LOGINแม้เวลาจะผ่านไปถึงห้าปีเต็ม…แต่ระยะเวลาหาได้หล่อเลี้ยงแม้เศษเสี้ยวของความอบอุ่นใดให้คงอยู่ระหว่างบุรุษกับสตรีผู้เคยร่วมเตียงเดียวกันมีเพียงไอเย็นของความชิงชังที่แผ่ซ่าน จนบรรยากาศรอบจวนคล้ายต้องมนต์ ซ่งเจี้ยนหง ยืนหน้าประตูด้วยดวงตาแดงฉาน โทสะปะทุรุนแรงเสียงตะโกนดังราวสัตว์ร้ายขาดสติ
“ข้าไม่คิดเลย...ว่าเจ้าจะกล้าเก็บชีวิตเด็กนั่นไว้! ฆ่ามันซะ! ก่อนที่มันจะขวางเส้นทางความรุ่งเรืองของข้า!”
ถ้อยคำนี้ไม่ใช่แค่คำสั่ง...แต่มันคือ คำพิพากษา ที่กล่าวออกจากปากของผู้เป็นพ่ออย่างเลือดเย็น หลานเยว่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้านิ่งราวแผ่นศิลาดวงตาของนางไม่มีแม้เงาไหวจากคำพูดนั้นหากแต่แววสมเพช...กลับปรากฏขึ้นในดวงตาคู่งามอย่างเด่นชัด
นางจ้องเขาเหมือนมองกองขยะริมทาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนเย็นแต่ทุกถ้อยคำกลับคมกริบยิ่งกว่าคันศร
“เจ้ากล้าพูดถึงการฆ่าสายเลือดของตัวเอง...โดยไม่กระพริบตา”“ต่ำทรามถึงเพียงนี้ ใต้หล้าย่อมมิอาจหาผู้ใดทัดเทียมเจ้าได้อีกแล้ว”
นางก้าวเข้าใกล้ เข้ามาในระยะที่เพียงเสียงลมหายใจยังสัมผัสได้น้ำเสียงยังคงแผ่วเบาแต่แต่ละคำที่กล่าวกลับแทรกซึมลงถึงกระดูก
“สมกับที่เจ้าเคยเป็นเพียงขี้ข้าของบิดาข้า...นายกับบ่าว สันดานไม่ต่างกันสักนิด”
ซ่งเจี้ยนหงตัวสั่นด้วยโทสะ ใบหน้าแดงก่ำกรามแน่นจนเส้นเลือดปูด มือสองข้างกำจนเล็บจิกลงเนื้อ
“ห้าปีไม่พบ...เจ้ากลับปากกล้าถึงเพียงนี้?” เขากระแทกเสียง พลางหัวเราะเย้ยอย่างเหยียดหยาม
“เจ้าก็แค่หญิงต่ำศักดิ์ แม้ใบหน้ายังพอชมได้...แต่เนื้อแท้ก็ยังไร้ค่าเหมือนเดิม!”
“ข้าเข้าใจดี...เจ้าเก็บเด็กนั่นไว้เพราะอยากล่ามข้าไว้กับเจ้า”“แต่ฟังให้ดีหากเจ้าฆ่าเด็กนั่นเสียเดี๋ยวนี้ ข้าจะหาขุนนางแก่ ๆ มาเป็นสามีให้เจ้า ให้เจ้ามีลูกใหม่ มีชื่อในวงตระกูล!”
ไม่ทันที่ถ้อยคำอันต่ำช้าเหล่านั้นจะพ้นปากจนหมด...
ตึง!เสียงกระแทกดังสนั่นฝ่าความเงียบ
ฝ่าเท้าของหลานเยว่ระเบิดพลังอย่างไร้ปรานี พุ่งซัดเข้าสู่กลางอกของเขาเต็มแรง! ซ่งเจี้ยนหงกระเด็นปลิวไปชนขอบรถม้า เสียงไม้หักและกระดูกแตกร้าวดังก้องร่างของเขาร่วงลงพร้อมเลือดสดที่ทะลักออกจากปาก...ก่อนจะแน่นิ่งไม่ไหวติง
เพี๊ยะ!เสียงแส้ฟาดใส่ม้าดังลั่น รถม้าที่ไร้คนควบพุ่งทะยานกลับไปยังทิศทางเดิม ราวกับถูกขับไสหลานเยว่ปรายตามองร่างแน่นิ่งอย่างไร้แววเวทนา ก่อนกล่าวเพียงคำเดียว...
