บทที่ 120
หนาวแต่อบอุ่น
ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งยองๆ ตรงหน้าเด็กแฝดทั้งสอง ใบหน้าหล่อเหลายิ้มแย้มขณะถาม
“ว่าไง เจ้าตัวเล็ก ถามถึงข้าหรือ”
“ก็ท่านลุงมาทุกวันเลยนี่น่า” เป่าเอ๋อร์เอ่ยขึ้นคนแรก
“ใช่ ถ้าวันนี้ไม่มาก็แปลก” เฉิงเอ๋อร์เอ่ยต่อ
กงเยียนซูก็หัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน มองไปทางลู่ซินฟาง ในมือก็ยกไหสุราขึ้นแล้วว่า “วันนี้อากาศหนาวกว่าทุกวัน ข้าเลยเอาสุราดอกหมื่นลี้มาฝาก หวังว่าเจ้าจะดื่มได้นะ”
“ท่านมาถูกจังหวะพอดีเจ้าค่ะ ทางนี้กำลังเตรียมของทำหม้อไฟกันพอดีเลย”
หม้อไฟร้อนๆ กับสุราหอมรสเลิศเข้ากันไม่น้อย
คิดแล้ว ใบหน้าสวยก็ผุดรอยยิ้มบางๆ
กงเยียนซูเลิกคิ้วสูงราวกับตั้งคำถาม
ลู่ซินฟางไม่ได้ตอบทันที เพียงแค่ยิ้ม แล้วบอกว่า “ข้างนอกหนาว เชิญท่านเข้ามาในเรือนก่อนเจ้าค่ะ”
จากนั้น นางก็ผายมือเชื้อเชิญชายหนุ่ม
เจ้าแฝดให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง เกาะแขนชายหนุ่มทั้งซ้ายขวา จูงเขาเดินเข้าเรือน
“ท่านลุง วันนี้จะมีหม้อไฟละ”
“ท่านแม่บอกว่าอร่อยและสนุกมาก”
ถึงไม่เข้าใจว่าหม้อไฟคืออะไร แต่ได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอย่างตื่นเต้นของเจ้าแฝด กงเยียนซูก็รู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย
เมื่อเข้ามาในเรือนหลัก ข้างในอบอุ่นอย่างยิ่ง กงเยียนซูวางไหสุราลงบนโต๊ะ แล้วยิ้มอ่อนโยนอันมีนัยแฝงให้กับหญิงสาว
ลู่ซินฟางยิ้มตอบ แก้มแดงระเรื่อ
จังหวะที่กงเยียนซูขยับริมฝีปากทำท่าเหมือนจะพูด เจ้าแฝดก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตัดหน้า
“ท่านลุง ไปครัวกัน”
“ไปนะๆ”
ถูกเด็กน่ารักน่าเอ็นดูออดอ้อน ใครบ้างจะกล้าปฏิเสธลง แม้แต่กงเยียนซูที่ว่าใจแข็งก็ไม่มีข้อยกเว้น
ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยนให้กับเจ้าตัวเล็กทั้งสองพลางตอบ “ได้สิ”
ทันทีที่ตอบออกไป กงเยียนซูก็ถูกเด็กๆ ลากมาที่ครัว
ภายในครัวทุกคนกำลังช่วยกันเตรียมของทำมื้อค่ำ แต่ที่ทำให้กงเยียนซูประหลาดใจเห็นจะเป็นผักสดๆ ที่พวกเด็กๆ กำลังช่วยกันล้าง ทั้งผักกาดขาว กวางตุ้ง ถั่วงอก หัวไชเท้า กระหล่ำปลีหัวใหญ่ เห็ดและเต้าหู้ ไหนจะเนื้อไก่เนื้อหมูที่แล่เป็นชิ้นบางๆ
ช่างเป็นครัวที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหาร
ผ่านสักครู่ กงเยียนซูเปลี่ยนจากสีหน้าจากประหลาดใจเป็นผ่อนคลาย เมื่อคิดได้ว่ายุ้งฉางของลู่ซินฟางไม่เคยขาดแคลนอาหาร
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”
ชายหนุ่มเอ่ย พร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้น
เหนียงซิ่นยืนอยู่หน้าหม้อต้มน้ำซุป คนอื่นๆ ทำหน้าที่หั่นของ เตรียมถ้วยชาม พอได้ยินเสียงกงเยียนซู พวกเขาต่างหันมายิ้มและทักทาย
“ท่านกง ทางนี้เตรียมของใกล้เสร็จพอดี ท่านไปนั่งรอเถิดเจ้าค่ะ” เหนียงซิ่นบอก
“ตรงนี้คนเต็มแล้ว ไม่มีที่นั่งขอรับ” สยงอู๋บอก
“อย่างนั้นหรือ” กงเยียนซูตอบด้วยสีหน้าเสียดายนิดๆ เขาเองก็อยากมีส่วนร่วมทำครัวกับทุกๆ คน
“ท่านมาช่วยตรงนี้ดีกว่า” ลู่ซินฟางบอกพร้อมกับกวักมือเรียกชายหนุ่ม
