“หนาว ผ้า ขอผ้าห่มที”
เสียงสั่นสะท้านบ่งบอกอาการว่าคนที่เปล่งวาจาออกมานั้นกำลังรู้สึกหนาวสะบั้นไปถึงข้างในกายมากเพียงใด
ตงเปียนอ๋องเฟยหลงที่กำลังเร่งก่อกองไฟเพื่อให้ความอบอุ่นเงยหน้ามองคนที่กอดกายตนเองเสื้อผ้าเปียกโชกชุ่มฉ่ำเพราะสายฝนด้วยแววตาเรียบเฉย
หลังจากที่เขาสั่งให้คนออกตามหาตัวหลันจินเยว่ตามความต้องการของอู่ชิงหรง ท่านอ๋องที่ไม่เคยรู้สึกอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ใด ๆ ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ ในใจว้าวุ่นครุ่นคิดอยู่นานสองนาน หากเกิดอะไรขึ้นกับนางผู้นี้ รองแม่ทัพชิงหรงจะเคืองโกรธโทษเขาหรือไม่เพราะเขาคือคนสุดท้ายที่อยู่กับนาง แถมยังเป็นคนที่ทิ้งนางไว้ที่นั่นคนเดียวจนเกิดเรื่อง
เมื่อคิดทบทวนความผิดตนเองอยู่นานสองนานจึงตัดสินใจช่วยออกตามหาตัวหลันจินเยว่อีกแรง
ตงเปียนอ๋องเฟยหลงแกะร่องรอยตามความชำนาญทางของป่าแถบนี้จนพบกับร่างบอบบางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำแล้วพาเข้ามาหลบฝนในถ้ำแห่งนี้
"แม่คะ พ่อคะ หนูหนาวเหลือเกิน"
เสียงโอดครวญแผ่วเบาคลอออกมาจากริมฝีปากเป็นกระจับ
หลันจินเยว่เอาแต่กอดก่ายตัวเองเพื่อควานหาความอบอุ่นให้ร่างกายทว่าในถ้ำแห่งนี้มีแต่ความมืดสนิททั้งยังอับไปด้วยความชื้นของมวลอากาศที่ลายล้อมไปด้วยพายุฝนด้านนอก แม้จะมีเปลวไฟที่ตงเปียนอ๋องกำลังก่ออยู่หากแต่กลับไม่อุ่นดั่งใจต้องการ
ร่างบอบบางค่อย ๆ ขดงอตัวเข้ากอดกันจนแทบจะกลายเป็นก้อนแป้งกลม
ทุกการกระทำของนางอยู่ในสายตาบุรุษรูปงามที่นั่งสุมไฟเพื่อความอบอุ่นและใช้แสงสว่างไล่สัตว์มีพิษให้หนีไกล
เสียงสะบัดเสื้อคลุมที่ปักด้วยลายเลื่อมทองดังสองสามครั้งก่อนจะถูกพาดไว้บนท่อนฟืนที่ตั้งขึ้นแทนเสาหวังใช้ความร้อนจากเปลวไฟไล่ความเปียกให้ได้เยอะที่สุด
ใช้เวลาไม่นานนักขายาว ๆ จึงก้าวไปข้างหน้าเพื่อคลุมเสื้อตัวยาวนั้นลงบนร่างระหงเพื่อหวังให้คลายหนาว
ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะพิษหนาวในคราแรกเริ่มดีขึ้นทว่ายังแลดูซีดเซียวเนื่องจากเสื้อตัวนี้ยังมีความชื้นซุกซ่อนอยู่ให้ความอุ่นไม่สาแก่ใจเท่าที่ต้องการ
"เหตุใดข้าพบเจอเจ้าต้องมีแต่เรื่องให้ปวดหัวเช่นนี้"
ตงเปียนอ๋องเฟยหลงเหน็บแนมคนที่นอนหนาวสั่นไร้สติ
นี่หรือเปล่าที่เขาเคยได้ยินคนกล่าวกันว่า สตรีออกนอกบ้านมักคอยสร้างแต่ปัญหา
"กรี้ด!!"
เสียงฟ้าคำรามราวมังกรพิโรธดังจนถ้ำสั่นสะเทือนประกายแสงแปลบปลาบคล้ายมีสายฟ้าฟาดลงมาปากถ้ำชั่วพริบตา ทำเอาคนที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นพร้อมเสียงกรีดร้องอย่างตกใจ
"เจ้า!"
