Masukภายในจวนตระกูลจ้าว ที่ครั้งหนึ่งควรจะสง่างาม บัดนี้กลับเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นโสมมแห่งความต่ำช้า ยามที่ จ้าวหย่งหยู ครองอำนาจแทนบิดาผู้ล่วงลับ ความวิปริตที่หมักหมมในใจของมันก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไร้เกรงกลัว
สาวใช้ไม่ว่าหน้าใหม่หรือหน้าเก่า ล้วนถูกลากเข้าห้องอย่างไม่ปรานี บางคนถึงกับมีสามีแล้วก็ยังไม่อาจรอดพ้น เสียงร่ำไห้โหยหวนดังสะท้อนอยู่ทั่วเรือนราวกับคำสาป ในขณะที่ข้ารับใช้ผู้ภักดีต่างพากันหนีหายไปหมด เหลือไว้เพียงพวกกากเดนที่ยอมขายลูกเมียเพื่อแลกกับความโปรดปรานของนายพิการผู้ชั่วร้าย
กลางห้องโถง ร่างบิดเบี้ยวของมันโยกตัวไปมาอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ ใบหน้าฉายแววอัปลักษณ์ปนกำหนัด เสียงหัวเราะหอบหืดสลับกับการไอสะท้อนก้องน่าสะอิดสะเอียน“แค่กก… แค่กกก… ฮึ่กก… ฮ่าฮ่า! ต่ะ-ต่อให้ข้า… เสะ-เสพนางพวกนี้… สักกี่คน… กะ-กะ…ก็ยังไม่พออออ! อ่อกก… แค่กก! ถะ-ถ้า…ยัง… มะ-มะ…ไม่ได้ค-ค…ครอบครอง… หลานเยว่!”
น้ำลายปนเลือดไหลยืดออกจากมุมปาก มันหอบกระชั้นพลางหัวเราะบ้าคลั่ง ความโกรธเกลียดและความใคร่หลอมรวมจนกลายเป็นภาพอัปลักษณ์ยิ่งนัก ความพิการทางกายมิได้ทำให้จิตใจมันสงบลงเลย หากกลับยิ่งตอกย้ำความวิปริตที่กัดกินทุกเศษเสี้ยวของชีวิต
แล้วลูกน้องก็ลากหญิงสาวผู้โชคร้ายอีกคนเข้ามาถวายต่อหน้ามัน ดวงตาของ จ้าวหย่งหยู เบิกโพลงเป็นมันทันที มือบิดเบี้ยวที่สั่นเทาค่อย ๆ ยื่นออกไป เสียงพร่าขาดเป็นห้วง ๆ ดังลั่นห้อง“ฮ่ะ…ฮ่าฮ่าฮ่าาา! แค่กก… พะ-พวกเจ้า…ชะ-ช่างรู้ใจข้า…นักกกก! ถะ-ถ้า…นาง…พะ-พาข้าขึ้นสวรรค์ได้… จะ-จะได้รางวัล…งะ-งามมม!”