เมื่อชายหนุ่มหันมองก็เห็นว่านางกับลูกทั้งสองกำลังย่อนตัวนั่งเก้าอี้ ตรงหน้ามีกระจาดใส่เม็ดแปะก๊วยแห้งจำนวนมาก
ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง
“พอดีข้าได้เม็ดแปะก๊วยมาเยอะ ตั้งใจจะเอาไปต้มใส่บัวลอย ท่านพอจะช่วยข้าแกะได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน”
“ให้สอนหรือไม่” เป่าเอ๋อร์ถามพร้อมกับยิ้มแฉ่ง
“รบกวนด้วยท่านอาจารย์ตัวน้อย” ชายหนุ่มตอบ
จากนั้น เด็กแฝดทั้งสองก็หัวเราะคิกๆ
ลู่ซินฟางส่ายหน้าน้อยๆ ทันทีที่เริ่มทุบเม็ดแปะก๊วยแห้ง เด็กแฝดทั้งสองก็หยิบเม็ดแปะก๊วยขึ้นมาแกะ รวมทั้งกงเยียนซูก็ช่วยเช่นกัน
บรรยากาศรอบตัวตอนนี้ ทั้งอบอุ่นทั้งอ่อนโยน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเป็นครองครัวเดียวกัน
ทางเหนียงซิ่นเตรียมหม้อไฟเสร็จเรียบร้อย นางก็มาตามทั้งสี่ที่กำลังแกะเม็ดแปะก๊วยอย่างเพลิดเพลินออกมาข้างนอก
พวกเขาล้างไม้ล้างมือ ก่อนจะมาที่ห้องกินข้าว
“พูดก็พูดเถอะ เจ้ามักทำข้าประหลาดใจอยู่เรื่อย ผักในฤดูหนาวปลูกยากมาก แต่สวนของเจ้ากลับเก็บเกี่ยวได้มากขนาดนี้” กงเยียนซูเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเก้าอี้แล้ว
การปลูกผักในฤดูหนาว ชาวบ้านจะใช้ฟางคลุมสวนผักเพื่อไม่ให้ผักถูกหิมะทับถมจนผักตาย ส่วนผักที่รอดพ้นจากความหนาวจะมีต้นเล็กและเก็บเกี่ยวได้น้อย
ทว่า ผักบ้านของลู่ซินฟางทั้งสดและมีขนาดสมบูรณ์ แถมเก็บเกี่ยวได้เยอะเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากความหนาวสักนิด
“อันที่จริง การจะปลูกผักในฤดูหนาวไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ต้องในเงินก้อนโตเท่านั้นเจ้าค่ะ” ลู่ซินฟางบอก
“อย่างไรหรือ” กงเยียนซูถามอย่างใคร่รู้
“ปลูกผักในเรือนกระจก”
ลู่ซินฟางบอกเทคนิคนี้ออกไปตรงๆ เพราะการปลูกผักในเรือนกระจก นางเองก็ไม่ได้เป็นคนคิดค้นคนแรก อีกอย่าง การสร้างเรือนกระจกไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ ต้องมีเงินเยอะมากถึงจะซื้อวัสดุมาสร้างโรงเรือนได้
“ฟังดูน่าสนใจ”
“เอาไว้กินมื้อค่ำเสร็จแล้วข้าจะพาท่านไปดู”
“ไปดูหรือ?” กงเยียนซูถามซ้ำอย่างแปลกใจ
“หลังคฤหาสน์มีเรือนกระจกเล็กๆ อยู่ แม้จะเทียบที่สวนไม่ได้ก็เถอะ” นางบอกด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยความสนใจ
ตอนนั้นเอง เหนียงซิ่นตักหม้อไฟและน้ำซุปใส่ถ้วยให้กับกงเยียนซูเต็มถ้วย ก่อนจะยื่นให้กับเขา
“ท่านกง ลองชิมดูเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก”
หลังจากส่งเนื้อเข้าปาก ตักน้ำซุปขึ้นซด ชายหนุ่มก็เบิกตาโต ชมเสียงดังว่า “อร่อยมาก!”
ทุกคนที่ล้อมวงกินหม้อไฟได้ยินเช่นนั้นต่างก็ยิ้มแย้ม คีบเนื้อคีบผักในหม้อ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
พูดไปแล้ว ครอบครัวที่ร่ำรวยไม่มีทางกินข้าวร่วมกับลูกจ้าง แต่นั่นไม่ใช่กับลู่ซินฟาง ไม่เพียงล้อมวงกันข้าวกับทุกคนในทุกๆ วัน นางยังซื้อเสื้อผ้าให้กับลูกจ้าง และมองพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน
อย่างไรก็ดี เวลานี้ชายหนุ่มรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมาก
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