‘เตรียมแต่งแล้วจ้า...ไฮโซธามวัตฒ์เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของประเทศกับครูสาวที่หมั้นหมายกันมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีสั่นระฆังวิวาห์’
นิ้วมืออวบเลื่อนอ่านข่าวบันเทิงในสมาร์ตโฟนพรางกดดูรูปของว่าที่เจ้าบ่าวดู มุมปากโค้งขึ้นนิดหนึ่งจนมองแทบไม่ทันแล้วก็หุบลง
เจ้าของร่างอวบหนักเจ็ดสิบ สูงเพียงแค่ร้อยหกสิบห้าถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองอกหักอีกครั้ง ครั้งแรกคือวันที่รู้ว่าผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตไว้มีคนรักและหมั้นกันแล้ว ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนนี้ที่พวกเขาประกาศว่ากำลังจะแต่งงานกัน
ใบหน้ากลมเนียนใสซึ่งแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางบางเบาสะบัดหัวไล่ความคิดของตัวเองออกไป หากเธอแอบชอบคนที่ฐานะใกล้เคียงกันป่านนี้คงลงเอยด้วยการมีแฟนไปนานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นแค่หมามองเครื่องบินเท่านั้น
“อ่านข่าวคุณทามอยู่เหรอกุน”
สาวสวยหน้าตาดีซึ่งอยู่ในชุดยูนิฟอร์มเดียวกันชะโงกมองหน้าจอมือถือเพื่อนรักและก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไม่มีผิด
‘ตวิศา’เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของ ‘ปีกุน’ ซึ่งทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าถูกทอดทิ้งไว้ในสถานสงเคราะห์เด็กบ้านเติมรัก เมื่อเรียนจบมัธยมปลายสองสาวจึงตัดสินใจหยุดการเรียนไว้ก่อนแล้วมาหางานทำเพื่อเก็บไว้เป็นทุนเรียนต่อและเริ่มมาทำงานเป็นพนักงานขายกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดังในห้างฯ นี้
พวกเธอทำงานกับที่นี่มาเกือบเจ็ดปีแล้วแต่ก็ยังมีเงินเก็บไม่มากแม้ว่าจะทำอาชีพเสริมหลายอย่างหากเป็นคนอื่นรายได้ขนาดนี้คงก้าวไปไกลและเรียนจบไปแล้ว แต่สำหรับปีกุนและตวิศาเป็นห่วงแม่ครูรำไพที่จะต้องหาเงินมาจุนเจือเด็กในสถานสงเคราะห์ที่ชุบเลี้ยงพวกเธอมาจึงต้องแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งไปช่วยแบ่งเบาภาระด้วย
“ยังไม่คิดจะตัดใจอีกเหรอ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้”
ตวิศาเดินไปทรุดตัวนั่งด้านข้างแล้วเอื้อมมือไปแตะไหล่คล้ายจะปลอบใจ ปีกุนได้แต่พยักหน้ารับเล็กน้อย
ทำไมเธอจะไม่อยากตัดใจล่ะแต่เพราะเขาคือผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตจากโจรเอาไว้เมื่อสามปีก่อนและตอนนี้เธอยังมาทำงานในห้างฯ ของเขาอีกด้วยซึ่งมีบ่อยครั้งที่เขามาตรวจงานแล้วเธอก็มักจะแอบมองอยู่ไกล ๆ
