LOGINซูจิ่งหลง ชายผู้ผูกขาดธุรกิจมืดแทบทุกแขนงทั้งการค้าทาสใต้ดิน ปล่อยเงินกู้อัตราโหดรับงานลอบสังหาร ส่งข่าวลับ ค้าอาวุธเถื่อนหากมีใครจ่ายมากพอ เขาทำได้ทุกอย่างในโลกเงามืด... ซูจิ่งหลงมิใช่เพียงผู้มีอิทธิพลแต่คือ รากฐาน ของทุกอำนาจสกปรกที่ค้ำจุนจักรวรรดิและวันนี้... ที่ร้านน้ำชาส่วนตัวใจกลางเมืองเขาได้เรียกเหล่าผู้นำกลุ่มใต้ดินทั้งหลายมารวมตัวกันไม่ใช่เพื่อเจรจา หรือแบ่งผลประโยชน์แต่เพื่อ แนะนำเด็กคนหนึ่ง พวกมันหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นคู่ค้าและเป็นลูกหนี้ของเขา
หลานจิ่วอวิ๋น เด็กชายหน้าตาฉลาดเฉลียว ผู้ยังคงนั่งอยู่บนตักของซูจิ่งหลงด้วยแววตาใสซื่อ ไร้เดียงสาราวกับไม่รู้เลยว่าในห้องนี้ มีนักฆ่าที่มือเปื้อนเลือดมานับไม่ถ้วน มีพ่อค้ามืดที่ฆ่าคนมาโดยไม่กระพริบตามีปีศาจในคราบมนุษย์... ที่แค่ชื่อก็ทำให้คนต้องหลบ
“ข้าอยากให้พวกเจ้าจดจำใบหน้าของเด็กชายคนนี้ไว้ให้ดี” น้ำเสียงของซูจิ่งหลงราบเรียบ ทว่าเฉียบขาดราวดาบที่ปลอกหนังโดยไม่ให้รู้ตัว “เขาคือหลานชายของข้าเอง”
ในโลกของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในแวดวงมืดมนเช่นนี้…คำประกาศเช่นนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อความอบอุ่น แต่เพื่อขีดเส้นแดงเด็กคนนี้ คือสิ่งที่ห้ามแตะต้อง เสียงหัวเราะดังกึกก้องขึ้นทันทีในห้องน้ำชาคนรอบตัวต่างเร่งยิ้มประจบเหมือนฝูงหมาที่แย่งกันสะบัดหางใกล้เจ้าของ
“ฮ่า ๆ สมแล้วที่เป็นหลานชายของนายท่าน!”“ดูแววตานั่นสิ! ช่างเฉลียวฉลาดเสียจริง!”“แค่เห็นก็รู้แล้วว่าอนาคตต้องไม่ธรรมดา!”
ทุกคำที่พูด…เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเอาตัวรอดและการเลียแข้งเลียขาไม่มีใครกล้าพูดสิ่งที่แท้จริงในใจ เพราะพวกเขารู้ดี ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจแรงต่อหน้าเด็กคนนี้บรรดาของขวัญที่ถูกนำมา ก็ล้วนแล้วแต่มาจากมือของ ลูกหนี้ ของพ่อค้าแห่งความตาย บางคนหอบของเล่นประดิษฐ์เฉพาะตัว ที่มีเพียงชิ้นเดียวในแผ่นดินบางคนส่งขนมหวานจากห้องครัวของตระกูลขุนนางหรือแม้แต่สมุนไพรมงคลที่หายากระดับสุดยอด ก็ถูกวางไว้ตรงหน้าเด็กชายอย่างนอบน้อม
ซูจิ่งหลงลูบศีรษะหลานชายเบา ๆ แววตาที่มักเย็นชาในสนามธุรกิจมืด กลับเปล่งประกายความอ่อนโยนอย่างน่าประหลาด
“หลานจิ่วอวิ๋น เจ้าเห็นไหม...มีท่านลุงใจดีมากมาย ขนของขวัญมาให้เจ้า” น้ำเสียงของเขานุ่มนวล ดั่งผู้ใหญ่ใจดีที่มอบความสุขให้เด็กน้อย ดวงตากลมโตจ้องมองของเล่นหายาก ขนมหวานเลิศรส และของขวัญแปลกตาที่กองสุมอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นเต้นเขายกมือขึ้นพนมเบา ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงใสชัดถ้อยชัดคำ
“ขอบคุณขอรับ”
ถ้อยคำเรียบง่าย แต่มากด้วยมารยาทที่งดงามจนเหล่าผู้ใหญ่ที่เฝ้าดูอยู่ต้องพยักหน้ารับ นี่ไม่ใช่เพียงแค่เด็กชายธรรมดา...แต่คือทายาทที่ถูกอบรมมาอย่างดีซูจิ่งหลงยิ้มบาง ก่อนก้มลงกระซิบข้างหูหลานชาย“จิ่วอวิ๋น เจ้าช่วยลุงหน่อยได้หรือไม่?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แฝงความละมุนละไม
“ลองคัดดูว่าเจ้าชอบของเล่นชิ้นไหน ไม่ชอบชิ้นไหน...ขนมไหนอร่อย หรืออันไหนที่เจ้าทานไม่ลง”