หญิงสาวก้มหน้าหลบเลี่ยง น้ำตาคลอเบ้า ความเจ็บปวดและความอับอายฉายชัดอยู่บนใบหน้า แม้ไม่เปล่งเสียงใด แต่ภายในใจกลับร่ำไห้จนแทบสิ้นใจ “เพื่อปกป้องลูก…ข้าต้องยอม หากไม่มอบเรือนร่างให้มัน บุตรสาวของข้าอาจต้องกลายเป็นเหยื่อแทน”
หัวใจของนางถูกฉีกขาดเป็นริ้ว ๆ ความศรัทธาที่เคยมีต่อสามีที่ควรปกป้อง กลับพังทลายลงจนไม่เหลือ นางตระหนักแล้วว่า ผู้ชายที่นางฝากชีวิตหาใช่บุรุษ หากแต่เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานในคราบมนุษย์ และในส่วนลึกที่สุดของใจ นางสาบานต่อฟ้าดินว่าหากมีโอกาส นางและลูกจะหนีไปให้ไกลที่สุด เท่าที่เท้าทั้งสองจะพาพวกนางไปได้
ยามค่ำคืน ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ดวงจันทร์หลบเร้นอยู่หลังเมฆดำ เงียบงันจนคล้ายกับว่าฟ้าดินไม่ต้องการรับรู้เรื่องเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ภายใน จวนตระกูลจ้าว กลับคึกคักประหนึ่งมีงานเทศกาล เสียงหัวเราะต่ำอันวิปริตดังสะท้อนออกมาจากห้องโถงใหญ่
บนเก้าอี้ไม้แกะสลักเก่า ๆ จ้าวหย่งหยู นั่งหลังค่อม ร่างพิการโยกสั่นไปมา ดวงตาขุ่นมัวเต็มไปด้วยความกำหนัดและความชั่วร้าย น้ำลายเหนียวไหลซึมจากมุมปาก ขณะที่มันหัวเราะหอบหืดเสียงแตกพร่า“แค่กก… แค่กกก! ฮ่าฮ่าา… พะ-พวกนาง…นังชั้นต่ำที่เล่นสนุกกับข้า… คะ-คิดจะหนีงั้นรึ! ฮ่าฮ่าฮ่า! ฟะ-ฟังให้ดี… ใครก็ตามที่กล้า…ดะ-ดับลมหายใจของพวกแพศยานี้ได้… ข้าจะมีรางวัลให้! และถ้า…เป็นนางสตรีคนรักของพวกเจ้าเอง…ข้าจะมอบเงินทองให้หลายเท่า! ข้าจะหาผู้หญิงใหม่…สวยกว่า…สาวกว่า…มาแทนที่พวกมันให้!”
คำพูดอันชั่วร้ายนี้ตกลงสู่โสตประสาทของบ่าวรับใช้กากเดนเหล่านั้น ดวงตาของพวกมันเปล่งประกายโลภะในทันที ราวกับปีศาจที่ได้ยินเสียงสวรรค์ พวกมันไม่ลังเลแม้เพียงเสี้ยวลมหายใจ ใครถือธนู ก็ง้างสายเล็งไปยังภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมานับสิบปี ใครถือดาบ ก็ฟาดฟันลงไปโดยไม่เหลือความอาทร
เสียงธนูดีดดัง ปึ้ก! ร่างหญิงสาวทรุดฮวบลงกับพื้น ดวงตาเบิกกว้างตกตะลึง ไม่อยากเชื่อว่าคนที่ลงมือคือสามีของตนเอง เสียงร้องโหยหวนของสตรีนับสิบดังสะท้อนก้องไปทั่วราตรี ทว่าไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ พวกนางถูกหักหลังโดยบุรุษที่ครั้งหนึ่งเคยสาบานว่าจะปกป้องจนวันตาย
โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะพื้นหิน กลิ่นคาวโชยคละคลุ้งผสมกับเสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเจ้าง่อย“ฮ่าฮ่าฮ่า! ดี…ดะ-ดีนัก! ฮ่าาา! เจ้าพวกไร้หัวใจ…ก็ยังซื่อสัตย์ต่อข้าอยู่ดี แค่กก… ฮ่าฮ่าา!”
ท่ามกลางห้องโถงอันมืดสลัว แววตาของหญิงสาวที่กำลังสิ้นใจล้วนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่เพียงเพราะบาดแผลจากคมดาบหรือธนู หากแต่เพราะหัวใจของพวกนางถูกฉีกขาดด้วยน้ำมือของคนที่นางรักและฝากชีวิตไว้ภาพที่โหดร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
“แค่กก… แค่กกก! ฮ่าฮ่าฮ่า… สะ-สถานการณ์เช่นนี้… มะ-มันช่างทำให้หัวใจของข้า… อิ่มเอิบยิ่งนักกก! ทะ-ท่านพ่อ…น่าจะตายไป…ก่อนหน้านี้ไว ๆ เสียด้วยซ้ำ… แค่กก!”
