หลังจากที่หลันจินเยว่รู้ความจริงจากปากสาวใช้ว่าตอนที่ตนสลบอยู่ถูกตงเปียนอ๋องทำอันใด นางก็ไม่กล้าออกจากห้องพักอีกเลยจนผ่านมาแล้วสามวันเต็ม
"จูบแรกฉัน"
ทุกครั้งที่หลันจินเยว่อยู่คนเดียวและส่องคันฉ่องนางมักนึกถึงสิ่งที่สาวใช้เล่าให้ฟังเมื่อสามวันก่อน
ริมฝีปากจิ้มลิ้มที่สะท้อนผ่านคันฉ่องทองเหลืองตรงหน้าแม้จะไม่ใช่ร่างกายของหลันจินเยว่จริง ๆ แต่คนที่รู้สึกถึงจูบที่ว่าคือตัวนางเอง จะไม่ให้เสียใจได้เยี่ยงไร
"คุณหนูไม่สบายรึเจ้าคะทำไมหน้าแดงเช่นนั้น"
เสี่ยวโหรวที่ยกสำรับอาหารเข้ามาเอ่ยถามคุณหนูนางที่ไม่รู้ตัวว่าทุกครั้งเวลานึกถึงสิ่งที่สาวใช้บอกจะหน้าแดงอยู่นานสองนาน
"ข้าสบายดี หอมจัง"
หลันจินเยว่เปลี่ยนเรื่องทำจมูกสูดดมกลิ่นอาหารที่สาวใช้เพิ่งนำมาทันทีเพราะไม่อยากให้สาวใช้ซักความต่อ
"เจ้าค่ะ วันนี้เสี่ยวโหรวเข้าครัวเองเลยนะเจ้าคะ"
เพราะกลัวว่าพ่อครัวที่จวนจะเผลอทำอาหารที่คุณหนูนางแพ้อีกเลยต้องเข้าครัวจัดเตรียมเสียเอง
"น่ากินทั้งนั้นเลย"
บนโต๊ะมีอาหารอยู่ไม่กี่อย่างเพราะปกติเฟิงเยว่ซินตัวจริงจะทานน้อย นางมักบอกตนเองเสมอว่า ทานแต่พออิ่มอย่าให้ของเหลือ แล้วทำงานให้มาก บิดาจะได้ไม่แบกรับภาระมากเกินไป
"คุณหนูทานนี่ดูนะเจ้าคะ"
สาวใช้ผู้น่ารักคีบเนื้อเป็ดตุ๋นน้ำแดงลงบนชามข้าวของผู้เป็นนาย
"อื้ม อร่อยมาก"
ว่าฝีมือป้าจวงอร่อยแล้วนะแต่พอได้มากินฝีมือคนยุคนี้อร่อยไปอีกแบบ
"ทำไมไม่ทานต่อแล้วล่ะเจ้าคะ หรือว่าคุณหนูไม่สบายตรงไหนอีก"
หลันจินเยว่เผลอนึกถึงครอบครัวแท้ ๆ จนทานอะไรไม่ลง
"ข้าแค่คิดถึงบ้าน"
บ้านที่ไม่ได้แปลว่าที่นี่ แต่เป็นบ้านที่ไกลแสนไกลที่ไม่รู้ว่านางจะมีโอกาสได้กลับไปหรือเปล่า
"โธ่... คุณหนูของเสี่ยวโหรว"
มือน้อย ๆ สวมกอดร่างอรชรของคุณหนูผู้แสนบอบบางเพื่อปลอบประโลม
น้ำตาใส ๆ ของทั้งสาวใช้ทั้งคุณหนูหลั่งไหลออกมาพร้อมกัน
"ซินเอ๋อร์! เจ้าเป็นอันใด"
อู่ชิงหรงเพิ่งกลับมาจากจวนองค์ชายเฟยหลงจึงแวะมาหาสหายวัยเยาว์แต่กลับเจอเข้ากับสองหญิงสาวนั่งอมทุกข์น้ำตาอาบแก้มแทน
"ท่านรองแม่ทัพอู่"
เสี่ยวโหรวปล่อยกอดคุณหนูนางพร้อมทำความเคารพผู้มาเยือน
"ซินเอ๋อร์เป็นอะไร"
เมื่อถามครั้งแรกไม่ได้คำตอบรองแม่ทัพผู้ร้อนใจจึงหันไปถามสาวใช้แทน
"คุณหนูบอกว่าคิดถึงท่านเสนาเฟิงเจ้าค่ะ"
เสี่ยวโหรวอธิบายแบบเจาะจงตัวบุคคล ทำให้อู่ชิงหรงถึงกับจุกในอกแทนสหายรัก
"เจ้ายังมีหวัง"
อู่ชิงหรงเลื่อนเก้าอี้นั่งลงข้างกายสหายวัยเยาว์เพื่อบอกกล่าวข่าวดีที่เพิ่งรายงานตงเปียนอ๋องเสร็จ
"มีหวังคืออะไร"
หลันจินเยว่ปาดน้ำตาออกจากแก้ม หันไปคุยกับอีกคนที่นางเริ่มสนิทใจ
"เรื่องท่านเสนาเฟิง"
พ่อของเยว่ซินน่ะเหรอ เฮ้อ! ลืมไปว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในร่างของคนอื่นจะเป็นเรื่องใครไปได้
"ท่านเส... ท่านพ่อข้าทำไมเหรอ"
เดาจากท่าทีของชิงหรงผู้นี้บ่งบอกว่าต้องเป็นเรื่องดีแน่ ๆ
"ข้าได้รับมอบหมายภารกิจจากท่านอ๋องให้ไปตรวจสอบดูจุดที่ทหารบอกว่าสังหารพ่อเจ้า ทว่าข้ากลับไม่พบเบาะแสอะไรที่บ่งบอกว่าตรงนั้นมีการต่อสู้เกิดขึ้น"
