หลังจากวันที่เกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศมึนตึงก็ปกคลุมไปทั่วบ้านบุรณากรณ์ คุณพราวพิไลที่โกรธสามีหนีไปอยู่บ้านผู้เป็นมารดาชั่วคราว ส่วนบุตรชายก็มักหมกตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร หากปกติยามเช้า สาย เที่ยง เย็น ก็มักจะมีคนยกเสบียงเข้ามาเสิร์ฟถึงที่ ทว่าวันนี้คอย...หาย จนเจ้าตัวทนหิวไม่ไหวต้องออกมาจากห้อง เด็กชายเหลียวซ้ายแลขวาหาสิ่งมีชีวิต แล้วเงาวอบแวบก็โผล่เข้ามาทำให้เขาต้องรีบเรียก
“ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ” เงาที่รีบเดินงุดๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง ถาดอาหารที่แบกมาตกแตกกระจาย เมื่อเห็นคนที่ยืนตะหง่านบนเชิงบันได ดวงตาสีนิลที่มองลงมาเหมือนฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นชาและน่ากลัว
“ขะ...ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงรีบก้มหน้าก้มตาลนลานเก็บเศษจานที่ตกแตกที่พื้น
“คนอื่นๆ หายไปไหนหมด” เขาถามด้วยเสียงเย็นเยียบ
“เอ่อ... อยู่ที่เรือนเล็กค่ะ”
“แล้วจะยกถาดอาหารนั่นไปให้ใคร”
“ปะ...ไปให้...เอ่อ” คนพูดรวบรวมความกล้าเงยหน้าจ้องกลับไปทางคนถาม
“ให้ฉันงั้นเหรอ? ใครใช้ไม่ทราบ” คนตัวเล็กสะอึก รีบก้มหน้าซ่อนความน้อยใจ มือเล็กค่อยๆ ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงกำวัตถุที่นอนนิ่งในนั้นราวกับขอกำลังใจ ‘ผ้าเช็ดหน้า’ ที่บรรจงซักจนหมดคราบเลือด ตั้งใจจะนำมาคืนเจ้าของมาหลายวัน เมื่อวันนี้เห็นใครๆ ก็วุ่นวายทำงานกันโกลาหลจนลืมเจ้านายอีกคนเสียสนิท ด้วยความหวังดี เมื่อเห็นถาดอาหารวางเตรียมไว้ในครัวจึงหมายตอบแทนน้ำใจที่ได้รับบ้าง แต่กลับถูกตัดรอนอย่างไร้เยื่อใย
“อวดดีไม่เข้าเรื่อง คราวหลังถ้าไม่สั่ง อย่ายุ่ง” ดวงตาคมกริบเบนไปมองทางอื่น “ไม่ต้องมาให้เห็นหน้าเลยได้ยิ่งดี”
“เดี๋ยวค่ะ อย่าเพิ่งไป” เสียงเรียกนั้นทำให้เด็กชายชะงัก ศุภิสรารวบรวมความกล้าเอาผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยออกมายัดคืนใส่มือเจ้าของ “คืนค่ะ ผ้าเช็ดหน้าที่คุณให้ยืมเช็ดเลือดวันก่อนไงคะ ฉันเอาไปซักรีดให้แล้ว ตั้งใจจะคืนหลาย...”
“แคว่ก!” ยังไม่ทันขาดคำ คนพูดก็พลันตะลึงงัน เมื่อเจ้าของผ้าเช็ดหน้าฉีกผ้าผืนน้อยทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี รอยยิ้มหยันแต้มบนมุมปาก ก่อนบดปลายเท้าขยี้เศษผ้าที่น่าสงสารผืนนั้นราวกับขยะไร้ค่า
“ของสกปรกแบบนี้ ฉันไม่อยากได้คืนหรอก เอาทิ้งขยะไปแล้วกัน” ศุภิสรามองผ้าผืนน้อยน่าสงสารที่ถูกเจ้าของทิ้งขว้างโดยไม่มีความผิด หรือถ้าจะผิดก็เพียงเพราะมาอยู่ในมือคนต้อยต่ำอย่างเธอเท่านั้น
“อย่า!” มือคู่น้อยรีบดึงผ้าที่น่าสงสารออกมาจากปลายเท้าเจ้าของ ทำให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มตกบันไดลงมา เคราะห์ดียันพื้นไว้ทัน แต่ก็ยังถูกเศษชามที่แตกบาดจนเลือดอาบอยู่ดี
“คุณเพชร!” ศุภิสราเบิกตาค้าง พอได้สติก็รีบเอาผ้ายับยู่ยี่ในมือมาซับเลือดให้อย่างหวังดี
“ออกไป! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” พีรภัทรตวาดเสียงดัง “ถึงตาย ฉันก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ... ไป!”
