บทที่ 64
ไม่มีใครอยากยุ่งเรื่องของลู่ซินฟางหรอก (ครึ่งแรก)
“เมืองใหญ่ขนาดนั้น หาคนคงไม่ง่าย” เหอถิงพึมพำ เขายังยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่มารดาเดินลิ่วๆ ออกไปไกลแล้ว
สักพักให้หลัง เหมือนนางเหอเพิ่งรู้ตัวว่าลูกชายไม่ได้เดินตามมา นางจึงหันมาถาม
“อาถิง เจ้าจะรอรถเทียมวัวตรงนี้หรือ?”
เหอถิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ท่านแม่”
“แล้วหยุดทำอะไรเล่า”
“เมืองเล่ออันไม่เล็ก ข้าคิดว่าไปถามกับหัวหน้าหมู่บ้านน่าจะเร็วกว่าเดินหาแบบไม่รู้ทิศทางเช่นนี้”
“ดีมาก เอาแบบนั้นแหละ แบบที่เจ้าว่า!”
นางเหอพยักหน้ารัวๆ อย่างเห็นด้วย นางมีลูกชายสองคน ลูกคนโตได้เรื่องได้ราวกว่าลูกชายคนเล็ก ดังนั้นไม่ว่าอะไรความคิดของลูกชายคนโตล้วนถูกทุกอย่างและดีไปหมด
“แต่...พวกเราไม่รู้จักบ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไม่ใช่หรือ” นางเหอถาม
เหอถิงยิ้มจางๆ แล้วบอก “แค่ถามใครสักคนก็ได้แล้วท่านแม่”
“ใช่ๆ ข้าลืมคิดไป”
พูดคุยกันเข้าใจแล้วทั้งสองก็เดินไปตามถนนสายเล็กของหมู่บ้าน ตอนที่เดินผ่านสวนกว้างใหญ่ เหอถิงไม่เคยเห็นสวนผักผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ไหนจะบ้านหลังใหญ่โดดเด่นกลางสวนนั้นอีก โกดังเก็บของใกล้ๆ กันนั้นก็ด้วย เหมือนเพิ่งสร้างเสร็จไม่นาน
ด้วยความสนใจ เหอถิงหยุดยืนมอง
บังเอิญตอนนั้น ชายร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแบกกระสอบอะไรสักอย่างไว้บนไหล่ เดินผ่านรั้วไม้ซึ่งเป็นแนวกั้นระหว่างสวนกับถนนมาพอดี
“พี่ชาย ช้าก่อน” เหอถิงตะโกนเรียก
ชายร่างใหญ่เหมือนหมีหยุดฝีเท้า หันมามองตามเสียงนั้น
“มีอะไรรึ น้องชาย!”
ชายคนนี้ไม่เพียงตัวสูงใหญ่เหมือนหมี ตอนพูดยังพูดเสียงดังฟังชัดเหมือนกับตะเบ็งเสียงข่มขู่ ทำเอาคนที่อยู่ใกล้ๆ ตกอกตกใจ
นางเหอสะดุ้งโหยงร้องว่า ตาเถร!
เหอถิงกลืนน้ำลายลงคอ คิดถูกหรือผิดที่เรียกชายคนนี้มาสอบถาม!
“คือว่า ข้าอยากถามพี่ชายสักหน่อย”
ในขณะพูด เหอถิงแกล้งทำทีเป็นสะบัดแขนเสื้อปัดฝุ่น จริงๆ แค่อยากแสดงป้ายขุนนางที่แขวนตรงเอวให้อีกฝ่ายเห็นเผื่อว่าจะเกรงใจกันบ้างเท่านั้นเอง
แต่กระนั้น ชายร่างหมีกลับเมินป้ายขุนนาง ยิ้มแย้มแล้วถามกลับมา “น้องชายจะถามอะไรหรือ”
ถึงจะเห็นป้ายขุนนางแล้ว แต่เรียกเขาว่าน้องชายหรือ ช่างกล้าดีนี่ คนคนนี้คงเป็นพวกสมองกล้าม ไม่รู้สินะว่าป้ายขุนนางมีความสำคัญแค่ไหน แต่ช่างเถอะ คนป่าคนเถื่อนก็เป็นแบบนี้กันหมด
เหอถิงคิดด้วยความหงุดหงิด แต่สีหน้ากลับประดับยิ้มเสแสร้ง
“บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านไปทางไหนหรือ”
ชายร่างหมีร้อง “อ๋อ” ก่อนจะบอกทาง “น้องชายเดินตรงไปจะเจอทางแยก เจ้าเลี้ยวทางซ้าย จากนั้นก็เลี้ยวขวาอีก บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านอยู่กลางๆ ของถนน ถ้าไม่แน่ใจก็ลองถามคนแถวนั้นดูอีกทีนะ”
“ขอบคุณพี่ชาย อ้อ นี่สวนของพวกท่านหรือ เป็นสวนที่สวยและจัดเป็นระเบียบไม่เหมือนบ้านอื่น ข้าไม่เคยเห็นสวนแบบนี้มาก่อน”
“จริงๆ แล้ว เป็นสวนของนา…”
“สยงจวิน อาหารไก่ได้หรือยัง”
เด็กชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม ตัดจังหวะการพูดคุยของเหอถิงกับชายร่างใหญ่พอดี เลยไม่ทันได้รู้ว่าสวนนี้เป็นของผู้ใด
พลันนั้น จู่ๆ นางเหอก็ร้องว่า “คุณพระ!”
