เข้าสู่ระบบหมู่บ้านที่นางและลูกอาศัยอยู่ในยามนี้... มีชื่อว่า ม่อหวน หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่างไกลจากเมืองหลวงนักแต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึง ไม่มีใครอยากย่างกรายเข้าไปแม้จะใกล้เมือง แต่เส้นทางกลับกันดารยิ่งนักดินทางนั้นขรุขระ โค้งชัน และแฝงด้วยความเงียบงันผู้คนจึงมักมองหมู่บ้านนี้เป็นเพียง ทางผ่าน...ไม่มีใครหยุด ไม่มีใครอยากอยู่
ม่อหวน หมู่บ้านที่แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ยังเดินทางมาถึงอย่างอ่อนแรงและก็เพราะความทุรกันดารเช่นนี้เอง...หมู่บ้านจึงกลายเป็นที่ซ่อนที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้ที่ ไม่มีที่ให้หวนคืน
สตรีเจ้าของร่างเดิม ดำรงชีวิตอยู่ภายในหมู่บ้านม่อหวนด้วยวิถีอันเรียบง่ายนางปลูกผัก เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะ และรับจ้างหยิบจับงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเพื่อนบ้านใกล้เคียงเพื่อแลกข้าวของยังชีพแม้หมู่บ้านแห่งนี้จะห่างไกลความเจริญแต่ผู้คนกลับเปี่ยมด้วยน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามกำลัง
หลานจิ่วอวิ๋นทันทีที่รู้ว่าแม่ของตนหายป่วย เด็กน้อยก็เบาใจรอยยิ้มกลับคืนมาอีกครั้ง เขาวิ่งเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมีชีวิตชีวา ในส่วนของอดีต...สตรีเจ้าของร่างเดิมไม่เคยเอ่ยปากบอกลูกชายว่าตนเป็นใคร หรือบิดาของเขาเป็นคนเช่นไรไม่ใช่เพราะปิดบัง... แต่เพราะไม่อยากให้เขาแบกรับความเจ็บปวดที่ไม่ควรเป็นของเด็ก
“พวกเขานั้นตายไปหมดแล้ว” นั่นคือคำตอบสั้น ๆ ที่นางพูดให้บุตรชายฟัง
“ฮ่า ฮ่า… คิก คิก…” เสียงหัวเราะของผู้คนลอยมาแผ่วเบาในยามเย็นหลานเยว่จ้องมองภาพของหนุ่มสาวที่หยอกเย้ากันอย่างอ่อนโยนและพ่อแม่ที่ยิ้มให้กับลูกน้อยราวกับทั้งโลกมีเพียงพวกเขานางไม่เข้าใจ...แต่ก็เฝ้ามอง พยายามเรียนรู้พยายามจะจดจำ และซึมซับสิ่งที่เรียกว่า ความรัก
ใบหน้าเย็นชาของนางพยายามเลียนแบบภาพตรงหน้าค่อย ๆ ขยับมุมปากราวกับกำลังเรียนรู้การ ยิ้ม เป็นครั้งแรกในชีวิต
มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น และอ่อนโยน...หรืออย่างน้อยก็ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นทว่า… น่าแปลกนักในขณะที่กล้ามเนื้อบนใบหน้ายกขึ้นภายในอกของนางกลับว่างเปล่าอย่างน่ากลัว
บางทีหัวใจของนาง อาจด้านชาจนไม่เหลือความอบอุ่นดั่งคนที่ตายไปแล้ว แต่ยังต้องฝืนยืนอยู่ในโลกใบนี้แต่นั่นก็เพียงพอแล้วเพียงพอที่จะสวมบทบาทของ แม่ ที่อบอุ่นถึงแม้จะเป็นแค่ละคร...ถึงแม้จะเป็นเพียงการแสดงที่ไม่มีไออุ่นใด ๆ ก็ตาม
นางยอม... ยอมแสดงบทนี้เพื่อไม่ให้ลูกชายตัวน้อยของนางต้องรู้สึกว่าชีวิตของเขา... ขาดแคลนความรักเหมือนเช่นนางเคยเป็น
