LOGINยามราตรี แสงจันทร์อาบไล้เงาไม้เป็นลายพร้อยบนพื้นดิน แต่ภายในเรือนอันเงียบงันนั้น กลับเต็มไปด้วยความมืดหม่นอันน่าหดหู่ซ่งเจี้ยนหง เหม่อมองออกไปยังฟากฟ้าใบหน้าครั้งหนึ่งเคยหยิ่งผยองกลับหม่นเศร้าน้ำตาแห้งกรังบนข้างแก้มคือร่องรอยของผู้เคยเชื่อว่าตนเป็น ผู้ชนะ มาโดยตลอดเขาภาวนา...เบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
"ขอเพียงตื่นจากฝันร้ายนี้สักที..."
ทว่าชะตากลับไม่มีวันปรานีเพราะสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นจุดจบของฝันร้าย...มันยังเป็นเพียงแค่บทเริ่มต้น
แอ๊ด...เสียงบานประตูเปิดออกอย่างเชื่องช้าเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาแต่หนักแน่นค่อย ๆ เดินลึกเข้ามาในห้องซ่งเจี้ยนหงเงยหน้าขึ้นทันที แววตาหวาดกลัวกับเงาร่างตรงหน้าที่ค่อย ๆ ปรากฏใต้แสงจันทร์ ชายผู้ที่เขาเคารพรักและศรัทธาเสมอมา...
"ท…ท่านอาจารย์?" เสียงของเขาสั่นคลอน...เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำขอเพียงฝืนลมหายใจสุดท้ายชายตรงหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง...ก่อนจะคลี่ยิ้มยิ้มที่ไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่การปลอบใจหากแต่คือรอยยิ้มของผู้ที่เฝ้าชมการล่มสลายของศัตรูอย่างเพลิดเพลินใจเสียงของเขาดังขึ้น ทุ้มต่ำแต่เย็นเยียบ
“อะไรกัน... เจ้ากำลังร้องไห้อยู่หรือ?”สายตาเขากวาดมองร่างลูกศิษย์ที่ซูบผอมจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม“ช่างน่าสมเพชเวทนาเสียจริง”
ซ่งเจี้ยนหงจ้องมองชายตรงหน้าด้วยสายตาแดงก่ำทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ และความไม่เข้าใจ ตีกันยุ่งเหยิงในดวงตาคู่นั้นริมฝีปากเขาสั่นเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงออกมาเสียงที่แหบพร่าราวคนใกล้ขาดใจ
“ท่าน…คือคนที่ทำทั้งหมดนี้ ใช่หรือไม่?” คำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบหากแต่ต้องการยืนยันสิ่งที่หัวใจเขาไม่อยากยอมรับหลานซือเหยียนหัวเราะเบา ๆ ในลำคอเสียงหัวเราะนั้นไม่มีความสุข...มันกลับเย็นชา ทะลวงลึกเข้ากระดูกสันหลังยิ่งกว่าความเงียบเขาก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆดวงตาคมดุจดาบจ้องมองใบหน้าของลูกศิษย์ผู้ครั้งหนึ่งเคยเปี่ยมด้วยความหยิ่งผยอง “ใช่ ข้าทำเอง”
เขาพูดเรียบง่าย...เหมือนกำลังเอ่ยถึงเรื่องดินฟ้าอากาศไม่มีเย้ยหยัน ไม่มีสำนึกผิด มีเพียงความแน่วแน่และความเย็นชา
“ตั้งแต่พิษคำสาป...จนถึงสาวงามคืนนั้น ยาในชา...แม้แต่ข่าวลือในย่านโคมแดง”“ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของข้าทั้งสิ้น”
ซ่งเจี้ยนหงราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางอกร่างเขาสั่นสะท้าน ความจริงตรงหน้าราวกับกำแพงที่ถล่มลงมาทับหัวใจ
“แต่…ทำไม?” เขาแทบเปล่งเสียงไม่ได้ ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ข้า...คือศิษย์ของท่าน ข้าเคารพท่านราวบิดา…”
รอยยิ้มของหลานซือเหยียนแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันแววตาของเขาไร้แววอาวรณ์ใด ๆ
“เหตุผลเดียวที่ข้าทำทั้งหมดนี้...” หลานซือเหยียนโน้มตัวลง พูดชิดใบหูลูกศิษย์ตนเองด้วยน้ำเสียงราวกระซิบจากขุมนรก
“ก็เพราะข้าอยากเห็นเจ้าตกต่ำ...ด้วยมือของข้าเอง” ร่างของซ่งเจี้ยนหงสะท้านเฮือก ริมฝีปากเม้มแน่น ดวงตาที่เคยแกร่งกล้าบัดนี้แดงก่ำ น้ำเสียงของเขาสั่นระรัวเหมือนเปลวเพลิงในพายุ
“ไอ้แก่สารเลว... เจ้ามันชั่วช้า ต่ำทราม สกปรกเกินกว่าคำจะบรรยาย!”
เสียงตะโกนของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้น ไม่ใช่แค่เพราะร่างกายที่ถูกทำลาย หากแต่เพราะหัวใจที่เคยมอบให้ศรัทธากลับถูกเหยียบย่ำราวเศษโคลนใต้ฝ่าเท้าแต่แทนที่แม่ทัพหลานซือเหยียนจะโกรธหรือตอบโต้ด้วยวาจา เขากลับยิ้ม ยิ้มบาง เยือกเย็น และน่ากลัวยิ่งกว่ามีดที่กำลังจ่อคอ
ผั่ก!
