“เกิดอะไรขึ้นอ่ากุน”
“ลูกค้าจะเอากระเป๋ามาคืนน่ะ บอกว่าสินค้ามีปัญหา เราถามหาใบเสร็จไปแล้วแต่ลูกค้าไม่มี” ปีกุนอธิบายปัญหาให้เพื่อนฟังอย่างใจเย็น
แน่นอนว่าลูกค้าเจ้าปัญหาไม่ได้ใจเย็นอย่างที่คิดเอาไว้ เสียงแหลมปรี๊ดตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ฉันจะคุยกับผู้จัดการเท่านั้น ไปตามมา!”
“ฉันนี่แหละค่ะผู้จัดการแล้วก็เป็นคนขายกระเป๋าใบนี้ให้กับคุณ เมื่อสามสัปดาห์ก่อน”
ดวงตาเหี่ยวเบิกขึ้นเมื่อนึกหน้าพนักงานขายได้ ตวิศาเดินไปหยิบถุงกระดาษใบนั้นแล้วล้วงเอากระเป๋าออกมาดูซึ่งมีรอยขีดข่วนอยู่หลายที่ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดจากทางร้าน เพราะก่อนหน้านี้เธอเป็นคนตรวจดูเองกับมือ
“เจอก็ดีแล้ว กระเป๋าร้านเธอมีปัญหาฉันต้องการเปลี่ยน” พูดไม่เต็มเสียงทั้งยังไม่กล้าสบตาอีกต่างหาก
“ดิฉันคงทำเรื่องคืนกระเป๋าให้กับคุณลูกค้าไม่ได้ค่ะเพราะกระเป๋าใบนี้ซื้อไปเกือบเดือนแล้วและคุณลูกค้าเองก็ไม่มีใบเสร็จมายืนยันด้วย”
ตวิศาปฏิเสธเสียงนุ่ม
“พวกแกจะโกงฉันใช่ไหม ทุกคนดูเอาไว้นะคะอย่ามาซื้อร้านนี้เด็ดขาดสินค้าไม่ได้คุณภาพแถมยังคืนไม่ได้ด้วยไม่เห็นเหมือนโฆษณาเอาไว้เลย”
ชี้นิ้วด่ากราดไปทั่วอีกทั้งปัดกระเป๋าตั้งโชว์ตกลงพื้นหลายใบ
ปีกุนพยายามเข้าไปห้ามปรามแต่ก็ถูกผลักออกจนล้ม ยิ่งทำให้ข้าวของเสียหายมากกว่าเดิม
“หยุดค่ะ! ฉันสั่งให้คุณหยุด”
เสียงหวานแต่ทรงพลังทำให้ทุกอย่างหยุดลง หญิงวัยกลางคนยกมือค้างแล้วหันไปหาต้นตอของเสียง ร่างระหงของสาวสวยในชุดเดรสสีพีชก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกับเดินเข้าไปพยุงปีกุนให้ลุกขึ้น
ใบหน้าสวยหวานนี้เธอจำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นใคร ‘คุณอรกมล’คู่หมั้นของผู้ชายที่เธอแอบรัก
“เธอเป็นใคร เข้ามายุ่งอะไรด้วย” ลูกค้าจอมเหวี่ยงหันกับมาถามด้วยใบหน้าเรียบตึงเตรียมพร้อมปะทะกับทุกคน
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญหรอก แต่คุณนะสิ ทำร้ายข้าวของและพนักงานของที่นี่จะรับผิดชอบยังไง” อรกมลเริ่มชักสีหน้าก่อนจะหันไปหาตวิศา
“คุณขายกระเป๋าให้ผู้หญิงคนนี้ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“ปกติร้านนี้มีกล้องคุณภาพที่สามารถเห็นทุกอย่างได้แม้กระทั่ง รูขุมขนไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นช่วยเช็ควันที่และวิดีโอว่าสินค้ามีปัญหาจากเราจริงหรือเปล่า...เราจะได้จัดการถูกวิธีและขั้นเด็ดขาด”
ประโยคหลังนั้นอรกมลหันกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอีกรอบ น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นทำเอาขนลุกได้เหมือนกัน ปีกุนจึงเข้าใจแล้วว่าทำไมเธอถึงครอบครองหัวใจของคุณธามวัฒน์ได้ เพราะทั้งสวย เก่ง และเด็ดขาด