“เฮ้ย! มีอะไรส่งมาให้หมดถ้าไม่อยากตาย”
ชายผอมสูงหน้าตอบขอบตาดำโดดลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วเดินเข้ามาหาพร้อมยกมีดขึ้นขู่
ร่างอวบถอยหลังทีละก้าวแล้วซ่อนกระเป๋าสะพายซึ่งมีเงินไม่กี่พันในกระเป๋าเอาไว้ด้านหลัง เธอให้เงินพวกนี้กับมันไปไม่ได้เพราะต้องเอาไปจ่ายค่าอาหารให้กับน้อง ๆ บ้านเด็กกำพร้า
เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนใบหน้า เธอรู้สึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แขนป้อมกระชับกระเป๋าเอาไว้แน่น ดวงตาคู่สวยจับจ้องพวกมันสองคนไม่วางตาแล้วคิดหาทางหนีทีไล่
บริเวณโดยรอบมืดสนิทแม้จะมีบ้านผู้คนทว่าก็ปิดไฟเข้านอนกันหมดแล้วเพราะเวลานั้นก็เลยเที่ยงคืนไปค่อนข้างมาก
“อย่าเข้ามานะ ฉันไม่มีอะไรให้พวกแกหรอก”
“ถ้าไม่มีแล้วมึงจะกอดกระเป๋าไว้แน่นทำไม เฮ้ย ไปเอากระเป๋ามันมา”
ชายอีกคนซึ่งค่อมมอเตอร์ไซค์ก้าวขาลงจากรถแล้วสั่งให้เพื่อนเขาไปเอากระเป๋า ความโกลาหลเริ่มเกิดขึ้นทั้งคู่เกิดการยื้อแย่งกระเป๋ากัน
แรงผู้หญิงหรือจะสู้แรงผู้ชายมันกระชากไม่กี่ครั้งก็ได้กระเป๋าไป ปีกุนเริ่มสงเสียงตะโกนให้คนช่วยจนไฟของบ้านหลายหลังถูกเปิด
พวกมันเห็นท่าไม่ดีและเกิดความโมโหจึงถือมีดเข้ามาจะแทงสัญชาตญาณของคนส่วนใหญ่คือการยกแขนขึ้นปกป้องร่างกายและใบหน้าตัวเองปีกุนเองก็เช่นกัน
“กรี๊ดดดด” มีดพกพาแทงเข้าบริเวณลำแขน
มันชักมีดกลับพร้อมกับเลือดสีแดงสดพุ่งออกมาไม่ขาดสาย แววตาของปีกุนปรากฎความอ้อนวอนขอชีวิต แต่มันก็คงไม่ได้ผลกับคนติดยาบ้าที่ของขาดในเวลานี้ มีดเล่มเดิมถูกยกขึ้นอีกครั้ง เธอได้แต่หลับตาปี๋เพื่อรอความตาย
“โอ้ย...เฮ้ย หนีเร็ว”
ปีกุนได้ยินเสียงชกต่อยกันจึงลืมตาขึ้นเธอเห็นพวกมันขับรถออกไปพร้อมกับกระเป๋าของตัวเองถูกยื่นมาตรงหน้า มีคนมาช่วยเธอเอาไว้ทัน
“ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม ผมโทรเรียกรถพยาบาลกับตำรวจให้แล้วนะ”
ร่างสูงร้อยแปดสิบกว่าย่อตัวลง ใบหน้าคมเข้มสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนมีออร่าระยิบระยับเปล่งประกายสะท้อนออกมา หญิงสาวตกตะลึงไปชั่วขณะ จนเขาต้องเขย่าร่างเพื่อเรียกสติเพราะคิดว่าเธอตกใจจนเสียสติไปแล้ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากรู้ตัวอีกทีปีกุนก็มาอยู่โรงพยาบาลโดยรับรู้ว่าผู้ชายคนนั้นช่วยชีวิตเธอเอาไว้
มืออวบยังคงลูบรอยแผลเป็นซึ่งเหมือนเป็นเครื่องเตือนใจเอาไว้บอกว่าเธอรอดชีวิตมาได้เพราะผู้ชายที่ชื่อ ‘ธามวัฒน์’