“ส่งแขก”
เสียงฝีเท้าร้อนรนของเหล่าผู้ติดตามดังก้อง พวกเขารีบวิ่งตามขบวนรถม้าไปอย่างตื่นตระหนกไม่มีใครแม้แต่จะกล้าเหลือบมองทหารยามหน้าจวนและเมื่อเสียงล้อรถม้าลับหายไปตามแนวพุ่มไม้...ความเงียบสงบจึงหวนคืน...อย่างสมบูรณ์
ใครเลยจะคิด...ว่าเพียงหนึ่งฝ่าเท้าของสตรีผู้เคยถูกเหยียบย่ำในอดีตจะสามารถส่งรองแม่ทัพผู้ทรงเกียรติ...เข้าสู่นิทราได้ในพริบตา การที่หลานเยเว่ยเลือกปล่อยให้ซ่งเจี้ยนหงกลับไปทั้งที่ยังมีลมหายใจหาใช่เพราะนางมีใจเมตตา...แต่เป็นเพราะนาง ยังมิได้ตัดสินใจ ว่าชะตาของเขา...สมควรจบลงเช่นไร
ภายในความเงียบสงบของจวน ภายใต้ท่าทีสงบนิ่งเบื้องหน้าถ้วยชาอุ่นคือสติอันเฉียบคมที่กำลังขีดเขียน โทษทัณฑ์ความคิดของนางโลดแล่น วาดแผนลงโทษนับร้อยพันแต่ละวิธีล้วนร้ายลึก เฉียบขาด และเหมาะเจาะกับบาปที่เขาเคยฝากไว้ในชีวิตของนางการตาย...ช่างง่ายดายนัก ในใต้หล้า ซ่งเจี้ยนหง...คือคนที่ทำให้นาง ยอมใช้สติปัญญา อย่างจริงจังอีกครั้งว่าสมควรที่จะจัดการเขาอย่างไรดีถึงจะเจ็บแสบที่สุดให้สมกับสิ่งที่เคยทำกับนาง
สามวันต่อมา...
ซ่งเจี้ยนหงแน่นิ่งบนเตียงไม้หอมในเรือนหลังใหญ่รอบกายมีบ่าวไพร่เฝ้าอย่างสงบ ไม่มีผู้ใดกล้ากระซิบคำใดจนกระทั่ง...เปลือกตาเขาค่อย ๆ ขยับ ดวงตาขุ่นมัวสั่นไหวเขากวาดตามองรอบห้อง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกับข้า...”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกเส้นเอ็นยังสั่นระริกจากแรงกระแทกที่ได้รับความทรงจำสุดท้ายของเขา คือเสียงเย็นเยียบของหญิงผู้หนึ่ง...แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ
บ่าวรับใช้ที่ยืนข้างเตียงต่างหลบตา ไม่กล้าสบหน้าเพราะพวกเขารู้...รู้ดีว่า ฝ่าเท้าเพียงหนึ่งจากสตรีร่างบางสามารถเหวี่ยงร่างของรองแม่ทัพให้กระเด็น กระแทก และสลบไสลไปถึงสามวันสามคืน
แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นแม้แต่เสียงลมหายใจที่ผิดจังหวะ ก็อาจกลายเป็นเชื้อเพลิงให้อารมณ์เดือดดาลของเขาปะทุขึ้นได้ในความเงียบงันนั้น...สิ่งที่ตอกย้ำเขายิ่งกว่าอาการบาดเจ็บคือความอัปยศ
“ความอับอายในครั้งนี้...ข้าจะไม่มีวันลืม!”เสียงแหบพร่าของซ่งเจี้ยนหงลอดผ่านไรฟัน เต็มไปด้วยโทสะแม้ใบหน้าซูบซีด แต่ดวงตากลับแดงฉานไปด้วยความแค้น
เขา...รองแม่ทัพแห่งกองทัพกลางหนึ่งในเสาหลักของราชสำนักกลับถูกหญิงไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเตะปลิวราวลูกไม้
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป...ต่อให้ยังหายใจอยู่ ก็ไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็นแต่ยิ่งคิด...เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ“นางเป็นเพียงหญิงไร้ค่า...เคยอยู่ในมือข้าอย่างต่ำต้อย” เขาพึมพำกับตนเอง ดวงตากรุ่นโทสะ“แล้วนางกลายเป็นใคร? เหตุใดถึงมีจวนหลังใหญ่ ทหารยามแน่นหนาราวขุนนาง?”
คำถามผุดพรายในหัวแต่สิ่งเดียวที่เขาไม่ยอมทำ...คือ ยอมรับ ว่าเขาประเมินนางผิดพลาดทิฐิยังคงบดบังสายตาต่อให้หลานเยว่ยืนอยู่เหนือเขาเพียงใดในสายตาของซ่งเจี้ยนหง...นางยังคงเป็นแค่นางบำเรอในอดีตและในห้วงคำสาบานเงียบของชายผู้พ่ายแพ้มีเพียงความคิดเดียว...ที่ดังก้อง
“เมื่อข้าหายดี...วันนั้นจะเป็นวันที่ข้า เอาคืนนางอย่างสาสม!”
หากแต่เขาหารู้ไม่ว่า...วันที่เขาหวังจะเอาคืนอาจกลายเป็นวันที่เขาต้อง ชดใช้ด้วย ทุกสิ่ง ที่เขามี
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