ร่างกำยำสูงแปดฉื่อแข็งราวหินเมื่อไม่คาดคิดว่าสตรีนางนี้จะตกใจกลัวเสียงคำรามของฟ้าจนกระโดดขึ้นมานั่งซบอกเขาเช่นนี้
"อืม อุ่นจัง"
ความรู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ มีผ้าห่มหนา ๆ คลุมกาย ความเหน็บหนาวเมื่อครู่เลยหายไปอย่างปลิดทิ้ง
หลันจินเยว่ที่ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าบัดนี้ได้ล่วงเกินคนที่ไม่ชอบขี้หน้าตนอยู่ค่อย ๆ ใช้ มือแน่งน้อยล้วงเข้าไปในสาปเสื้อเพื่อหวังซุกหาความอบอุ่นต่อ
หมับ!
"โอ้ย! เจ็บ ๆ"
สติคล้ายกลับมาครบถ้วนเมื่อมือที่อยู่ไม่สุขดีถูกฝ่ามือหนาบีบเข้าอย่างไร้ปรานี
"เจ้านี่ช่างไร้ยางอายเสียจริง"
ตงเปียนอ๋องสะบัดมือแน่งน้อยนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี กายกำยำไม่สนใจคนที่ยังป้ำ ๆ เป๋อ ๆ จับต้นชนปลายไม่ถูกลุกขึ้นอย่างไม่บอกกล่าวทำเอาหลันจินเยว่เกือบจะหัวคะมำโหม่งหินในถ้ำ
"คนบ้าอะไรไม่อ่อนโยนต่อผู้หญิงเลย"
แม้จะไม่ได้เจ็บตัวอะไร แต่เจ็บที่ใจที่ไม่ว่าจะเข้าใกล้เขากี่ครั้งกี่คราก็ถูกปฏิบัติเหมือนตัวเชื้อโรคเช่นนี้
"ฮัดชิ้ว!"
อยากจะอ้าปากสาดวาจาร้าย ๆ ให้อีกคนผูกใจเจ็บต่อทว่าร่างกายกลับอ่อนแรงขึ้นมาจนต้องไอจามเป็นทอด ๆ
"ถ้าไม่อยากหนาวตายเข้ามาให้ใกล้กว่านี้"
แม้การแสดงออกจะเหมือนรังเกียจนางแต่พื้นเพตงเปียนอ๋องเฟยหลงเป็นคนแข็งนอกอ่อนในมีจิตใจดีรักความถูกต้อง เมื่อเห็นสตรีอ่อนแอกำลังเหน็บหนาวจึงเอ่ยชวนด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนแลดูเย็นชา
"ข้าเข้าไปได้หรือเพคะ"
นางจำเรื่องก่อนหน้าที่ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้เขาเกินสามก้าวได้อยู่จึงแสร้งถามออกไป
"เจ้าเลือกเอาแล้วกัน"
ไม่อยากพูดมากความ ประโยคก่อนหน้าบ่งบอกไปในตัวแล้วว่าเขาอนุญาตให้นางเข้าใกล้กองไฟนี้ได้ เพราะถ้านางเข้ามา เขาก็เพียงแค่เป็นฝ่ายถอยออกไปเท่านั้น
"โอ้ย!"