และมันคงไม่แปลกที่เธอยังตัดใจจากเขาไม่ได้สักที ทั้งที่รู้ว่าเขามีคนรักอยู่แล้วและฐานะก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว
“น้องคะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นและดังขึ้นอีกจนเรียกสติของปีกุนกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง “คะ?...คุณลูกค้า”
หญิงวัยกลางคนหน้าตาท่าทางค่อนข้างเอาเรื่องชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อเห็นว่าพนักงานของร้านเอาแต่ยืนเหม่อลอยและไม่สนใจลูกค้าอย่างเธอเลย
ปีกุนหันซ้ายหันขวานึกว่าเพื่อนเธอยืนอยู่ด้วยแต่ที่ไหนได้เธอยืนอยู่คนเดียวไม่รู้ว่าตวิศาเดินออกไปจากตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
“พี่เอากระเป๋ามาคืนค่ะ”
ยกถุงกระดาษระดับพรีเมี่ยมซึ่งมีกระเป๋าแบรนด์เนมระดับกลางอยู่ด้านใน ปีกุนรับมันมาเปิดดูแล้วก็เห็นว่ามันเป็นของทางร้านจริง ๆ ซึ่งหากซื้อไปแล้วและสินค้ามีปัญหาสามารถนำมาคืนได้ภายในเจ็ดวัน
“คุณลูกค้ามีใบเสร็จของทางร้านไหมคะ”
“ไม่มี ฉันคิดว่าสินค้าไม่ได้มีปัญหาอะไรจึงทิ้งไปแล้ว” ยกมือขึ้นกอดอกพูดลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับหลักฐานที่จะต้องเตรียมมา
“ถ้าไม่มีหลักฐานเราคงเคลมสินค้าให้ไม่ได้ค่ะ เพราะตามกฎแล้วต้องมีใบเสร็จมาเพื่อยืนยันว่าลูกค้าซื้อกระเป๋าไปภายในเจ็ดวันค่ะ” ริมฝีปากอิ่มหยักโค้งขึ้นแม้ในใจจะร้อนรุ่มกับท่าทีเย่อหยิ่งนั้นก็ตาม
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ในเมื่อกระเป๋ามีรอยขีดข่วนฉันก็ต้องเอามาคืนสิ”
น้ำเสียงของลูกค้าวัยกลางคนเริ่มสูงขึ้นพร้อมกับยืนเท้าสะเอว ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหยุดดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ตวิศาซึ่งเพิ่งกลับมาจากห้องน้ำแล้วเห็นมีไทยมุงยืนอออยู่หน้าร้านจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนทันที เธอจำได้ว่าผู้หญิงที่ส่งเสียงโวยวายอยู่ในร้านคือคนที่มาซื้อกระเป๋ากับเธอเมื่อสามสัปดาห์ก่อน
พีธีแต่งงานจัดขึ้นใหญ่โตสมเกียรติครอบครัวใหญ่ตระกูลดัง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายร้อยคนรวมถึงเพื่อนร่วมงานของปีกุนและกองทัพนักข่าวนับสิบสำนักปีกุนอยู่ในชุดเจ้าสาวสีมุกสั้นเปิดไหล่ยืนเคียงคู่ต้อนรับแขกอยู่หน้างาน บรรยากาศภายในงานชื่นมื่นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นโดยมีสักขีพยานรักอย่างเด็กหญิงก่อเกิดวิ่งเล่นไปทั่วงาน“ได้เจอตัวสักทีนะครับ ภรรยาของคุณเพื่อน” ศิลาเอ่ยทักทายเมื่อเดินมาถึงทางเข้างาน ปีกุนมองสลับไปสลับมาระหว่างชายหนุ่มกับสามี“คุณคือ?”