ชายร่างหมีและเด็กชายหันมองหญิงกลางคนร่างท้วมด้วยความสงสัยพร้อมกัน
เหอถิงเองก็ไม่เข้าใจ ทำไมมารดาของเขาถึงร้องลั่นขึ้นมาอีก
“ท่านแม่ เป็นอะไรไปหรือ”
“เด็กคนนี้…หน้าตาคล้ายนางมาก” นางเหอพูดปากสั่น
“คล้ายใครหรือ”
“ก็คล้ายลู่ซินฟางยังไงเล่า นี่…เด็กน้อย เจ้าเป็นอะไรกับลู่ซินฟาง!”
พอมารดาถามเด็กชายคนนั้น เหอถิงถึงได้เพ่งตาพิจารณาอีกฝ่าย
เด็กชายคนนี้อายุน่าจะสิบขวบ หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจดและมีผิวที่ขาว มองดูดีๆ แล้วหน้าตาละหม้ายคล้ายลู่ซินฟางจริงๆ
ที่เหอถิงไม่ทันรู้ตัว เพราะเขาลืมหน้าของลู่ซินฟางไปแล้ว
จริงอยู่ที่เขาชอบใบหน้าสวยๆ ของลู่ซินฟาง แต่ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะพลาดทำนางตั้งท้อง ก็คงไม่พานางกลับบ้านเหอมาด้วยกัน
แม้จะพาลู่ซินฟางที่ตั้งท้องกลับมาที่บ้าน เหอถิงก็หมกตัวอยู่กับการอ่านหนังสือสอบ ไม่ได้สนใจนางกับลูก ทุกอย่างภายในบ้านยกให้มารดาเป็นคนจัดการ
ลู่ซินฟางขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเหอถิงก็จริง แต่เหอถิงกลับไม่ค่อยได้มองหน้าของนางกับลูกสักเท่าไร จะลืมใบหน้านั้นไปแล้วก็ไม่แปลก
แต่พอมารดาพูดขึ้นมา เหอถิงก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เหมือนลู่ซินฟางจริงๆ
บทที่ 108พลอยประดับ หลายวันมานี้ ภูตหลินกำลังสนุกกับการออกแบบเครื่องประดับ ปกติก็ชอบการวาดภาพระบายสีเล่นอยู่แล้ว พอได้ทำสิ่งที่ชอบและยังเป็นประโยชน์ จึงเพลิดเพลินจนเผลอวาดออกมาตั้งเยอะแยะ ลู่ซินฟางเป็นฝ่ายคัดแยก ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนวางขายได้ ชิ้นไหนวางขายไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว หลินออกแบบได้ดีทุกชิ้น “สวยๆ ทั้งนั้นเลย มีทั้งแบบเรียบง่าย และแบบอลังการงานสร้าง!” “ในมิติตอนนี้เริ่มก่อสร้างโรงเจียระไนพลอยแล้วขอรับ ส่วนนี่เป็นพลอยตัวอย่างที่ท่านหลินใช้เวทเจียระไนขึ้นมาเอง” หลางไป๋พูดพร้อมวางกล่องกำมะยี ด้านในมีพลอยเจียระไนหลายสี ลู่ซินฟางร้องอย่างประหลาดใจ “เร็วถึงเพียงนี้!” ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากเปิดกล่องดู สีหน้าของนางยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก พลอยทุกชิ้นเปล่งประกายสดใส ทั้งยังเจียระไนออกมาได้ดีไม่มีที่ติ หลางไป๋ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าเตือนท่านหลิน งานเจียระไนจะเป็นหน้าที่ของช่างฝีมือ แต่ดูเหมือนท่านหลินจะตื่นเต้น เลยทำพลอยพวกนี้ออกมาเยอะขอรับ” “ถึงจะสวยมาก แต่น่าเสียดาย พวกเราวางขา