เด็กชายสะบัดสุดแรงจนพลั้งมือผลักร่างบางที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหลัง มือที่ยันพื้นโดนเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นแผลเหวอะหวะ เด็กชายมองภาพนั้นตาค้าง ด้วยสำนึกที่ดีทำให้เขาถลันตัวจะเข้าช่วย หากแล้วภาพที่พ่อของเขาทำร้ายผู้เป็นมารดาก็แวบเข้ามาในสมอง ทำให้ร่างสูงตรึงนิ่งกับที่ เด็กคนนี้ควรรู้รสชาตินั้นบ้าง
คนตัวเล็กครางแผ่ว ความรู้สึกชาบริเวณแผลที่ถูกเศษแก้วบาดจนเลือดทะลัก พอมองเห็นร่างอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งไม่คิดจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ น้ำตาเจ้ากรรมก็เอ่อคลอเต็มหน่วย พีรภัทรรีบเมินหน้าหนีภาพนั้นทันที
“อย่ามามองฉันแบบนี้นะ เธอผิดเองที่ไม่อยู่ในที่ของตัวเอง แล้วต่อไปก็จำไว้ซะด้วยล่ะว่า ที่ไหนมีฉัน ที่นั่นจะต้องไม่มีเธอ ถ้าฉันอยู่ที่ไหนก็ตาม จำไว้ว่าที่นั่นคือสถานที่ ‘ต้องห้าม’ สำหรับกรวดทรายไร้ค่าอย่างเธอ และถ้าเธออยู่ที่ไหนก็ตาม ฉันจะไม่ขอเหยียบย่างเข้าไปที่นั่นเป็นอันขาดเช่นกัน!”
“เอ๊ะ ทำอะไรของคุณน่ะ” หญิงสาวแหวใส่ พยายามดันศีรษะของอีกฝ่ายออกจากตัก แต่ฝ่ายนั้นกลับรวบมือน้อยเข้ามากุมไว้“หนุนตักไง ไม่เห็นเหรอ” คำตอบยั่วประสาท พลางยิ้มประจบ ไม่ทำให้อีกฝ่ายหลงคารม“ไปนั่งไกลๆ เลยนะ”“บังเอิญพี่ไม่ชอบอยู่ไกลหัวใจซะด้วยสิ” พีรภัทรยิ้มขำกับสำนวนลิเกของตัวเองทั้งที่เมื่อก่อนเคยล้อเพื่อสนิทอย่างเหนือฟ้าที่มักชอบใช้มุกเสี่ยวๆ จีบหญิง หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่กล้าพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนี้ออกมา แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร เขาถึงได้อยากจะพูดจาภาษาดอกไม้กับผู้หญิงตรงหน้า อะไรกันนะที่เปลี่ยนเขาให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้“โธ่ ทูนหัวจ๋า เมื่อไหร่จะหายโกรธสักที พี่ต้องทำยังไง หืม บอกมาเถิดนะคนดี”“ถ้าคุณจะกรุณา ก็พาดิฉันกลับบ้านเสียสิคะ” หญิงสาวตอบเสียงเย็นชา“ไม่กรุณา!” เสียนกวนๆ สวนทันควันเช่นกัน“เอ๊ะ” ศุภิสราร้อง พลางหันขวับเห็นคนพูดลอยหน้ากวนโมโหก็พยายามข่มอารมณ์ “ ถ้างั้นก็ให้ฉันยืมโทรศัพท์โทรบอกพี่โทกับคนที่บ้านสักนิดได้ไหมคะ พวกเขาจะได้ไม่เป็นห่วง”ชื่อของศัตรูหมายเลขหนึ่งทำให้คนฟังฉุนกึก ทำหน้าง้ำ “ ก็บอกแล้วไง ถ้าถึงเวลาจะพาไปส่งเอง”“ก็แล้วฉันต้องรอถึงเมื่อไหร่ล่ะคะ” คนฟังขึ้น
พีรภัทรคลี่ยิ้มออกมาได้ รู้สึกเบาใจขึ้นเป็นกอง ให้โดนโกรธโดนทุบแบบนี้ยังดีกว่าโดนเมินล่ะ เพราะอย่างน้อยการโกรธก็ยังถือว่ามีเยื่อใยเหลืออยู่ แต่ดูเหมือนเยื่อใยจะหนักเอาการอยู่สักหน่อยเพราะกว่าเธอจะเลิกทุบ เขาก็แทบจะน่วมคามือ ร่างบางหอบสะท้านด้วยความเหนื่อย มือยังสั่นริกๆ อยากจะทุบให้เขาตายคามือสาสมใจ“หิวหรือยังจ๊ะ” ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน“ไปกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวค่อยกลับมาทุบต่อนะ ไม่หนีหรอกน่า สัญญาจะอยู่ให้ทุบทั้งชีวิตเลยก็ยังได้” เสียงออดอ้อนเอาใจ ยิ่งทำให้คนฟังคันไม้คันมือขึ้นมาอีก