“ลูกแม่ มากินข้าวได้แล้ว!” เสียงร้องเรียกอย่างอ่อนโยนดังมาจากสตรีคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าบ้านไม้เก่าหลานเยว่หันไปมอง เด็กชายที่เพิ่งถูกเรียกก็คือเพื่อนเล่นของหลานจิ่วอวิ๋นเขาหยุดเล่นและรีบวิ่งกลับบ้านด้วยรอยยิ้มทันใดนั้น... หลานจิ่วอวิ๋นก็หันกลับมามองมารดาของตนดวงตากลมใสคู่นั้นกำลังเฝ้ารอ... รอคอยคำพูดเดียวกันจากเธอ
หลานเยว่หยุดนิ่งเล็กน้อย ก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างที่เธอแอบฝึกเมื่อครู่รอยยิ้มบางเบาแผ่กระจายบนใบหน้าที่มักเยือกเย็นคราวนี้เธอส่งมันให้กับลูกชายของตนเองด้วยความอ่อนโยน
“หลานจิ่วอวิ๋น… ลูกแม่ เย็นนี้แม่ทำข้าวต้มให้เจ้า”
น้ำเสียงของนาง... อ่อนโยน อบอุ่นราวกับกลั่นกรองจากหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักทั้งที่ความจริงภายในใจของหลานเยว่นั้น ช่างว่างเปล่าและชาเย็นนางเพียงแค่ ลอกเลียน โทนเสียงของหญิงเมื่อครู่แต่กลับสามารถแสดงออกได้อย่างสมบูรณ์แบบราวกับเป็นแม่ที่แท้จริง
เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า...การกระทำเล็ก ๆ เช่นนี้ สำคัญเพียงใดต่อหัวใจของเด็กคนหนึ่งทว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้ใบหน้าของหลานจิ่วอวิ๋นเปล่งประกายขึ้นในพริบตาดวงตากลมนั้นยิ้มก่อนริมฝีปากจะยิ้มตาม
“ท่านแม่!” เขาเรียกเสียงใสอย่างร่าเริงก่อนจะวิ่งตรงเข้ามาหาผู้เป็นมารดา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข…
ภายในบ้านไม้หลังเก่าท่ามกลางแสงไฟสลัวเสียงเล็ก ๆ ของหลานจิ่วอวิ๋นดังขึ้นอย่างร่าเริงเด็กชายเล่าถึงเรื่องราวการเล่นสนุกกับเพื่อน ๆ ตลอดทั้งวันใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ราวกับโลกทั้งใบคือสนามเด็กเล่นหลานเยว่นั่งฟังเงียบ ๆในมือของนางถือชามข้าวต้มที่ยังอุ่นสายตาเย็นชาที่เคยไร้แวว… กลับทอดมองบุตรชายอย่างนิ่งงัน
หัวใจของนาง…เต้นสะดุดขึ้นเพียงเล็กน้อยจังหวะหนึ่งที่ผิดปกติแต่ชัดเจนพอจะทำให้นางต้องรับรู้มันคือความรู้สึกบางอย่างเจือจางแต่แผ่วเบาอย่างอ่อนโยนนางไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไรไม่รู้ว่ามันคือ ความสุข หรือ ความผูกพันแต่นางเคยสัมผัสบางส่วนของมัน... นานมาแล้วก่อนที่ชีวิตจะกลายเป็นเงาก่อนที่หัวใจจะด้านชา
“ลูกแม่... เจ้าอย่าเที่ยวเล่นมากนักเลยหากเจ้าล้มป่วย ไม่สบายขึ้นมา แม่จะทำเช่นไร…” เสียงของหลานเยว่ นุ่มนวล อ่อนโยนประโยคที่ดูห่วงใยและลึกซึ้งเช่นนี้…ไม่ใช่สิ่งที่เธอคิดขึ้นเองเธอแอบได้ยินเพื่อนบ้านพูดกับลูกชายของเขาเมื่อตอนสายและเพียงไม่นาน เธอก็จดจำไว้นำมาพูดกับบุตรชายของตนในค่ำนี้...ราวกับเป็นของเธอเอง
แต่เด็กชายไม่ได้รู้ถึงที่มาเหล่านั้นสิ่งที่เขาได้ยินคือ แม่ผู้ห่วงใยเขาจากใจจริง
“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง!”