เด็กชายพยักหน้าอย่างว่าง่ายเขาหยิบของเล่นขึ้นมาทีละชิ้น เล่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไร้เดียงสา“อันนี้...เสียงดังไปหน่อย ข้าไม่ชอบ อันนี้สีสวย ข้าชอบมาก! ขนมชิ้นนี้หวานเกินไป…”
ทุกคำตอบฟังดูเหมือนการเลือกของธรรมดาของเด็กน้อยแต่สำหรับซูจิ่งหลง… นี่คือข้อมูล ที่เขาต้องการเขาหันไปกระซิบกับบ่าวรับใช้ประจำตัวเบา ๆ “จดชื่อเจ้าของของขวัญที่เด็กไม่ชอบไว้ให้หมด”
บ่าวรับใช้พยักหน้าแล้วเดินแยกออกไปเงียบ ๆ ไม่มีใครสังเกตเห็น หรืออาจไม่มีใคร กล้าสังเกตในขณะที่หลานจิ่วอวิ๋นยังคงเล่นของเล่นด้วยความสุขเหมือนเด็กทั่วไปแต่ภายใต้รอยยิ้มของซูจิ่งหลงกลับมีเงาแห่งการคัดกรองและคำนวณอย่างเงียบงัน ไม่ว่าจะเป็นขนม...ของเล่น...หรือน้ำใจหากมอบมาแล้วไม่ถูกใจหลานชายของเขาเจ้าของสิ่งนั้น…ก็ไม่สมควรได้รับที่ยืนในเงาของอำนาจเช่นกัน
“ฮ่าฮ่าฮ่า! หลานลุง วันนี้ลุงมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่กับเจ้า”เสียงหัวเราะของซูจิ่งหลงดังก้องไปทั้งโรงน้ำชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเบิกบานแบบที่ไม่ค่อยมีผู้ใดเคยได้เห็นจากพ่อค้าแห่งความตายผู้นี้เขาโอบอุ้มหลานชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน ดวงตาที่มักเยียบเย็นและคำนวณตลอดเวลา…กลับทอแววอบอุ่นอย่างจริงใจ
“คราวหน้า ลุงจะไปรับเจ้ามาเที่ยวเล่นอีกนะ เจ้าอย่าลืมลุงล่ะ”
หลานจิ่วอวิ๋นหัวเราะคิกเบา ๆ พลางพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น เด็กน้อยไม่มีทางรู้หรอกว่า...รอยยิ้มของเขาในยามนี้ กลับทำให้โลกอันมืดดำของซูจิ่งหลง ดูสว่างขึ้นในชั่วขณะซูจิ่งหลงพยักหน้าให้ข้ารับใช้และองครักษ์ประจำตัว ส่งเด็กน้อยกลับไปยังจวนทุกครั้งที่เลิกเรียน เขามักจะแอบไปรับหลานจิ่วอวิ๋นมาอยู่ด้วย พาเที่ยว เล่น และคอยสั่งสอนเรื่องน้อยใหญ่
ทางด้านของ หลานเยว่ นางเอง...ก็รับรู้ทุกอย่างแต่กลับมิได้เอ่ยปากห้ามหรือขัดขวางในสายตาของนาง การที่ลูกชายมีคนรักและเอ็นดูอย่างจริงใจเช่นนี้...ย่อมไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใดถึงแม้ซูจิ่งหลงจะเป็นบุรุษที่โลหิตเปื้อนมือ เป็นผู้ควบคุมโลกใต้เงาแห่งเมืองหลวง
ทันทีที่เงาร่างเล็กของหลานจิ่วอวิ๋นลับจากประตูโรงน้ำชารอยยิ้มละมุนของซูจิ่งหลงก็พลันสลาย...ราวไม่เคยมีอยู่จริง
ความอ่อนโยนที่อบอวลในอากาศเพียงครู่ก่อน เหลือไว้เพียงเงาความเงียบสงัดแววตาของเขาไร้อารมณ์ หนาวเย็นจนเหมือนตัดอากาศรอบตัวให้บางเฉียบลงซูจิ่งหลงนั่งนิ่งไม่ไหวติง เขามองผู้คนตรงหน้าอย่างไร้ความรู้สึกคล้ายกับกำลังตัดสินว่า ใครคือ ของที่ควรเก็บ และใครคือ เศษขยะ
"ผู้ใดมีรายชื่อให้อยู่ต่อ...ใครไม่มีออกไปได้..."เพียงถ้อยคำสั้น ๆ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นจนกดบรรยากาศให้ต่ำลงในพริบตาปราศจากคำอธิบาย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มสุภาพ เสียงนั้น...เย็นชา เงียบงันเหล่าผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ในใจเด็กชาย ต่างมีสีหน้ายินดีพร้อมทั้งรีบหนีหายออกไปจากร้านน้ำชาในทันทีเพราะเกรงว่าชายที่อยู่เบื้องหน้านั้นจะเกิดเปลี่ยนใจ
"ขอรับ! นายท่าน พวกข้าขอลา"
เสียงรองรับดังกระชับ บางคนรีบเดิน บางคนแทบจะกึ่งวิ่งออกไปคล้ายเพิ่งรอดพ้นจากปากเหว
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