พีรภัทรไม่รอช้ารีบรวบข้อมือน้อยฉุดลากเข้าบ้าน ก่อนที่เขาจะตายคามือเธอจริงๆ กลิ่นอาหารหอมฉุยโชยชายทำให้คนโมโหเริ่มรู้สึกท้องร้องขึ้นมาตงิดๆ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อวาน แถมใช้พลังงานไปเยอะเลยเกิดหิวก็เป็นได้ คนตัวโตราวกำแพงขยับจัดแจงให้เธอนั่ง แล้วบริการเสิร์ฟอาหารต่างๆ ให้อย่างเอาอกเอาใจข้าวต้มเละๆ ในถ้วยน้อยวางลงตรงหน้า พร้อมเครื่องเคียงที่มีเพียงผักกาดดองกระป๋องหั่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง กับปลากระป๋อง และไข่เค็มหั่นเป็นซีกๆ ไม่เท่ากัน แต่ก็พอดูออกว่าคนทำคงพยายามอย่างสุดฝีมือท
“พอกันที เลิกคิดได้แล้ว” ศุภิสราบอกกับตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว พลางรวบรวมเรี่ยวแรงอันน้อยนิดพยุงตัวเองลุกขึ้น ครั้งแรกล้มแปะลงไปเพราะขาเป็นเหน็บชา หากเธอพยายามยันตัวลุกอย่างทุลักทุเลจนได้ แล้วจัดการล้างหน้าล้างตา สมองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น แต่หัวใจยังคงหนักอึ้งไม่คลาย ถ้าควักหัวใจออกมาล้างได้คงดี เธอจะได้ล้างสิ่งที่ติดค้างในความรู้สึกให้หมดๆ ไปเสียจะได้ไม่เจ็บอีก แต่มันก็ไม่อาจทำได้ สาวน้อยส่องกระจกทอดถอนใจ มือบางแตะที่จี้ ‘หัวใจเพชร’ ดวงน้อยที่ลำคอระหงอย่างเจ็บปวด ก่อนตัดใจปลดออกจากคอตนเองวางลงบนอ่างล้างหน้านั้น ลืมเสียเถิด สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะจำไว้ทำไม ถึงไม่มีเขาเธอก็มีคนอีกมากมายที่รักเธอ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ ไหนจะพี่โทรินทร์ที่คอยห่วงใยเธอเรื่อยมา ป่านนี้ทุกคนคงตามหาเธอวุ่นวาย คนเหล่านั้นต่างหากที่เธอควรสนใจ ส่วน‘คนอื่น’นั้นจะคิดยังไง รู้สึกยังไงก็ช่างเขา จากนี้ไปเธอจะไม่อยากรู้อีกต่อไปหญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกใจสงบขึ้น ในห้องนั้นปราศจากเงาของบุรุษที่คอยก่อกวนหัวใจ หรือเขาจะหนีกลับไปเสียแล้วก็เป็นได้ เธอพยายามเมินไม่มองไปที่เตียงนอนอันยับยู่ยี่เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้า ท้าย
“คุณมีแฟนอยู่แล้ว แต่ยังมาทำกับแบบนี้กับผู้หญิงอื่นอีกเพื่ออะไร” คราวนี้คนฟังถึงกับผงะด้วยความตกตะลึงราวกับถูกค้อนทุบหัวหนักๆ จนมึนชา พูดอะไรไม่ออก“ดิฉันเป็นคน มีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึก ไม่ใช่ของเล่นที่คุณจะมาทำอะไรตามอำเภอใจยังไงก็ได้ คุณทำแบบนี้กับฉันทำไม หรือเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงใจง่าย เป็นคนหน้าด้านที่ชอบแย่งแฟนคนอื่น” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยความหวั่นไหวพร่างพรูระบายความน้อยเนื้อต่ำใจออกมา“จะแกล้งทรมานฉันไปถึงเมื่อไหร่กันถึงจะสาแก่ใจคนใจร้ายอย่างคุณ” น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งลงมาจากลูกแก้วคู่งามที่แสนเศร้า ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดตานิ่ง เม้มปากแน่น แสดงท่าทีหมางเมินออกมาอย่างชัดเจน จนทำให้ชายหนุ่มใจหายวาบรีบคว้าตัวเธอขึ้นมากอดไว้แนบแน่น เพราะกลัวจะต้องสูญเสียเธอไป รู้สึกปวดร้าวในอกจนเกินพรรณนา“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น ไม่เคย...” เสียงร้อนรนพร่ำบอก พลางโยกร่างน้อยที่สั่นสะท้านไปมาเบาๆ ราวกับขับกล่อมให้สงบ“ถ้าไม่ได้คิดอย่างนั้น แล้วคุณคิดยังไงกับฉันกันแน่” คำถามนั้นซัดชายหนุ่มให้จนมุมในบัดดล “พะ... พี่ระ... เอ่อ” พีรภัทรขยับจะพูดอะไรบางอย่างออกมา หากพอเห็นนัยน์ตากลมใสแป๋วที่จ้องเขม็งรอคอยคู่น
