เข้าสู่ระบบ
ท่ามกลางตึกระฟ้าที่สูงเสียดฟ้าท่ามกลางยามราตรี แสงไฟนีออนหลากสีสะท้อนกับกระจกตึกจนพร่าตา โลกของมหานครที่ไม่เคยหลับไหล… แต่เงามืดก็ไม่เคยเลือนหายจากที่แห่งนี้เช่นกัน
ในโลกที่ผู้คนลุ่มหลงในอำนาจและเงินตรา แสงไฟไม่อาจกลบกลิ่นเลือดและความตายได้เลย… เพราะความตายเองก็ไม่เคยล่าช้า ชื่อของ หลานเยว่ เปรียบเสมือนเงาแห่งมัจจุราชที่แม้แต่ผู้มีอำนาจก็ยังไม่กล้าเอ่ยอย่างเปิดเผยเธอคือมือสังหารอันดับหนึ่งของโลกใต้ดินงดงามราวหยกน้ำแข็ง แม่นยำยิ่งกว่ากระสุน ไร้เสียง… ไร้ร่องรอย… และไร้ความเมตตา
ภารกิจที่หลานเยว่รับไว้ ไม่เคยมีคำว่า ล้มเหลวเพราะเธอไม่ใช่คน… แต่คือเงาและด้วยเหตุนี้เอง เหล่าผู้มีอำนาจจึงหวาดกลัวเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นศัตรูของพวกเขา…แต่เพราะศัตรูของพวกเขา อาจจะจ้างหลานเยว่ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะลงขัน ซ้อนแผน วางกลอุบาย เพื่อกำจัดนักฆ่าสาวผู้เดียวในโลกใบนี้
คืนฝนพรำ เพนต์เฮาส์หรูบนชั้น 78 ของโรงแรมกลางเมืองหลานเยว่จิบไวน์ช้า ๆ ดวงตาของเธอทอดมองออกไปนอกม่านกระจก ชมแสงเมืองยามค่ำคืน เงียบ นิ่ง และสงบ…ทว่า ภายในกลับเคลื่อนไหวด้วยสัญชาตญาณนักฆ่าแก้วไวน์ในมือสั่นเล็กน้อย ก่อนจะถูกวางลงบนโต๊ะร่างกายเธอเริ่มเย็นเฉียบ แขนขาชา ชีพจรในหูเต้นผิดจังหวะ…สติพลันตื่นเต็มที่ในเสี้ยววินาที
“โดนวางยาอย่างนั้นหรือ?”
แม้เข้าใจทันที แต่ยังไม่ทันขยับ ร่างของเธอก็ถูกกระแทกจากด้านหลังอย่างแรงหลานเยว่ล้มกระแทกพื้น เสียงดังก้องโลกที่เคยมั่นคงของนักฆ่าผู้นี้… แตกกระจายเป็นเสี่ยงเงาร่างหนึ่งในชุดดำปรากฏขึ้น เสียงของเขากระซิบข้างหู เย็นชาและเย้ยหยัน “ในที่สุดคนอย่างแกก็มีวันนี้…” เธอพยายามขยับมือ แต่ปลายนิ้วกลับชาเกินจะจับอาวุธใดดวงตาพร่ามัว แต่ยังพอมองเห็นเงาปืนในมือของเขา
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงปืนดังสนั่น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างของเธอจมอยู่ในกองเลือดและก่อนสติจะดับวูบลง… ความคิดสุดท้ายก็แวบเข้ามา
“จบสิ้นแล้ว… อย่างนั้นหรือ?”
ทว่า… ความตายของนักฆ่า ไม่เคยเป็นจุดจบหากแต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่ง… ที่เลวร้ายยิ่งกว่า
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน...หลานเยว่รู้สึกราวกับล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งกาลเวลาสติที่เคยดับวูบ ค่อย ๆ หวนกลับมา… ราวม่านหมอกหนาเริ่มถอยห่างเมื่อแสงแรกของรุ่งอรุณส่องผ่านนางลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงแดดอ่อนจางลอดผ่านช่องไม้ผุพัง กระทบใบหน้าเพดานไม้สีซีด ผุกร่อน และกลิ่นฝุ่นชื้นของบ้านเก่าบ่งบอกว่าโลกนี้… ไม่ใช่ที่ที่เธอจากมา เธอพยายามขยับร่าง แต่ข้อต่อกลับอ่อนแรง ปวดระบมทันใดนั้น เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นข้างกาย
เด็กชายคนหนึ่งนั่งเฝ้าเธอเงียบ ๆ ใบหน้าเล็กซีดเซียว ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่... ท่านแม่ตื่นแล้วหรือ?”
