로그인ท่ามกลางความทุรกันดารของเมืองชายขอบ แสงแดดแผดเผาลงมาจากฟากฟ้าอย่างไร้ปรานี ไม่มีแม้แต่เงาไม้หรือม่านเมฆใด ๆ ที่จะคอยบรรเทาความร้อนแรงจากสุริยัน ร่างของซ่งเจี้ยนหงนั่งซุกตัวอยู่ข้างกำแพงเก่า หน้าผากเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ขณะที่ริมฝีปากแห้งผากและแตกระแหง ผิวหนังแตกลอกจากแสงแดดที่รุมเร้า เขาไม่ได้กินอาหารหรือดื่มน้ำมาหลายวันแล้ว ความอดอยากทำให้ร่างกายสั่นเทิ้ม สายตาพร่ามัวจนไม่อาจเห็นใบหน้าผู้คนที่ผ่านไปมา
“หิว...ข้าหิวเหลือเกิน...” เขาครางเบา ๆ อย่างคนที่แทบจะสิ้นสติ “ขอเศษเงิน...หรือแม้แต่เศษอาหารก็ได้…”
คำพูดนั้นหลุดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งและแทบไม่มีใครได้ยิน จนกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ใสบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ ๆ
“ท่านลุง...หมันโถว ขอรับ”
มือเล็ก ๆ ยื่นหมั่นโถวร้อน ๆ เข้ามาใกล้ ซ่งเจี้ยนหงแทบจะขาดใจด้วยความหิว เขารีบคว้ามันมาแทบไม่ทัน ไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองผู้มอบให้ กัดกินอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่าที่อดโซ
“นี่อีกลูกหนึ่ง” เด็กน้อยพูดขึ้นอีกครั้ง แล้วยื่นหมั่นโถวอีกชิ้นมาวางลงบนฝ่ามือที่สั่นระริกของชายหนุ่ม เขารับไว้โดยไม่ลังเล ใจกระหวัดเพียงจะกลืนกินทุกสิ่งให้เต็มท้อง จนเสียงนุ่มนวลของเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง
“น้ำขอรับ ท่านลุง”
ถ้วยน้ำไม้ไผ่เล็ก ๆ ที่ใสสะอาดถูกยื่นมาใกล้ริมฝีปากของเขา น้ำเย็นชื่นไหลลงคอช้า ๆ ชะล้างความแห้งผากอย่างอัศจรรย์ ราวกับสายน้ำแห่งชีวิตหลั่งไหลกลับคืนในที่สุดสติที่เคยเลือนรางของซ่งเจี้ยนหงก็เริ่มแจ่มชัด เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น มองใบหน้าของเด็กชายผู้นั้นเป็นครั้งแรก เด็กอายุราวห้าขวบ รูปร่างผอมบางแต่มีดวงตากลมโต จ้องมองเขาด้วยสายตาใสซื่อ
และแล้ว…หัวใจของเขาก็พลันสะท้านใบหน้านั้น...มันช่างคุ้นเคยนักไม่ใช่เพียงคล้าย แต่มันคือเงาสะท้อนของตัวเขาเองในวัยเยาว์! คิ้วเรียว เส้นผมดำขลับ ดวงตาคมเข้ม ทั้งหมดนั้นราวกับถูกหล่อหลอมจากสายเลือดเดียวกันและเมื่อเขาเบือนสายตาไปทางด้านหลังของเด็กชาย ร่างของสตรีนางหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในสายตา
นางสวมผ้าคลุมเรียบง่าย แววตาเยือกเย็นดังเดิม แต่ความนิ่งสงบในดวงตานั้นกลับแฝงไปด้วยคลื่นพายุที่สั่นไหว
“หลานเยว่…” ซ่งเจี้ยนหงกระซิบ ทันทีที่สายตาของเขาสบเข้ากับนางผู้ยืนเคียงข้างเด็กชายตัวน้อย ราวกับโลกทั้งใบพลันหยุดหมุน หัวใจของซ่งเจี้ยนหงกระตุกวาบ ความรู้แจ้งพุ่งขึ้นอย่างฉับพลัน เด็กคนนี้…คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านโดยไร้การควบคุม ดวงตาแดงก่ำราวกับจะระเบิดออกมาเป็นหยาดน้ำร้อนผ่าว มือทั้งสองสั่นเทาขณะค่อย ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าเด็กชาย ใบหน้าซูบเซียวของอดีตขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ซบลงแนบฝ่าเท้าเล็ก ๆ นั้น
เสียงร่ำไห้อันเจ็บปวดแหลมสูงหลุดออกมาจากลำคอ“อ๊ากกก... ฮือ... ฮือ...”เขาร้องไห้ราวกับสัตว์ร้ายบาดเจ็บ ร้องไห้เหมือนกับว่ากำลังจะตายทั้งเป็น