เพราะภายในถ้ำพื้นไม่เรียบเสมอ แถมกองไฟนี้ไม่ได้สว่างมากมายนักจึงทำให้หลันจินเยว่สะดุดกับก้อนหินเข้า
"ขยันสร้างปัญหาเสียจริง"
ปากบ่นให้สตรีที่นั่งพับเพียบมองข้อเท้าตนเองใบหน้าเหยเก ทว่ากลับทำในสิ่งตรงข้ามกับวาจาแข็งกระด้างด้วยการลุกขึ้นเดินเข้าไปดูบาดแผลอีกคน
"แค่ข้อเท้าเคล็ด ไกลความตายนัก"
"เหตุใดท่านถึง..."จำต้องกลืนคำพูดลงคอเมื่อถูกนิ้วของคนรักปิดไว้ที่ริมฝีปากไม่ให้ขยับเอ่ย"อย่าขยับ ห้ามพูดใด ๆ"ตงเปียนอ๋องรู้สึกว่าร่างกายตนเองแปลกไปข้างในมันร้อนรุ่ม ลำคอแห้งผากเหมือนคนกระหายน้ำหากแต่ความรู้สึกเขากลับบอกว่าน้ำเพียงอย่างเดียวช่วยให้เขาดับกระหายไม่ได้เขาเริ่มตั้งสติจนจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่น ๆ หนึ่ง"ผงเริงรมย์""มันคืออันใด"หลันจินเยว่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกจึงใคร่สงสัย ทว่าสิ่งที่อยากรู้กลับไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาจากปากตงเปียนอ๋องเมื่อด้านนอกมีบุคคลมาเยือน"ฉินกงกงเข้าเฝ้าองค์ชายสี่เฟยหลง"เสียงกงกงของเสด็จย่าเขาดังขึ้นอยู่ด้านนอก"ฉินกงกงมีเรื่องอันใด"เหตุใดคนสนิทของเสด็จย่าถึงได้มาเยือนเข้าถึงจวนแห่งนี้ แถมมาได้เวลาเหมาะเจาะกับอาการประหลาดที่เพิ่งเริ่มแสดงอาการอีก"ไทเฮามีรับสั่ง ผงเริงรมย์นั้นไซร้ จงใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากนี้สามวันเป็นฤกษ์ดี สามารถจัดงานมงคลได้"เสียงแหลมบาดหูของฉินกงกงเอ่ยราชโองการขององค์ไทเฮาเสร็จจึงทูลลากลับเข้าวังหลวง ทิ้งให้ตงเปียนอ๋องอมยิ้มอยู่ในห้องเมื่อรู้สาเหตุแล้วว่าเหตุใดตนถึงมีอาการแปลกประหลาดเช่นนี้"อะไรคือผงเริงรมย์และอะไรคือสามวันม
บทส่งท้าย : เมื่อหมอกจางหาย บุปผางามผลิบาน"ข้าขับพิษออกจากร่างกายองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พักฟื้นสักสองสามวันก็หายดี"หมอหลวงประจำจวนเหมยฮัวเอ่ยบอก"ส่วนยานี้ต้มทานสามมื้อจนกว่าแผลจะหายดี"เสี่ยวโหรวรีบเข้าไปรับยานั้นจากหมอหลวง"อ้อข้าลืมอีกเรื่อง"ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกว่าเดิมเพราะนึกว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงอันใดอีก"แผลนั้นต้องห้ามโดนน้ำเด็ดขาด คงต้องรบกวนพระชายาแล้ว"หมอหลวงหันมากำชับเรื่องสำคัญนี้กับหลันจินเยว่ ทำเอาใบหน้านางแดงระเรื่อเพราะไม่คิดว่าคนนอกจวนอย่างหมอหลวงท่านนี้จะรู้เรื่องสถานะของนางกับองค์ชายสี่อีกคน"ข้าไปส่งท่านหมอ"อู่ชิงหรงเดินนำหน้าเพื่อส่งหมอหลวงกลับโรงหมอ"บ่าวขอตัวไปต้มยาให้ท่านอ๋องนะเจ้าคะ"ทุกคนออกไปจากห้องหมดแล้วเหลือเพียงแค่หนึ่งคนหลับอยู่บนเตียงอย่างไร้วี่แววจะฟื้นและอีกคนที่นั่งลงข้างเขาด้วยความเป็นห่วง"ไหนท่านรับปากข้าว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย"ตอนที่หลันจินเยว่ได้ยินว่าตงเปียนอ๋องถูกอาวุธลับอาบยาพิษเล่นงานถึงกับวิ่งถือห่อยาหลายขนานไปดักรอพวกเขาระยะทางกือบลี้ ทั้งล้มลุกคลุกคลานจนแข้งขาถลอก บ่าวใช้คนใดขวางนางไล่ตะเพิดจนหมดสิ้น หากไม่สลบเสียก่อนหลันจินเยว