บทที่ 107เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ยามบ่ายของวันนั้นเอง กงเยียนซูกับโจวหวังเยว่แวะมาดูสินค้าที่ร้านซินหลิน ทันทีที่มาถึง โจวหวังเยว่แยกกับกงเยียนซูไปเลือกดูสินค้าด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เวลานี้กงเยียนซูกับลูซินฟางจึงมีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง “พี่ห้าสนใจสินค้าของร้านซินหลิน ช่วงที่เขาอยู่เมืองเล่ออันต้องรบกวนเจ้าแล้ว” กงเยียนซูเอ่ยทักทายด้วยสีหน้าเก้อเขิน หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ให้กับชายหนุ่ม พลางตอบว่า “มีคนกระเป๋าหนักมาอุดหนุน ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว กลับกัน ร้านของเราต้องขอบคุณพวกท่านที่มาอุดหนุนบ่อยๆ เจ้าค่ะ” “ไม่ถึงขนาดหรอก สินค้าร้านซินหลินคุณภาพดีทุกอย่าง บริการก็ดีมาก ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วก็อยากกลับมาซื้อใหม่ อ้อ ชาสมุนไพรที่ซื้อไปคราวก่อนใกล้จะหมดแล้ว เจ้าพอจะแนะนำใบชาอย่างอื่นให้ข้าได้หรือไม่” “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ” พูดจบ ลู่ซินฟางเดินนำชายหนุ่มไปทางจุดที่วางขายใบชา หญิงสาวแนะนำใบชาแต่ละชนิดให้กับกงเยียนซู ชาดอกไม้ ชาสมุนไพร และชาหายากใหม่ๆ ระหว่างแนะนำสินค้าให้กับกงเยียนซู จู่ๆ ในหัวของลู่
บทที่ 106เรื่องน่ายินดี (ครึ่งหลัง) สามวันถัดมา ผู้นำเผ่ากระต่ายเดินทางมาพบกับภูตจิ๋ว ขอเจรจาและทำข้อตกลง เงื่อนไขของพวกเขาคือ ขอสร้างหมู่บ้านกระต่ายในอาณาเขตของภูต แลกกับอาหารและความปลอดภัย อย่างไรก็ดี ตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หากเผ่ากระต่ายจะมาช่วยงานในฟาร์ม ทางนี้ก็จะจ่ายค่าตอบแทน รวมไปถึงให้การศึกษา อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวัน อาหาร ที่อยู่อาศัยและความปลอดภัยอันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่พวกเขาจะได้รับอยู่แล้ว นอกจากนั้น จากการสำรวจป่ารกร้างทางเหนือ หลางไป๋ยังได้เผ่ากวางป่ามาเป็นพันธมิตร หนำซ้ำ ทางทิศตะวันออกของฟาร์มยังพบเหมืองพลอย นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ทั้งนั้น เผ่าจิ้งจอกและเผ่าหมูป่ายังไม่ให้คำตอบที่แน่ชัด พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ที่เดิม แต่ให้สัญญาว่าจะไม่ลุกล้ำเข้ามาในฟาร์ม ทั้งยังรับปากว่าจะไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้กับสัตว์จำแลงและฟาร์มอย่างเด็ดขาด ในด้านของลู่ซินฟาง หลังจากเคลียร์งานต่างๆ เรียบร้อย นางก็ข้ามมาที่มิติเพื่อพบกับเผ่ากระต่ายและเผ่ากวางป่า
บทที่ 105เรื่องน่ายินดี (ครึ่งแรก) สรุปให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อมิติขยายตัวออกไป เวทมนตร์ของภูตที่ดูแลมิติก็เพิ่มขึ้นด้วย พลังเวทนั้นจะสร้างทรัพยากรมากมายให้กับมิติ และเพิ่มวิวัฒนาการเหล่าสัตว์อสูรให้มีสติปัญญาจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา ก่อนที่ลู่ซินฟางจะครอบครองมิติ พื้นที่แถบนี้ยังเป็นแค่ดินแดนที่แทบไม่มีอะไรเลย แต่หลังจากที่ลู่ซินฟางขยายฟาร์มทีละเล็กทีละน้อย สัตว์ในมิติก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ มีสติปัญญาและสื่อสารกันรู้เรื่อง