“ท่านลุง... ท่านเป็นอะไรหรือขอรับ?”เสียงใส ๆ ของเด็กชายเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย และความไร้เดียงสา ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความห่วงใยบริสุทธิ์แต่ซ่งเจี้ยนหงไม่มีคำใดจะตอบมีเพียงคราบน้ำตาที่ไหลไม่หยุด และมือที่กอดขาของเด็กชายแน่นราวกับจะยึดเหนี่ยวชีวิตไว้จากขุมนรกในห้วงขณะนั้น ภาพอดีตผุดพรายขึ้นในจิตใจเขาอย่างเจ็บปวด ทุกฉาก ทุกคำพูด ทุกการกระทำ...ย้อนกลับมาราวกับมีดนับร้อยเล่มกรีดแทงหัวใจ
เขาเคยเห็นแม่ของเด็ก เป็นเพียงสตรีชั่วคืน สาวอุ่นเตียงที่ไร้ค่า ไม่คู่ควรแม้แต่กับคำว่าคนรัก เขาเคยเอ่ยปากสั่งให้กำจัดทารกไร้เดียงสานี้ เพียงเพราะเด็กคนนี้ไม่มีวี่แววพรสวรรค์ เขาเคยคิดว่า…ลูกคนนี้จะเป็นมารผจญ ขัดขวางหนทางของเขาในการแต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางใหญ่
และในวันนี้ลูกคนเดิม เด็กชายผู้นี้ กลับเป็นคนที่หยิบยื่นขนมปังและน้ำสะอาดให้เขา…โดยไม่รู้ว่าเขาคือใครความอัปยศและการตระหนักรู้ถาโถมเข้ามาเกินจะทานทน น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลไม่หยุด เขากอดขาเล็ก ๆ ของเด็กชายแน่นราวกับกำลังขออภัย ขอความเมตตาขอให้มีสิทธิ์ได้เป็นพ่อ…แม้เพียงวินาทีเดียว หลานเยว่มองภาพเบื้องหน้านั้นด้วยสายตาเรียบนิ่ง ไม่มีความเวทนา มีเพียงความว่างเปล่าในใจที่ไม่สามารถเติมเต็มได้อีกเพราะบางบาดแผล...ถึงแม้จะมีคำขอโทษ ก็ไม่อาจสมานได้อีกเลย เธอปล่อยให้บุตรชายไปเล่นกับคนรับใช้เพื่อเปิดโอกาสให้บทสนทนาระหว่างเขาและเธอเกิดขึ้นโดยปราศจากผู้ฟัง
“เด็กคนนั้น…มีชื่อว่าอะไร?” ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยหยาดน้ำตาแห่งความสำนึกผิด เสียงของเขาสะอื้นเครือในลำคอ ชายผู้เป็นพ่อ แต่ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อลูกของตน
“เขามีนามว่า...หลานจิ่วอวิ๋น” เสียงของนางราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย ดวงตาไม่ได้แม้แต่เหลือบมองร่างของชายตรงหน้า
ซ่งเจี้ยนหงเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า ใบหน้าของเขาเปื้อนคราบน้ำตา“เป็นชื่อที่ดี...ช่างเป็นชื่อที่ดีนัก...”เสียงของเขาสะอื้นเบา ๆ เขาพึมพำเหมือนคนละเมอ พร้อมกัดฟันกลั้นเสียงสะอื้นที่แทบจะระเบิดออกมาจากอก“เจ้าเลี้ยงลูกของเราได้ดี...เจ้าทำได้ดีจริง ๆ...หลานเยว่ ข้าไม่กล้าฝันถึงให้เจ้าให้อภัย...ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ข้า...ขอโทษ”
หลานเยว่เงียบงันเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะปรายตามองเขาด้วยสายตาที่ไม่สะท้านสะเทือน ไม่มีแววโกรธเกลียด…แต่ก็ไม่มีความเมตตาเช่นกัน ในความเงียบนั้น ซ่งเจี้ยนหงก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าพื้นดิน“ข้าไม่มีอะไรจะมอบให้เจ้า…ไม่มีสิ่งใดที่ข้าทำได้เพื่อชดใช้ แต่...หากข้ายังพอมีชีวิตอยู่ขอเวลาอีกสักนิด ให้ข้าได้...ทำหน้าที่ของ พ่อ สักครั้ง…แค่เพียงครั้งเดียวก็พอ...ก่อนที่ข้าจะหมดสิ้นลมหายใจนี้...”
ภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น แสงแดดยามสายอาบร่างของชายหนุ่มผู้เคยรุ่งเรือง ทว่าในยามนี้ ซ่งเจี้ยนหงกลับเป็นเพียงเงาอันเลือนรางของวันวาน แขนขาที่เคยกำยำบัดนี้บิดเบี้ยวผิดรูป พลังปราณที่เคยสะท้านปฐพีกลับมลายหาย เหลือเพียงร่างที่สั่นไหวไร้เรี่ยวแรง ราวกับผีเฝ้าทาง
“...พลังหยดสุดท้าย...”
เขากระซิบกับตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและมุ่งมั่นในคราเดียวกัน มันคือวิชาโบราณต้องห้ามที่ไม่มีใครกล้าใช้ เพราะมันจะเร่งการแตกสลายของชีพจร จนแม้แต่จิตวิญญาณก็อาจไม่เหลือให้กลับสู่สวรรค์หรือผืนดิน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