นี่คือสิ่งที่อู่ชิงหรงได้ไปสืบมา
"ท่านรองแม่ทัพกำลังบอกว่าท่านเสนาเฟิงยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ"
เสี่ยวโหรวดีใจแทนคุณหนูจนเสียมารยาทถามออกไป
"จะกล่าวว่ายังมีชีวิตอยู่เลยก็ใช่เรื่อง แต่ท่านอ๋องตรัสว่า ไม่พบศพ ให้ถือว่าคนยังมีลมหายใจ"
ก็มีเหตุผล แต่ทุกอย่างไม่เกี่ยวกับตัวหลันจินเยว่สักหน่อย นางแค่มาอาศัยร่างคนอื่นอยู่ สิ่งที่มีผลกับนางคือการได้กลับคืนร่างตัวเองที่แม้จะไม่รู้ว่าจากอุบัติเหตุครั้งนั้นนางจะยังมีลมหายใจอยู่อีกมิติหรือไม่
"ทำไมเจ้าดูไม่ดีใจเลย"
สายตาไม่เคยหลอกใคร ในดวงตาสีดำขลับมีแต่ความผิดหวังปนเศร้าสร้อยจนสหายสนิทจับพิรุธได้
"ดีใจสิ ทำไมข้าจะไม่ดีใจ"
เสียงตื่นเต้นหลุดออกมาจากริมฝีปากได้รูปสวย แววตาที่เศร้าหมองเมื่อครู่มีประกายในแววตาขึ้นมาจนคนครางแครงใจเลิกกังวล
"เรื่องดีเช่นนี้เราต้องไปบอกแก่คุณหนูใหญ่นะเจ้าคะ"
เพราะญาติเพียงคนเดียวที่นางเหลืออยู่ตอนนี้คือพี่สาวต่างมารดาเสี่ยวโหรวเลยแนะนำ
"เกรงว่ายังไม่ได้" ชิงหลงรีบเอ่ยห้าม
"ทำไมล่ะ"
หลันจินเยว่มองหน้าเขาเพื่อต้องการคำอธิบาย
"ท่านอ๋องรับสั่งไว้ เรื่องในวันนี้ที่ข้าไปสืบมาต้องเป็นความลับ"
ทำไมต้องเป็นความลับด้วยนะ พ่อยังไม่ตายควรบอกกล่าวแก่ลูกให้รู้เป็นเรื่องดีออก
"เจ้าคงไม่ได้โกรธเคืองการตัดสินใจของท่านอ๋องใช่หรือไม่"
หลันจินเยว่ถูกถามจวนตัวเลยได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ พร้อมหลุดปากพูดสิ่งที่หลีกหนีมาตลอดสามวันออกไป
"ข้าจะไปโกรธท่านอ๋องได้ยังไง ตัวข้าอยากไปขอบคุณท่านอ๋องด้วยตัวเองด้วยซ้ำ"
"เอาสิ ข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าท่านอ๋อง"
หลันจินเยว่ฝืนกลืนก้อนน้ำลายลงคอพลางหลบหน้าสหายสนิทพึมพำกับตนเอง
"ไม่น่าปากไว้เลยเรา"
"แต่คุณหนูเพิ่งทานไปได้แค่หน่อยเดียวเองนะเจ้าคะ"
เสี่ยวโหรวสองจิตสองใจ ทั้งอยากให้คุณหนูไปพบท่านอ๋อง ทั้งอยากให้นางดื่มกินให้อิ่มก่อน
"ไว้ข้าค่อยกลับมากิน"
ถึงในใจจะยังไม่กล้าสู้หน้าท่านอ๋องที่ว่า แต่ด้วยความที่นางคลาดการเห็นหน้าตาคนผู้นี้ไปหลายหนเลยเลือกอย่างหลัง
"ท่านอ๋องน่าจะกำลังซ้อมธนูอยู่ เจ้าต้องระวังตัวด้วยละ"
"เสี่ยวโหรวเจ้าตามข้ามาด้วย"
"แต่ว่า..."
เพราะมาอยู่ที่นี่หลายวันทำให้เสี่ยวโหรวรู้ดีว่าเจ้าของจวนแห่งนี้รักสันโดดและมีเขตหวงห้ามค่อนข้างเยอะจึงได้แต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ไม่กล้ารับปากหลันจินเยว่
"ให้เสี่ยวโหรวรอที่นี่เถอะ ท่านอ๋องไม่ชอบให้คนไปยุ่งย่ามเวลาฝึกซ้อม"
คนอะไรจะเข้มงวดขนาดนั้น แต่ก็ช่างปะไร นางแค่อยากเห็นหน้าท่านอ๋องที่เคยเจอแบบไม่ค่อยชัด ส่วนสาวใช้คงพบเจอหน้าท่านอ๋องจนชินตาไปแล้ว
"งั้นเรารีบไปกันเถอะ"
อู่ชิงหรงหัวเราะเบา ๆ พร้อมส่ายหัวไปมา เมื่อเห็นสหายรักกระโดดโลดเต้นวิ่งนำหน้าเขาราวรู้ทิศทาง
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