ชายแดนทิศใต้"เจ้าเลิกดื้อรั้นเถิด ตอนนี้เผ่าซีเซียงยอมจำนนต่อกองทัพมังกรขาวหมดแล้ว"เสียงกร้าวของอู่ชิงหรงประกาศลั่นการปราบกบฎดำเนินมาได้สองชั่วยามแล้ว คนของเผ่าซีเซียงบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วนจนหัวหน้าเผ่ายกธงขาวยอมแพ้ให้กับอำนาจของแม่ทัพแห่งกองทัพมังกรขาวเฟยหลงทว่าต่อให้เสียเลือดเนื้อเสียคนไปมากมายเพียงใด ผู้ที่หัวรั้นเกลียดการพ่ายแพ้อย่างซู่จิ่งอวิ๋นไม่มีทางวางกระบี่ในมือลงเป็นแน่"วันนี้ข้ากับเจ้า ถ้าปลาไม่ตาย ตาข่ายก็ต้องขาด"ซู่จิ่งอวิ๋นโต้ตอบด้วยสำบัดสำนวนเสียงหนักแน่น วันนี้ทั้งเขาและตงเปียนอ๋องผู้นี้ต้องสู้กันให้ถึงที่สุด ให้ตายกันไปข้างถึงจะจบศึกในครั้งนี้"ช่างเด็ดเดี่ยวเช่นบิดาเจ้าเสียจริง"ตงเปียนอ๋องกล่าวชมในความเด็ดเดี่ยวนี้ หากเอามาใช้ให้ถูกทางคงเป็นที่น่ายกย่อง"วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้ท่านพ่อที่ถูกพวกเจ้าบังคับให้ดื่มยาพิษนั่น"[1]ยามโฉ่วของวันนี้ เสนาซู่จินเพ่ยได้กรอกยาพิษฆ่าตัวตายหลังได้รับราชโองการเป็นนักโทษประหารที่ต้องบั่นคอเสียบประจาน ข่าวนั้นดังเซ็งแซ่ไปทั่วแคว้นจนมาถึงหูซู่จิ่งอวิ๋นบุตรชายเพียงคนเดียวที่ตั้งใจจะบุกไปช่วยบิดาออกมาแต่มิทันกาลเสียงกระบี่ฟาดฟันอย่
"ทะ...ท่านอ๋อง"ใบหน้าสวยขึ้นสีแดงระเรื่อเมื่อถูกเอาอกเอาใจจากอีกคน"วันนี้สนุกไหม"เขาชวนนางคุยปกติ หากแต่ในแววตากลับมีความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วนจะเรื่องอะไรได้ ก็ตอนที่นางเดินซื้อของในตลาดมีนักฆ่าสะกดรอยตามถึงสามคน โชคดีที่ตงเปียนอ๋องอ่านเกมในครั้งนี้ออกคนรักของเขาถึงได้ปลอดภัยกลับมาหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง หลันจินเยว่คงไม่สบายใจ เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้องอีกเป็นแน่ ตอนนี้เลยต้องเอาอกเอาใจนางเพื่อบอกกล่าวแก่เรื่องที่ตริตรองมาอย่างดีแก่นางในเวลาที่เหมาะสม"ตอนแรกก็สนุก"ตอบพร้อมยู่ปากอย่างหุดหงิดในเวลาต่อมา"ใครทำอันใดให้ว่าที่ชายาของข้าขุ่นเคืองใจ"ที่ใช้คำว่า 'ว่าที่' เพราะทั้งสองยังไม่เข้าพิธีสมรสกัน ตงเปียนอ๋องอยากให้เกียรตินางจึงจะรอปราบกบฎตระกูลซู่แล้วสิ้นถึงจะทำพิธีตามประเพณีแคว้น"ข้ากำลังดูผ้าเพื่อจะเอามาตัดชุดใหม่ให้ท่าน แต่เจอเข้ากับคนที่วางยาสลบข้าเพื่อส่งต่อให้คนพวกนั้นเข้า"ที่จริงเรื่องนี้องครักษ์เงาของเขารายงานมาหมดแล้ว"เจ้าพบเฟิงเยว่ซู?""จะเป็นใครอีกละ! พี่สาวตัวดีของเฟิงเยว่ซินนั่นแหละ"ตงเปียนอ๋องหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อได้ฟังประโยคแปลก ๆ นั้นจบ"เจ้าพูดเหม