“ผมหมอศิลาครับ”“ออ คุณนี่เองที่ตรวจยืนยันความเป็นพ่อลูก” หญิงสาวหรี่ตาลงเพื่อคาดโทษแต่พอเห็นเจ้าตัวสีหน้าซีดก็หัวเราะออกมา “ล้อเล่นค่ะ”“ผมตกใจแทบแย่ ขนาดล้อเล่นยังหน้าดุเลยนะครับ มึงระวังตัวเถอะเตรียมถูกเชือดได้เลย”ศิลาแกล้งยกนิ้วปาดบริเวณลำคอเพื่อข่มขู่เพื่อนแล้วขอตัวเดินเข้างานไปทักทายเพื่อนคนอื่นที่มาร่วมงานนี้เหมือนกันปีกุนเห็นตวิศและแม่ครูรำไพเดินมาแต่ไกล ๆ ก็รีบยกมือขึ้นโบกทักทายด้วยความดีใจ“แม่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้ว คนก็เยอะ รถก็ติดแถมไอ้ตาลยังเกือบไปมีเรื่องกับเขาบนท้องถนนอีก”มาถึงแม่ครูก็เริ่มบ่นตามประสาคนแก่พลางหันไปค้อนตวิศาที่
“คราวนี้ทีกูบ้างล่ะ” มันเยาะเย้ยแล้วชี้ปืนไปหา “อีเด็กนี่เหรอที่กูเอามันไปทิ้ง ตายยากนักนะมึง”“มึงอย่าทำอะไรลูกกูนะ” นภัสเป็นห่วงปีกุนธีธัชเริ่มเห็นตำรวจทยอยเข้ามาจึงรู้ตัวแล้วว่าคงไม่รอด ไม่ว่าจะเรื่องลักพาตัว ฆ่าคนอื่นหรือแม้จะเป็นเรื่องยักยอกเงินบริษัท“ในเมื่อกูไม่รอด ก็ขอเอาลูกมึงไปด้วยเพื่อให้มึงอยู่กับความตรอมใจเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน”ธีธัชหันปลายกระบอกปืนไปยังปีกุนแล้วกดไกปืน นภัสร้องเสียงหลง“อย่า!”ธามวัฒน์ดึงร่างอวบมากอดเอาไว้แล้วหันตัวเองไปรับกระสุนนั้นแทน ร่างสูงสะดุ้งเฮือก หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกันหลายนัดตำรวจวิสามัญธีธัชจนเสียชีวิตทันที“กรี๊ดดดด คุณธาม”ธามวัฒน์รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหัวไหล่ เลือดสีแดงสดซึมผ่านเสื้อเชิ้ตสีขาว ร่างสูงทรุดฮวบลงกับพื้นโชคดีที่ปีกุนเอาแขนรองศีรษะเอาไว้ทัน“กุน คุณเป็นอะไรไหม...” ชายหนุ่มเอ่ยถาม“ฉัน...ไม่เป็นอะไรค่ะ” เธอส่ายหน้ารัว สติเริ่มไม่มีเมื่อเห็นว่าเขารับกระสุนแทนตนเอง นภัสเองก็ทำตัวไม่ถูกได้แต่ตะโกนให้คนเรียกรถพยาบาล“กุนครับ ใจเย็น ๆ ผมไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวรถโรงพยาบาลก็มา”ยกมือเปื้อนเลือดอีกข้างลูบแก้มเธอเพื่อเร