เวลาเพียงครู่เดียวตวิศาก็ย้อนดูวิดีโอครบและทุกอย่างมันก็ออกมาเป็นว่าสินค้าไม่ได้มีปัญหากับทางเราตั้งแต่แรก อรกมลจึงเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมานำตัวผู้หญิงคนนั้นออกไปอีกทั้งสั่งตวิศาตามไปเพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
“เกิดอะไรขึ้นเหรออร”
เสียงทุ้มแหวกไทยมุงเดินเข้ามาด้วยความร้อนใจ แล้วจับร่างเล็กหมุนซ้ายหมุนขวาเกรงว่าคนรักจะได้รับบาดเจ็บ “อรไม่เป็นไรค่ะ”
“แล้วคุณล่ะคะ เป็นอะไรหรือเปล่า” อรกมลหันกลับไปถามปีกุนซึ่งยืนหลบอยู่ด้านหลัง
หญิงสาวเพียงแค่ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วก้มหน้างุด ทว่าธามวัฒน์กลับจำเธอขึ้นมาได้ เธอคือผู้หญิงในคืนนั้น เจ้าของใบหน้าหล่อเลื่อนสายตามองไปยังท่อนแขนซึ่งมันยังคงหลงเหลือรอยแผลเป็นอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ทักทายเพราะคิดว่าเจ้าตัวคงจำหน้าไม่ได้หรอกเห็นกันแป๊บเดียวเท่านั้นเอง
“ถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ...ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะธาม เดี๋ยวไปถ่ายพรีเวจดิ้งไม่ทันสายมากแล้ว”
อรกมลยกมือขึ้นดูเวลาบนข้อมือแล้วก็ควงแขนธามวัฒน์เดินออกจากร้านไป ปีกุนมองตามหลังทั้งคู่เหมาะสมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยกจริง ๆ
“ถ้าเสร็จเรื่องแล้วตาลก็กลับห้องพักไปได้เลยนะ กุนจะได้ไปทำงานที่ร้านเหล้าต่อ”
หูแนบโทรศัพท์ใส่กับไหล่แล้วใช้สะโพกดันประตูหลังร้านเข้ามาด้านในพอจบบทสนทนาแล้วเธอก็รีบตัดสายเก็บทุกอย่างเข้าล็อกเกอร์ให้เรียบร้อยก่อนจะตรงไปยังห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนชุดมาอยู่ในยูนิฟร์อมของร้านอาหารกึ่งบาร์เหล้า
ปีกุนทำงานอยู่สองที่คือกลางวันทำที่ห้างฯ ส่วนช่วงค่ำก็มารับจ๊อบเป็นเด็กเสิร์ฟจนถึงดึก ซึ่งเธอทำแบบนี้มาเกือบจะเจ็ดปีแล้ว
ร้านอาหารกึ่งบาร์ขนาดใหญ่ มีทั้งชั้นลอยและโซนริมระเบียงให้เลือกนั่ง ด้านในเป็นโซฟาและโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารส่วนอีกด้านก็เป็นเคาน์เตอร์ให้นักดื่มที่มาคนเดียวเอาไว้นั่ง บนชั้นขนาดใหญ่ด้านหลังบาร์ มีขวดเหล้ามากมายเรียงรายอย่างน่าทึ่งจนไม่สามารถจำแนกประเภทได้
บรรยากาศของบาร์โดยรวมให้กลิ่นอายอเมริกายุคหกศูนย์ ด้วยเก้าอี้สไตล์แอนทีครวมไปถึงพรม และผนังไม้สีเข้ม
“กุน เอากุ้งแช่น้ำปลาแล้วก็เอ็นไก่ทอดไปเสิร์ฟร้านนั้นหน่อย”
เสียงผู้จัดการร้องเรียกหญิงสาวที่เพิ่งเดินกลับมาจากการขึ้นไปเสิร์ฟบนชั้นลอยก็รีบตรงไปยังห้องครัวทันที
“โต๊ะสามริมระเบียง” พ่อครัวบอกเสียงดัง
ปีกุนถือถาดใส่อาหารผ่านช่องทางเดินไปยังโซนริมระเบียงยิ่งขยับเท้าเข้าไปใกล้เธอก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตากับคู่ชายหญิงที่นั่งหันหลังให้เหลือเกิน