หลานจิ่วอวิ๋นตอบกลับอย่างแข็งขัน “ถ้าข้าเติบใหญ่ ข้าจะไม่ยอมให้ท่านแม่ลำบากอีกเป็นอันขาด!”
น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความตั้งใจทำให้หัวใจของหลานเยว่สั่นไหวแม้ไม่อาจเข้าใจทุกอารมณ์แต่นางสัมผัสได้ถึง บางสิ่ง ที่เรียกว่าความผูกพันนางยิ้ม... แม้เป็นเพียงรอยยิ้มที่ฝืนเล็กน้อยมือข้างหนึ่งเอื้อมไปลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ
“แม่จะรอวันนั้น...แม่จะเฝ้ามองความสำเร็จของเจ้า” คำพูดเหล่านั้น... สำหรับเด็กชาย มันคือคำมั่นสัญญาแต่สำหรับหลานเยว่ มันคือบทเรียนอีกบทว่าความรัก... อาจไม่จำเป็นต้องรู้สึกได้ทันทีขอเพียงตั้งใจมอบให้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันมีอยู่จริง
ท้องฟ้ากลางดึกพร่างพราวไปด้วยแสงดาวแสงจันทร์นวลผ่องทอดผ่านช่องหน้าต่างไม้ฉลุ เข้ามาสัมผัสพื้นกระดานเก่าภายในบ้านเงียบงันภายในอ้อมอกของหลานเยว่ เด็กชายตัวน้อยนามว่า หลานจิ่วอวิ๋น กำลังหลับใหลอย่างสงบ
เสียงลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ราบเรียบ…ราวกับโลกทั้งใบปลอดภัยเพียงเพราะอยู่ในอ้อมแขนของมารดาแต่ในขณะที่ลูกชายฝันหวานผู้เป็นแม่กลับลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่ง ทว่าแฝงความตื่นรู้เธอค่อย ๆ ขยับกายอย่างเบาที่สุด เท้าของเธอสัมผัสพื้นไม้ไร้แม้เสียงก่อนจะผละออกจากร่างเล็กของลูกชายอย่างเงียบงันราวกับเงา
เพราะจิตวิญญาณของนักฆ่า... ไม่เคยหลับใหล
ภายนอก อากาศเย็นเยียบและเงียบงันใต้แสงดาว หลานเยว่ยืนอยู่กลางลานกว้างหลังบ้านร่างของเธอเคลื่อนไหวอย่างแม่นยำทรงพลัง และไร้สุ้มเสียงเธอเริ่มฝึกฝีมืออีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าท่วงท่าที่เคยใช้พรากชีวิตทักษะเดิมกลับมาด้วยความแม่นยำเกินมนุษย์แต่ในโลกใบใหม่นี้… มันไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียวที่นี่ มีสิ่งหนึ่งที่โลกเดิมของเธอไม่มีนั่นคือพลังปราณ
มันแทรกซึมอยู่ในอากาศ…และไหลเวียนเข้าสู่ร่างของเธอราวกับตอบรับเงาแห่งความตายเส้นลมปราณในร่างกายนี้ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตราว่า พิการกลับตอบสนองต่อจิตสำนึกใหม่ของเธอราวกับถูกปลุกให้ตื่นพลังพุ่งพล่านประหนึ่งเขื่อนที่แตกทะลักประตูแห่งพลังในแต่ละระดับ… เปิดออกทีละชั้นอย่างไม่มีสิ่งใดขวางกั้น หลานเยว่คนเดิม อาจเป็นเพียงหญิงสาวไร้พรสวรรค์แต่หลานเยว่คนนี้คือนักฆ่าผู้ไร้เทียมทานที่แฝงกายอยู่ในโลกที่ไร้ผู้ใดรู้จักนามของเธอ
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