นภัสแทบไม่อยากกลับจากบ้านหลังนั้นเลยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่กับลูกสาวให้นาน แต่เพราะธีธัชตามกลับไปเซ็นเอกสารด่วนที่บ้านเธอจึงจำใจต้องไปและคิดว่าจะเอาเรื่องนี้มาบอกด้วยตัวเองด้วยเมื่อรถเคลื่อนเข้ามาจอดตัวบ้านขณะก้าวเท้าลงจากรถเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิแคชันดังขึ้น มือล้วงกระเป๋าหยิบออกมาดูใบหน้าเหี่ยวย่นเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยวทันทีแต่ไม่ได้โวยวายอะไร“สมชาย”“ครับ คุณหญิง”“แกอย่าเพิ่งบอกใครเรื่องที่ฉันเจอลูกสาวแล้วนะ”“แม้แต่คุณธีธัชก็ไม่ให้ผมบอกเหรอครับ”“ใช่ คนนี้ยิ่งให้รู้ไม่ได้” ดวงตาทอประกายกล้าโหดเหี้ยม มือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ นภัสไม่รู้เลยว่าธีธัชเดินมาได้ยินทุกอย่างความกลัวเรื่องเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนคืบคลานเข้ามาในจิตใจ“กลับมาแล้วค่ะ”ปรับน้ำเสียงให้หวานขึ้นแล้วเดินไปย่อตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ธีธัชรู้ดีถึงความเสแสร้งนั้นแต่ก็เล่นตามน้ำไปก่อน“คุณมีเอกสารอะไรให้ฉันเซ็นเหรอคะ”ชายสูงวัยเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเอาเอกสารที่ดัดแปลงการเงินออกมาให้นภัสดูบอกว่าเป็นเรื่องด่วนเขาจะได้เอาไปให้ฝ่ายการเงินและเร่งดำเนินการโครงการขยายสาขาร้านอาหารต่อนภัสรับแฟ้มนั้นมาไล่สายตาดูอย่างถี่ถ้วนก็รู้
วันนี้พยากรณ์อากาศแจ้งว่าอากาศจะร้อนพุ่งขึ้นถึง 45 องศาเซลเซียสปีกุนก็ไม่คิดว่ามันจะร้อนได้มากมายขนาดนี้ เสื้อแขนสั้นถลกขึ้นไปอยู่บนหัวไหล่“คุณป้าร้อนไหมคะ”“นิดหน่อยจ้ะ”“ถ้าอย่างนั้นรอแป๊บนะคะ เดี๋ยวกุนไปเอาพัดลมตั้งโต๊ะมาเปิดให้” กำลังจะอ้าปากบอกว่าไม่เป็นไรหันมาอีกทีร่างอวบเดินไว ๆ ออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับพัดลมตัวใหญ่ปีกุนจัดแจงเสียบปลั๊กเรียบร้อยก้มลงกดเปิดสวิตซ์ให้เรียบร้อย จังหวะเงยตัวขึ้นนภัสหันไปมอง ฉับพลันดวงตาก็เปลี่ยนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นสร้อยบนคอของปีกุนมีดสับมะละกอวางลงถาดแล้วก้าวเข้าไปประชิดตัวหญิงสาวทันที“สร้อย” มือสั่นเทาชี้ไปยังจี้สร้อยซึ่งเป็นรูปหงส์คู่“สร้อยของกุนทำไมเหรอคะ” ปีกุนจับไปยังสร้อยคอตัวเองแล้วมีสีหน้าประหลาดใจ“ป้าขอดูใกล้ ๆ ได้ไหม” ปีกุนถอดสร้อยคอยื่นให้ไม่ผิดเลยสร้อยคอหงส์คู่มีเส้นเดียวในโลกเธอสั่งทำเป็นพิเศษเพื่อสวมให้กับลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ เงยหน้ามองดวงตาคลอหน่วยไปด้วยหยดน้ำ“คุณป้าร้องไห้ทำไมเหรอคะ” นภัสไม่ได้ตอบคำถามแต่เลือกถามกลับเสียงสั่น“หนูกุนไปเอาสร้อยเส้นนี้มาจากไหนเหรอ”“แม่ครูบอกว่ามันเป็นสร้อยติดตั