"เสี่ยวโหรวเร็ว ๆ เข้า"เสียงเจื้อยแจ้วของหลันจินเยว่ในอาภรณ์สีลูกท้อร้องเรียกสาวใช้ที่เดินหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรังอยู่ด้านหลัง"คุณหนูช้าหน่อยเจ้าค่ะ"วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส นางเลยขออนุญาตตงเปียนอ๋องออกมาเดินตลาด ฝั่งนั้นเห็นว่านางเพิ่งผ่านอันตรายมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเลยให้ออกมาเที่ยวเล่นจะได้ลืมเรื่องร้าย ๆ พวกนั้น หากแต่ตงเปียนอ๋องก็มิได้นิ่งนอนใจ เขาส่งองครักษ์เงาคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจะได้ช่วยเหลือนางทัน"คุณหนูจะซื้อไปฝากท่านอ๋องหรือเพคะ"หลันจินเยว่ยืนดูผ้าไหมเนื้องามที่ร้านหนึ่งตรงตรอกเล็ก ๆ ของตลาด"เจ้าว่าหากท่านอ๋องเปลี่ยนมาใส่สีสว่างตาขึ้นจะดูภูมิฐานอยู่ไหม"ตั้งแต่ที่เห็นและรู้จักกันมา นางไม่เคยเห็นบุรุษที่ว่าสวมใส่เสื้อผ้าสีอื่นที่มิใช่สีดำสีเข้ม ๆ เลยสักครั้งเดียว"บ่าวว่าผ้าสีไหนหากอยู่บนตัวท่านอ๋องก็ดูสง่างามหมดเจ้าค่ะ"หลันจินเยว่เห็นด้วยอย่างยิ่ง วันนี้สาวใช้ของนางพูดได้ถูกใจต้องตบรางวัล"ผ้าพับนี้ข้าซื้อให้เจ้า"นางหยิบผ้าไหมสีกลีบดอกเหมยส่งให้เถ้าแก่ร้าน"คุณหนู นั่นคงแพงมากนะเจ้าคะ"มองแค่ตายังไม่ได้จับต้องเนื้อผ้าเสี่ยวโหรวก็รู้ว่านั่นคือไห
ผ่านมาครึ่งชั่วยามแล้วหลังจากที่ตงเปียนอ๋องออกมาจากห้องนั้นเพื่อฟังรายงานจากเหล่าทหารว่าซู่จิ่งอวิ๋นหนีไปกบดานกับเผ่าซีเซียงบนเขาทางใต้ เขาเลยสั่งให้ทุกคนกลับมาวางแผนกันที่จวนเหมยฮัวก่อนการเดินทางกลับจำต้องใช้ม้าถึงจะถึงที่หมายโดยเร็ว ทว่าหลันจินเยว่กลับเลือกที่จะโดยสารม้ามากับอู่ชิงหรงแทนอีกคน"เหตุใดข้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังหลบหน้าท่านอ๋อง"บุรุษผู้โผงผางคิดเห็นการใดก็พูดออกไปจนหมดสิ้นถามสหายวัยเยาว์"ข้ามิได้หลบหน้าผู้ใด"หลันจินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านหลังเขาตอบเหมือนร้อนตัว"หากข้าเป็นคนอื่นคงเชื่อที่เจ้ากล่าวมา"จะมาเกิดฉลาดเอาอะไรตอนนี้ นางยิ่งอยากอยู่เงียบ ๆ ตบตีกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจากตงเปียนอ๋องว่าตกลงแล้วที่เขาบอกชอบนางหมายถึงร่างกายเฟิงเยว่ซินหรือตัวตนที่นางแสดงออกกัน"หยุด!"ตงเปียนอ๋องที่ควบม้าตามหลังสองคนนี้สั่งเสียงลั่น ทหารทุกนายต่างหยุดควบม้าเพื่อรอฟังคำสั่งถัดไป"ท่านอ๋องพบสิ่งใดผิดปกติหรือขอรับ"หนึ่งในทหารที่ควบม้ารั้งท้ายลงจากม้ามาถามไถ่"ม้าตัวนี้อ่อนแรงแล้ว หยุดพักที่นี่สักพักก่อน"หากม้าที่ตงเปียนอ๋องทรงขี่อยู่คือทมิฬกาลคงหาข้ออ้างเช่นนี้ไม่ได้สายตาคมมองแผ่นหลังบ