พอขาดคำชายหนุ่มก็จัดการลงโทษ ‘แบบนี้’ ด้วยการกดจูบที่ริมฝีปากของเธออีกครั้ง หากคราวนี้เนิ่นนานและดูดดื่มยิ่งกว่าคราวแรกหลายเท่านัก ศุภิสรารู้สึกวิงเวียน สะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนจะจับไข้ ในท้องมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวกำลังกระพรือปีกบินว่อนอย่างร่าเริง บางครั้งเหมือนกำลังล่องลอยไปในปุยเมฆนุ่มๆ บางครั้งก็รู้สึกเหมือนถูกคนจอมเจ้าเล่ห์แกล้งกระชากลงมาด่ำดิ่งในห้วงน้ำลึกจนอึดอัดหมือนกำลังจมน้ำขาดอากาศหายใจ เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมให้เขาป่วนหัวใจเล่นแบบนี้สมองสั่งให้หยุด แต่ร่างกายกับไม่ยอมร่วมมือเอาเสียเลย ผู้ชายแปลกหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ แสนเอาแต่ใจ บางทีก็แสนร้ายกาจจนน่ากลัว แต่บทจะอ่อนหวานก็แสนหวานล้ำเหนือใคร แล้วแบบไหนคือตัวจริงของเขากันแน่นะ อสูรร้าย หรือเทพบุตรในคราบซาตานการลงโทษที่แสนหวานปนขมปร่าที่เขามอบให้ปลุกเมล็ดพันธุ์ในหัวใจอ่อนหวานขึ้นมาทีละน้อยๆ จนก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างที่เธอไม่อยากจะยอมรับ ดอกไม้ดอกหนึ่งที่ชื่อว่า ‘รัก’ กำลังผลิในหัวใจจนเต็มดวงเป็นไปไม่ได้! เธอจะรู้สึกลึกซึ้งกับคนที่เพิ่งรู้จัก เพิ่งเห็นหน้ากันไม่กี่ครั้งแบบนี้ได้อย่างไรหญิงสาวรู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ
คนที่บอกว่าตัวเองง่วงแสนง่วง หากในความจริงแล้วเขากลับไม่ได้นอนหลับเลยสักงีบเดียว ในความมืดสลัว ดวงตามันปลาบทอประกายหวานระยับทอดมองดวงหน้าหวานของคนที่กำลังหลับสนิทโดยอาศัยไออุ่นจากอ้อมอกของเขา ราวกับจะซึมซับทุกภาพและความรู้สึกลงในความทรงจำ เผื่อในวันที่ต้องลาจากกันไปอย่างน้อยเขาจะได้ใช้ความทรงจำแสนหวานนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจตนในวันที่ไม่มีเธอเคียงใกล้แสงเงินแสงทองระยับค่อยๆ แทรกผ่านเข้ามาทีละน้อย ทำให้ความงามละออกระจ่างตาตรงหน้ายิ่งปรากฏชัดเจนขึ้น ดวงหน้าใสดูอ่อนเยาว์บอกถึงความพิสุทธิ์ ผิวขาวละออราวขึงด้วยแพรละเอียดซับเลือดฝาดของวัยสาวสะพรั่งน่าสัมผัส ทั้งดวงตาที่ยังหลับพริ้มประดับด้วยแพขนตายาวเฟื้อยราวกับตุ๊กตาจนเขาอยากจะลองเอานิ้วกรีดเล่น ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้มน่ารักน่าเอ็นดูนักหนา หากที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนคือรอยลักยิ้มบุ๋มน่ารักตรงข้างแก้มทั้งสองของเธอ อาจเพราะเจ้าตัวมักทำหน้าอมทุกข์อยู่เสมอ และตัวต้นเหตุที่ปล้นรอยยิ้มสวยๆ นี้ไปก็คงหนีไม่พ้น... เขา... นี่เองชายหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองใจร้ายใจดำกับคนตัวเล็กตลอดมา ทั้งพูดให้เจ็บช้ำ ทั้งแกล้งสารพัด ทั้งเคยผลักไสไล่ส่ง หรือแ