เสียงเล็กเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจสายตาคู่นั้น… ปลดกลอนในใจหลานเยว่โดยไม่รู้ตัวจากนั้น ความทรงจำมากมายก็ถาโถมเข้าใส่เธอเหมือนพายุทั้งของเธอ และของเจ้าของร่างนี้สองจิตวิญญาณ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
หญิงสาวในร่างนี้… ก็ชื่อ หลานเยว่ แต่โชคชะตาของอีกฝ่ายนั้นช่างโหดร้ายยิ่งนักนางเกิดในตระกูลแม่ทัพ รูปโฉมงดงามราวภาพวาด… แต่กลับไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิงในโลกนี้… ความงามไม่ใช่สิ่งที่มีค่า หากปราศจากความสามารถ
นางถูกทอดทิ้ง ถูกผลักไสให้กลายเป็นหญิงบำเรอของนายกองคนหนึ่งโดยฝีมือของบิดานางเองเขาให้เหตุผลว่า สตรีไร้ค่าก็จงใช้เรือนร่างให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองและเมื่อคลอดบุตรชายที่ไร้พรสวรรค์เช่นกัน…ทั้งแม่และลูกก็ถูกขับไล่เหมือนของไร้ค่า
ห้าปีเต็ม ที่ใช้ชีวิตในบ้านไม้เก่าผุพังกลางหมู่บ้านกันดารและตลอดเวลานั้น… ไม่มีใครแม้แต่คิดจะตามหาบิดาผู้ให้กำเนิด… กลับเมินเฉยต่อเลือดเนื้อของตนเองเพราะในสายตาของเขา แม่ลูกคู่นี้คือสิ่งที่ ไม่ควรมีตัวตน นางคือสายเลือดของ หลานซือเหยียน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับถูกทิ้งให้ใช้ชีวิตดั่งเศษฝุ่นในมุมมืดของแผ่นดิน
“ไม่มีสถานที่ให้กลับ… ใช้ชีวิตอย่างเดียวดาย ก็สมกับเป็นข้าดีแล้ว”
เสียงในใจของหลานเยว่เย็นสงบเพราะเธอเองก็เป็นเพียงเงา… ในโลกที่ไร้แสงสีชีวิตก่อนหน้านั้น มีเพียงคำสั่ง เป้าหมาย และการสังหารในความมืดแต่ตอนนี้… มีสิ่งหนึ่งที่แตกต่างเด็กชายคนนั้น
ผู้เกิดจากความเกลียดชัง แต่กลับเป็นสิ่งเดียวที่หลานเยว่ภาคภูมิใจเขาคือแสงเพียงหนึ่งเดียว…ในชีวิตของนักฆ่าผู้ถูกทั้งโลกทอดทิ้ง “หลานจิ่วอวิ๋น…”
เขาคือบุตรของนางเด็กชายผู้ไร้เดียงสา ผู้ไม่ได้รับแม้แต่สิทธิ์ในการใช้แซ่ของบิดาตนเองชายผู้นั้น… ต่ำช้ายิ่งกว่าจะถูกเรียกว่า พ่อ ถ้าหลานเยว่จะถูกตราหน้าว่าไร้เกียรติ นางยอมรับได้แต่ ไม่มีวัน… ให้ผู้ใดเหยียบย่ำลูกของนาง
“ลูกแม่... แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว…” นางพูดเบา ๆ พลางยกมุมปากขึ้นรอยยิ้มแรกในชีวิตที่แข็งทื่อและประหลาดเพราะนางไม่เคยเรียนรู้ว่าความรักควรแสดงออกเช่นไรชีวิตก่อนนั้นมีแต่เลือด มีแต่การลอบสังหาร และเสียงเงียบงันในความมืด
แต่ตอนนี้… นางไม่ได้อยู่ลำพังอีกต่อไปข้างกายนาง มีเด็กชายคนหนึ่งเขาคือภาระ…และคือ ความหมายใหม่ ของชีวิตนี้
“ท่านแม่... เปลี่ยนไป”
เสียงเล็กดังขึ้น ไร้เดียงสา… แต่ไม่ไร้สัญชาตญาณเขาสัมผัสได้ว่าแม่ของเขาในตอนนี้… ไม่เหมือนเดิมอ้อมกอดของนางเย็นเยียบ ราวหิมะแต่ก็เป็นอ้อมกอดที่เขา… ไม่อยากปล่อยไปอีกหลานเยว่ไม่ตอบ ไม่ปฏิเสธ…นางเพียงหลุบตาลง แล้วโอบกอดเขาแน่นขึ้นอีก
“แม่จะเปลี่ยนตัวเอง… เพื่อเจ้าต่อจากนี้ไป แม่จะไม่เป็นหญิงที่ไร้ค่าอีกต่อไป…”
ในฐานะมือสังหาร นางไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวต่อโลกที่เปื้อนเลือดและคลุ้งไปด้วยความรุนแรงเพราะนั่นคือสิ่งที่นางรู้จักดีที่สุดแต่สิ่งเดียวที่ทำให้นางหวาดหวั่นจนใจสั่น…คือความกลัวว่า นางจะทำหน้าที่ของ แม่ ได้ไม่ดีพอ เพราะความรัก... คือพื้นฐานของสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์ แต่นางผู้ที่เติบโตมาในโลกของความตายกลับไร้แม้แต่ความเข้าใจในสิ่งนั้นไม่ใช่เพราะนางปฏิเสธมันหากแต่เพราะชีวิตของนาง... ไม่เคยได้รับมันมาตั้งแต่ต้น
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