เพียงไม่กี่วันก่อน มันยังร่ำไห้คร่ำครวญต่อการจากไปของผู้เป็นบิดา หวาดหวั่นราวกับเด็กพิการที่ถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง หากปราศจากเงาอำนาจของบิดา ใครเล่าจะคุ้มกะลาหัวของมัน? แต่เมื่อเวลาล่วงผ่านไปไม่กี่อึดใจ มันก็ค้นพบความจริงอีกด้านตราบใดที่ยังมี ทรัพยากร และอำนาจที่สามารถซื้อขายได้อยู่ในมือ ต่อให้ความชั่วร้ายของมันเลวทรามเพียงใด ก็สามารถตบหัวปิดปากผู้คนได้อย่างง่ายดาย
บรรยากาศรอบกายเต็มไปด้วยความเน่าเฟะจากอำนาจที่ถูกบิดเบือน ขุนนางน้อยใหญ่ที่เคยเคารพบิดาของมัน บัดนี้กลับยอมโค้งคำนับมันอย่างไร้ศักดิ์ศรี เพียงเพราะถุงทองที่ถูกโยนให้เป็นสินบน
จ้าวหย่งหยู หัวเราะหอบหืดอีกครั้ง ดวงตาขุ่นมัวเปล่งแสงบ้าคลั่ง ความเศร้าเมื่อวันวานถูกกลบหาย เหลือไว้เพียงความกระหายที่จะใช้ความมั่งคั่งซื้อความเสื่อมทรามให้ตนเองดำรงอยู่ต่อไป“แค่กก… ฮ่าฮ่าา! ตราบใดที่ข้า…ยังมีทอง… ไม่มีใครกล้าแตะต้องข้าาา!”
ต่อให้ความอัปลักษณ์และความชั่วร้ายทั้งหมดถูกปิดบังอยู่หลังประตูจวนตระกูลจ้าว แต่ข่าวลือก็เหมือนควันไฟ ไม่มีทางที่จะเก็บซ่อนให้มิดชิดได้ ผู้คนล้วนพูดกันปากต่อปากถึงการกระทำที่ต่ำช้าและโสมมของ จ้าวหย่งหยู ไม่เว้นแม้แต่เสียงร่ำไห้ของหญิงสาวผู้ถูกพรากศักดิ์ศรีก็ยังดังสะท้อนออกมาจนกลายเป็นเงื่อนงำในหมู่ชาวเมือง
แต่แล้ว… เมื่อเรื่องราวไปถึงหูของเหล่าขุนนางฝ่ายยุติธรรม สิ่งที่ผู้คนหวังว่าจะได้เห็นกลับไม่มีวันเกิดขึ้นพวกเขาเลือกที่จะนิ่งเฉย ก้มหน้าเสมือนหูหนวกตาบอด ไม่ต่างจากหุ่นเชิดไร้วิญญาณ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยถ้อยคำ ไม่มีกฎหมายใดถูกหยิบมาใช้ต่อผู้ทรงอำนาจและทรัพย์สิน
ผู้คนในเมืองต่างได้แต่ถอนหายใจยาว ยอมรับความจริงอย่างขมขื่น“แค่ชีวิตเราเองยังเลี้ยงไม่รอด จะเอาแรงที่ไหนไปทวงความยุติธรรมให้คนอื่น…”นี่คือเสียงสะท้อนของความสิ้นหวังที่ก้องอยู่ในใจของราษฎร เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเอง ยังยอมปิดตาเมินเฉยต่อความเลวร้ายเพียงเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับอำนาจเงินทองของตระกูลจ้าว
และด้วยเหตุนี้เอง ความต่ำช้าของเจ้าง่อยพิการผู้หนึ่งจึงยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งได้ จนจวนตระกูลจ้าวในสายตาของผู้คน…ไม่ต่างจาก ขุมนรกที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเมืองหลวง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