เสียงกระทบดังชัด ร่างของซ่งเจี้ยนหงทรุดลงในทันที ดวงตาที่เบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกใจกลายเป็นว่างเปล่า ร่างของเขาล้มพับเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกตัดสาย หลานซือเหยียนไม่พูดสิ่งใดอีก เขาคุกเข่าลงข้างร่างไร้สติของชายหนุ่ม ใช้ผ้าดำคลุมใบหน้า และแบกขึ้นบ่าด้วยท่าทางเรียบเฉยราวกับกำลังขนกระสอบข้าว ไม่ใช่คน ค่ำคืนนั้น…จันทร์ลับ เมฆหม่น มีเพียงความเงียบงันของเงาร่างผู้หนึ่งที่พาอดีตวีรบุรุษ...หายลับไปในความมืด
ยามที่แสงแรกของเช้าวันใหม่ทาบทอลงบนหลังคาเรือน จวนตระกูลซ่งค่อย ๆ ตื่นจากความเงียบงัน บ่าวไพร่เริ่มต้นกิจวัตรดังเช่นทุกวัน...แต่มีเพียงเรือนหนึ่งที่ยังคงเงียบกริบ ไร้เงาของเจ้าของ
แม่ทัพซ่งไห่หยางรับรู้ข่าวการหายตัวไปของซ่งเจี้ยนหงในเวลาไม่นาน สีหน้าของเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับผู้ที่กำลังไตร่ตรองปัญหาใหญ่...แต่เพียงไม่นานความเคร่งเครียดนั้นก็เลือนหายไป เหลือเพียงความสงบเย็นอันน่าประหลาดบนใบหน้าของเขาเขาวางจอกชาในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอนหายใจช้า ๆ
“เจ้าก็หายไปเสียให้ไกลเถิด...” เสียงพึมพำดังลอดริมฝีปากที่ไม่แม้แต่จะแตะแววเศร้า
สำหรับเขาแล้ว ซ่งเจี้ยนหงอดีตดาวรุ่งแห่งตระกูลได้หมดความหมายลงทันทีที่พรสวรรค์ถูกกลืนกิน ความล้มเหลวของบุตรชายคือมลทินที่ไม่อาจปิดบังไว้ใต้พรม หากยังอยู่ เขาอาจขัดขวางทางเดินของบุตรชายคนอื่น ผู้ที่เขาตั้งใจจะผลักดันให้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
“เมื่อไม่มีค่าพอจะก้าวต่อ…ก็ไม่จำเป็นต้องเหลียวมองอีก”
แววตาของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ในยามศึก บัดนี้กลับเย็นเยียบราวน้ำแข็ง ยิ่งกว่าใบหน้าของศัตรูที่เขาเคยฟาดฟันในสนามรบ ซ่งเจี้ยนหง ผู้เคยเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของเขาบัดนี้ไม่มีแม้กระทั่งคุณค่าพอจะตามหา
ร่างของซ่งเจี้ยนหงบัดนี้ถูกพัดพาไกลจากบ้านเกิด ราวกับเศษฝุ่นที่ลอยคว้างไปตามสายลม เขาถูกนำมายังเมืองเล็ก ๆ อันแร้นแค้น ณ ขอบเขตชายแดน ดินแดนที่แม้แต่นามของเขาก็ไร้ความหมาย ไม่มีใครจดจำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาคืออดีตรองแม่ทัพผู้เคยยืนหยัดเหนือผู้คน
แขนทั้งสองถูกบิดผิดรูปอย่างน่าสยดสยอง ขาทั้งสองข้างไร้แรงแม้แต่จะยืนอย่างมั่นคง มือข้างหนึ่งโอบขันเก่า ๆ ใบหนึ่งไว้แนบอก ขันที่ครั้งหนึ่งอาจเคยเป็นภาชนะเครื่องประดับ แต่วันนี้…มันคือเครื่องยืนยันถึงการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของตรอกตลาดที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง เสียงล้อเกวียน เสียงฝีเท้าของชาวบ้าน เสียงเจรจาต่อรองค้าขาย ทั้งหมดผ่านไปโดยไร้ซึ่งใครสนใจชายขอทานที่ดูเหมือนจะอยู่ตรงนั้นมานานแสนนาน ดวงตาของซ่งเจี้ยนหงหม่นหมอง ฝุ่นจับตามผิวหน้า แววตาเคยเฉียบคมบัดนี้ขุ่นมัวเหมือนกระจกเก่า ใจหนึ่งหวังเพียงเศษเงินเล็กน้อยเพื่อบรรเทาความหิว และอีกใจก็ยังเกาะความหวังเลือนราง ว่าเขาจะได้กลับสู่เมืองหลวงอีกครั้ง
แต่ช่างน่าขัน...
ผู้คนเดินผ่านเขาราวกับเงาที่ไร้ตัวตน ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ไม่มีเหรียญ ไม่มีคำพูด ไม่มีแม้แต่เศษเมตตา ความอดสูกัดกินเขาทีละน้อยเหมือนหนอนในกระดูก ชายผู้เคยได้รับเสียงสรรเสริญ บัดนี้ต้องเงยหน้าขอความเมตตาจากคนแปลกหน้า แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมีเพียงความว่างเปล่า
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