“อาหารมาเสิร์ฟแล้วค่ะ” เธอบอกกับลูกค้าด้วยเสียงอ่อนหวานแต่พอเงยหน้าขึ้นก็ต้องชะงัก
“อ้าว เธอนั้นเองทำไมถึงมาเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านนี้ล่ะ” อรกมลเอ่ยทักทายแล้วก็ผละออกจากแผงอก
ปีกุนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเธอไม่รู้ว่าหากบริษัทรู้ว่าเธอทำงานสองที่จะส่งผลอะไรไหม จึงได้แต่ยิ้มรับแล้วตอบสั้น ๆ ว่า “ค่ะ”
“ทำงานกลางคืนที่นี่ ส่วนกลางวันก็ไปทำในห้างฯ คิดว่ามีเวลาเต็มที่ให้กับงานประจำหรือเปล่า”
น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับยืดตัวนั่งตรงวางแก้วเหล้าในมือลงกับโต๊ะ เนื้อตัวของปีกุนชาวาบรู้สึกกลัวว่าจะถูกไล่ออก
“ไม่ต้องห่วงค่ะ กุนทำงานให้กับทุกที่เต็มที่อยู่แล้วและไม่เคยขาดลามาสายกับงานในห้างฯ สักครั้ง” เธอตอบเขาเสียงสั่น
ธามวัฒน์เหลือบสายตาดูเจ้าของร่างอวบอีกครั้งแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับสามปีที่แล้วไม่มีผิดเอาแต่ก้มหน้าไม่มั่นใจแล้วก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นหรอก ฉันแค่ล้อเล่น ขยันแบบนี้น่ะดีแล้ว คนขยันส่วนใหญ่ชีวิตจะก้าวหน้าแล้วก็ไปได้ดี”
เหมือนเป็นคำสอนอยู่กลาย ๆ หญิงสาวเงยหน้ามองเขาและปรากฏรอยยิ้มมุมปากจางๆ จนแทบมองไม่ทันก่อนจะโค้งศีรษะให้แล้วเดินกลับไปทำอย่างอื่นต่อ
“พี่หวานถ้ารอบหน้าโต๊ะสามริมระเบียงสั่งของอีกพี่ไปเสิร์ฟแทนกุนได้ไหม ส่วนโต๊ะที่พี่รับผิดชอบเดี๋ยวหนูไปเสิร์ฟแทนให้”
ปีกุนมาขอร้องพี่ร่วมงานเปลี่ยนโต๊ะเสิร์ฟด้วยสายตาอ้อนวอน รุ่นพี่อายุมากกว่าขมวดคิ้วเข้าหากันว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะปกติแล้วปีกุนไม่เคยเกี่ยงงาน ใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำหมด
“เกิดอะไรขึ้น โดนลวนลามเหรอหรือลูกค้าพูดจาไม่ดีใส่” เอื้อมมือไปจับต้นแขนเขย่าเล็กน้อย
“เปล่าค่ะ โต๊ะนั้นเป็นเจ้าของห้างฯ ที่กุนทำงานอยู่ช่วงกลางวันก็เลยรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย”
ปีกุนบอกแล้วก็ยิ้มกว้างออกมากับท่าทีเป็นห่วงของพี่ร่วมทำงาน
“เฮ้อ โล่งอกไปทีนึกว่าแกจะถูกลวนลามจากพวกแก่ตัณหากลับเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาแล้ว”
หวานยกมือขึ้นทาบอกเพื่อแสดงออกถึงความโล่งใจอย่างที่พูดจริงๆ เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้ชายมีอายุถึงชอบทำตัวรุ่มร่ามกับผู้หญิงอวบ ๆ ผิวขาวมากนัก เห็นรุ่นน้องหุ่นแบบนี้เข้ามาทำงานทีไรก็ถูกแต๊ะอั่ง ทุกที
แบบเหี่ยว ๆ เคี้ยวยากๆ ทำไมไม่สนใจมั่ง
ปีกุนได้แต่ยิ้มให้กับความบ่นกระปอดกระแปดของพี่หวานแล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นหัวเราะออกมากับการทำท่าทางประกอบคำบ่น....
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว