บทที่ 104
เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง)
เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก
ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู
“พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย
“แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน
“เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน
ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ”
“อืม นั่นสิน๊า”
หลินทำท่าครุ่นคิด
หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ
ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อยู่ในโกดัง
แม้ว่าสินค้าอื่นๆ ในโกดังไม่ได้รับเสียหาย แต่เพราะพวกเขาเป็นผู้บุกรุก ซินหลินกับสยงอู๋และหมาป่าที่ติดตามมาด้วยช่วยกันจับผู้บุกรุกกลับมาให้หลินไต่สวน
อย่างไรก็ตาม ในมิติต่างโลก เผ่ากระต่ายที่มีร่างจำแลงมนุษย์ เท่าที่พบเจอมามีเพียงสองพี่น้องหู่จือเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ หลินจึงถามพวกเขาเพื่อความแน่ใจ ว่าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ หรือ?
เผ่ากระต่ายที่จำแลงร่างเป็นมนุษย์ทั้งเจ็ดตนกอดกันกลมด้วยความหวาดกลัว
สักพักใหญ่ๆ กระต่ายหนุ่มตนหนึ่งตอบเสียงสั่นเครืออย่างหวาดๆ ว่า “ชะ ใช่แล้ว พะ พวกเราเป็นเผ่ากระต่าย”
“แปลกใจเลยนะ คิดว่าละแวกนี้จะไม่มีสัตว์อสูรอื่นแล้วซะอีก” ซินหลินพูด
กระต่ายหนุ่มตนเดิมกล่าวต่อ “พวกเราเองก็แปลกใจเหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็มีร่างเป็นมนุษย์ ซ้ำยังเดินหลงมาเจอสวนนี้ คิดว่าเป็นดินแดนของพระเจ้าเสียด้วยซ้ำ”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของกระต่ายหนุ่มต่างทำหน้าประหลาดใจ
สักพักหนึ่ง ซินหลินก็เอ่ยถาม “ที่บอกว่าอยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนร่าง เรื่องเป็นมายังไงกันแน่ ขอฟังรายละเอียดของพวกเจ้าหน่อยสิ”
เหล่ากระต่ายในร่างจำแลงมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก ต่อมา พวกเขาก็สลับกันเล่าถึงที่มาที่ไป
เนื้อหาสรุปได้แบบนี้ เดิมทีพวกเขาเป็นกระต่ายธรรมดา อาศัยในป่าลึกที่รกร้างฝั่งเหนือ ป่าแห่งนั้นมีสัตว์มากมายหลายเผ่าพันธุ์ แต่วันดีคืนดี จู่ๆ ก็มีลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่าทำให้สัตว์ส่วนใหญ่กลายร่างเป็นมนุษย์ ถึงอย่างนั้นก็มีสัตว์บางตัวที่ยังคงเป็นสัตว์เหมือนเดิม
ถึงร่างกายของสัตว์พวกนั้นจะมีวิวัฒนาการ แต่ยังคงเอกลักษณ์เดิมของเผ่าพันธุ์ เช่นหู หรือไม่ก็หาง
หลังจากรับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกาย ผู้นำเผ่ากระต่ายส่งกระต่ายหนุ่มสาวทั้งเจ็ดตนออกมาสำรวจที่มาของลำแสงสีทอง กระทั่งหลงมาเจอสวนและโกดังแห่งนี้ ด้วยความหิวโหยพวกเขาจึงลักลอบกินอาหารในนั้น
“…ทุกอย่างก็เป็นอย่างที่เล่ามา”
กระต่ายหนุ่มว่ามาอย่างนั้น
“ลำแสงสีทองหรือ” ซินหลินพึมพำ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปทางภูตน้อยที่โครงศีรษะไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยท่าทีครุ่นคิด
“อือ น่าคิดนะ ลำแสงสีทอง…ลำแสงสีทอง?” หลินพึมพำอย่างคิดไม่ตก
ลำแสงสีทองนั้นเกิดขึ้นได้ยังไงนะ
แล้วมีส่วนทำให้สัตว์พวกนี้กลายเป็นมนุษย์ด้วยเหรอ
อือ...น่าคิด
แค่เห็นท่าทางของหลิน ซินหลินก็รู้ทันทีว่าภูตน้อยกำลังคิดอะไร
เด็กชายถอนหายใจเฮือกออกมาทีหนึ่ง ก่อนจะลองเชิงถามภูตน้อย“หลินไม่เอะใจบ้างเลยหรือ”
“หรือว่า…!” ภูตน้อยทำเสียงราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ จากนั้นก็ยิ้มแห้งๆ กล่าวอย่างไร้เดียงสา “เจ้ากำลังคิดว่า ลำแสงสีทองนั้นเกิดจากข้าสินะ”
ซินหลินผงกศีรษะ “ไม่เห็นต้องสงสัยเลย ลำแสงสีทองนั้นคือพลังเวทที่เพิ่มขึ้นของหลิน เลยทำให้มิติขยายตัวยังไงล่ะ และเวทมนตร์นั้นก็ทำให้พวกเขากลายร่างเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์”
“อย่างนี้เองหรือ”
“เช่นนั้นก็ได้คำตอบแล้วนะขอรับ ท่านหลิน” สยงอู๋สรุปด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสินะ”
“มะ หมายความว่ายังไงหรือ” กระต่ายสาวถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูดกัน
ภูตน้อยยิ้มเจื่อนๆ พร้อมกับยอมรับความจริงว่า “จริงๆ แล้ว ลำแสงสีทองนั้นเป็นเพราะข้าเอง แหะๆ”
“เอ๋!!??”
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