสราจึงหมดทางเลือก “มาหนูทรายขึ้นมานั่งข้างพี่เพชรแล้วกัน ตาเพชรขยับให้น้องน