ท้ายที่สุดก็มาอาศัยร่วมกันเหมือนอย่างทุกวันนี้ หลังจากหนุ่มสาวเผ่ากระต่ายได้ฟังคำบอกเล่าก็เข้าใจทันที วิวัฒนาการของพวกตนเกิดจากภูตจิ๋วตรงหน้านี้เอง “แล้วพวกเจ้ามีจำนวนเท่าไรหรือ” หลินถาม “ถ้าเฉพาะเผ่ากระต่าย รวมเด็กๆ ในเผ่าด้วยก็ประมาณ 14-15 ตน” “อืม” “แสดงว่ายังมีเผ่าอื่นๆ อีก ป่าแถบนั้นมีเผ่าอะไรบ้างหรือ” “ละแวกที่เผ่ากระต่ายอาศัย ก็มีเผ่าหมูป่า เผ่ากวางป่า ไกลออกไปอีกได้ยินว่ายังมีเผ่าเสือและเผ่าจิ้งจอก แต่มีจำนวนเท่าไร พวกเราไม่รู้หรอก” “เข้าใ
บทที่ 104เผ่ากระต่าย (ครึ่งหลัง) เวลาเดียวกันนั้น ในมิติต่างโลก ภูตตัวน้อยบินวนไปวนมาพร้อมกับพิจารณากลุ่มมนุษย์ที่มีหูกระต่ายสีเทาอันนุ่มนิ่มและนุ่มฟู “พวกเจ้าเป็นเผ่ากระต่ายจริงๆ สินะ” หลินถามเหล่ามนุษย์หูกระต่าย “แค่ดูหูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” คำพูดขัดแย้งนี้เป็นของซินหลิน “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เรื่องนั้นข้าดูแวบเดียวก็รู้อยู่แล้วน่า ก็แค่อยากถามให้แน่ใจเท่านั้นเอง” หลินหันมาทำท่าโวยวายใส่ซินหลิน ซินหลินไม่ได้มีสีหน้าสำนึกผิดแม้แต่น้อย เด็กชายทำหน้านิ่ง กรอกตามองบนทีหนึ่ง ก่อนจะถามหลินว่า “ว่าแต่ จะเอายังไงกับพวกเขาดีล่ะ” “อืม นั่นสิน๊า” หลินทำท่าครุ่นคิด หากกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ซินหลินกับสยงอู๋มาที่โกดังต่างมิติ เพื่อตรวจนับผักผลไม้ ก่อนจะเอาออกไปเติมที่ร้านข้างนอกเหมือนอย่างทุกๆ วัน แต่เช้าวันนี้ พอเปิดโกดังปุบก็พบผู้บุกรุกปับ ผู้บุกรุกมีทั้งหมดเจ็ดตน ทุกตนเป็นเผ่ากระต่าย และกำลังแอบกินผักผลไม้ที่อย
บทที่ 103เผ่ากระต่าย (ครึ่งแรก) ตอนขากลับ โจวหวังเยว่หอบหิ้วสินค้าขึ้นรถม้าเต็มสองมือ ส่วนกงเยียนซูซื้อใบชากลับไปเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลาที่อยู่กับลู่ซินฟาง สายตาของกงเยียนซูแสดงออกถึงความรักใคร่อย่างไม่คิดจะปิดบัง ทำเอาคนที่เห็นถึงกับเอียนความหวานกันเป็นแถว รถม้าเคลื่อนตัวออกไปไกลแล้ว แต่ลู่ซินฟางยังยืนอยู่ที่เดิม ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วสินะ… หญิงสาวคิดอย่างสับสน ไม่ใช่ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ จริงอยู่ที่ลู่ซินฟางในอดีตสูญเสียครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในขณะเดียวกัน ตั้งแต่ได้รับมิติมา ลู่ซินฟางมักจะจัดเลี้ยง งานเทศกาล และงานสังสรรค์อื่นๆ กับภูตหลินและเหล่าสัตว์อสูร ปีนี้กงเยียนซูชวนเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน นางที่ไม่เคยปฏิสัมพันธ์หรือเที่ยวเล่นกับคนอื่นมาก่อน อดรู้สึกสับสนไม่ได้จริงๆ “เสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันให้นานอีกหน่อยหรือขอรับ” หลางไป๋เห็นลู่ซินฟางเอาแต่ยืนเหม่อตั้งแต่รถม้าของกงเยียนซูเคลื่อนออกจากหน้าร้าน เห็นแล้วก็อดจะพูดกระเซ้าเย้าแ