รุ่งสางของวันใหม่ปีกุนย่องเบาออกมาจากห้องของธามวัฒน์เพราะกลัวว่าคนในบ้านจะมาเห็น เธอปิดประตูแผ่วเบาพอหันหลังกลับต้องตกใจสุดขีด“คุณป้า”ธมนต์ยืนกอดอกมองรอยยิ้มมุมปากยกขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่เกินงามที่จับได้ว่าเธอเข้าไปนอนในห้องลูกชายท่าน ปกติท่านตื่นเช้าทุกวันอยู่แล้วแต่ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาแจ็คพ๊อตเจอกันหน้าห้อง“คือว่าเมื่อคืนคุณธามมีไข้ หนูก็เลยอยู่เฝ้า...”ปีกุนแก้ตัวเป็นพัลวันธมนต์ส่ายหน้าไปมากำลังจะก้าวเท้าเดินแต่หยุดลงแล้วหันไปหาปีกุนอีกครั้ง“เลิกเรียกฉันว่าคุณป้าสักที ฉันอนุญาตให้เธอเรียกแม่ได้”“ทะ...ทำไมเหรอคะ” ช้อนตาขึ้นมองหญิงสูงวัย“ไหน ๆ เมื่อคืนก็นอนด้วยกันแล้วก็เปลี่ยนสถานะไปเลยก็แล้วกัน” ว่าจบธมนต์ก็เดินจากไปปล่อยให้หญิงสาวอ้าปากค้างได้แต่ร้องตะโกนตามหลัง“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”คุณธาม นะ คุณธาม ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดจนได้หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมา เดินตรงไปยังห้องลูกสาว หลังจากนั้นหลายชั่วโมงคนป่วยหนักเมื่อคืนก็ตามยังห้องลูกสาวแถมยังแสดงความรักต่อหน้าอีกต่างหาก“หยุดค่ะ อย่ามารุ่มร่ามต่อหน้าลูกสิคะ” แกะมือออกจากอ้อมแขนเด็กน้อยยืนมองพ่อกับแม่ตาปริบ ๆ สลับไปมา“มามี้ขา อะไ
ใบหน้าอวบก้มลงไปใกล้เขามากขึ้นไม่คิดเลยว่าจะได้มีโอกาสมานั่งจ้องหน้าเขาอย่างนี้ นิ้วมือป้อมเขี่ยปลายเส้นผม “ฝันดีนะคะ”คนถูกบอกฝันดีลืมตาโพลงขึ้นมาทำเอาร่างอวบผงะแต่มือหนาคว้าเอาไว้และออกแรงดึงเธอให้มานอนอยู่ในอ้อมกอดเขาได้อย่างง่ายดาย“คุณธาม! คุณไม่ได้หลับเหรอคะ” ขืนตัวออกจากวงแขนแต่ยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น “ปล่อยค่ะฉันหายใจไม่ออก”“ไม่ปล่อย ถ้าปล่อยคุณก็หนีกลับห้องสิ”“คุณป่วยจริงหรือเปล่าคะ ทำไมแรงเยอะขนาดนี้เนี่ย” ดิ้นคลุกคลักไปมา ธามวัฒน์กระชับวงแขนมากขึ้น“ถ้าไม่ป่วยจริงตัวจะร้อนเหรอ จนคุณต้องมาแก้ผ้าผมเช็ดตัวให้หรือไง”“พูดจาน่าเกลียด ฉันแค่ถอดเสื้อให้คุณเท่านั้นค่ะ”“แต่ผมอยากให้คุณถอดทั้งบน ทั้งล่าง” ใบหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาใกล้พลางก้มลงดมหัวไหล่ ปีกุนหยุดดิ้นเอียงหน้ามองเขาดวงตาดุดันและแข็งกร้าวเมื่อก่อนไม่มีอีกแล้วมันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้“ขอโทษ” เสียงยานคางเอื่อย ๆ ข้างหู เขาขอโทษเธออีกแล้ว“คุณขอโทษกุนอีกแล้วนะคะ”“ที่ผมขอโทษเพราะผมรู้สึกผิดกับคุณจริง ๆ ผมทำเรื่องทุกอย่างเลวร้ายกับคุณเพราะความแค้นจนคุณเกือบ...”เขาเว้นวรรคไม่พูดต่อแต่เลือกใช้นิ้ว