LOGINหลานอวี้ซิน นางคือหนึ่งในสตรีผู้เลอโฉมที่ผู้คนทั่วหล้าต่างร่ำลือ ยกย่องว่างามล่มเมือง มิใช่เพียงเพราะรูปโฉมงดงามดุจหยาดพิรุณในยามวสันต์ หากแต่ยังเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านปราณที่หาได้ยากยิ่ง ด้วยความสมบูรณ์พร้อมประหนึ่งเทพีจากสรวงสวรรค์ นางจึงเติบโตขึ้นมาท่ามกลางถ้อยคำสรรเสริญและสายตาชื่นชมไม่เว้นวัน ไม่ว่าภายในจวนใหญ่ หรือกระทั่งในราชสำนัก ทุกย่างก้าวของนางล้วนมีผู้เอาใจใส่ เฝ้าปรนนิบัติประหนึ่งมณีเลอค่าที่ต้องถนอมรักษา
ทว่า... ความรักใคร่ที่นางได้รับอย่างไม่ขาดสายกลับกลายเป็นขุมเชื้อเพลิงเงียบงัน ที่ค่อย ๆ หล่อหลอมให้นางกลายเป็นสตรีผู้เอาแต่ใจในระดับที่น่าเกรงขาม สิ่งใดขัดหูขัดตา นางพร้อมจะขจัดให้สิ้นซาก ผู้ใดไม่ยกยอ ก็ล้วนถูกผลักไสให้ออกห่างโดยไร้เยื่อใย
อารมณ์ของนางนั้น เปราะบางดุจแก้วใส ทว่าเมื่อโทสะเข้าครอบงำ กลับเฉียบคมไม่ต่างจากคมมีดที่ฟาดฟันโดยไม่ปรานี ความงดงามที่เคยตราตรึงผู้คนมอดมลายลงในพริบตา ใบหน้าอันงามเลิศแปรเปลี่ยนเป็นความบิดเบี้ยวปนเปื้อนพิษร้าย ดวงตาวาวโรจน์แดงฉาน ริมฝีปากขบแน่น ดั่งต้องการกัดทำลายสิ่งตรงหน้า มือเรียวสั่นระริกเพราะแรงริษยาอันลึกล้ำที่ปะทุจากเบื้องใน
ในห้วงจิตอันเย็นชาของนาง อำนาจและศักดิ์ศรียิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด ความเมตตานั้นหาได้มีที่ทาง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด แม้กระทั่งญาติสายเลือดเดียวกัน หากขวางทาง… ย่อมต้องถูกขจัด แม้นางจะงามล้ำเพียงใด หากหัวใจกลับเต็มไปด้วยความริษยา ความชิงชัง และมืดดำจนยากเยียวยา แล้วความงามภายนอกนั้น... ก็ย่อมไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
เพราะเหตุนี้เอง หลานอวี้ซินจึงได้รับสมญานามอันน่าหวาดหวั่น หญิงงามผู้มีหัวใจอัปลักษณ์ที่สุดแห่งยุคสมัย
เมื่อแม่ทัพหลานซือเหยียนเริ่มนำหลานจิ่วอวิ๋นมาเยือนจวนอยู่เนือง ๆ สายตาเย็นชาใต้รอยยิ้มของหลานอวี้ซินก็เริ่มจับจ้อง และไม่นานนัก... นางก็เริ่มลงมือ
ในวันหนึ่ง ขณะที่เด็กชายถูกพามาอีกครั้ง หลานอวี้ซินก้าวออกมาต้อนรับด้วยท่วงท่าอ่อนโยนราวบุปผาแรกแย้ม
“หลานจิ่วอวิ๋น ป้าเอง... ป้าคือพี่สาวของแม่เจ้า”
น้ำเสียงของนางละมุนละไม ราวกับสายลมปลายฤดูหนาวที่เริ่มอุ่นขึ้นเมื่อเหมันต์จางหาย มือเรียวลูบศีรษะเล็กอย่างแผ่วเบา หากแต่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น กลับแฝงไว้ด้วยแววลึกลับ เยียบเย็นและลึกเกินหยั่ง ราวกับคมมีดที่ซ่อนไว้ในผ้าคลุมแพร หากความคิดสามารถแผดเผาได้ หลานจิ่วอวิ๋นคงมอดไหม้ไปแล้วในเสี้ยวนาทีนั้น
ของหวาน ขนมหอมกรุ่น ของเล่นประหลาดตา และเครื่องประดับเล็ก ๆ ถูกยื่นออกมาพร้อมรอยยิ้มที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
“เด็กดีจริง ๆ... หลานรักของป้า”
คำพูดนั้นคล้ายคำปลอบประโลมจากผู้ใหญ่ผู้เมตตา หากแต่สำหรับนาง มันคือเสียงกระซิบของแผนการที่กำลังดำเนินอยู่ทีละก้าว
หลานจิ่วอวิ๋นยกมือไหว้อย่างสุภาพ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงใสซื่อไร้เดียงสา
“ขอบคุณขอรับ” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของหลานอวี้ซินพลันดังขึ้นอีกครั้ง สีหน้าไม่แสดงพิษภัยใด ๆ ทว่าในใจของนางกลับร่ำรำพันอย่างเงียบงัน “เจ้าช่างเฉลียวฉลาดเกินเด็ก... และยิ่งเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งควรถูกกำจัดเสียแต่เนิ่น ๆ”
ทว่าหลานอวี้ซินหาได้หยุดเพียงรอยยิ้มและวาจาเสแสร้งไม่ นางวางหมากไว้อย่างแยบคาย ด้วยการส่งบุตรของตน ซึ่งมีวัยใกล้เคียงกับหลานจิ่วอวิ๋น ออกมาเป็นเพื่อนเล่น เด็กทั้งสองปรากฏตัวด้วยท่าทีร่าเริง อบอุ่นดั่งญาติผู้เยาว์ในเรือนใหญ่ ดูเผิน ๆ คล้ายภาพแห่งมิตรภาพอันไร้เดียงสา
หลานอวี้ซินยืนมองภาพเบื้องหน้า ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มละมุน หากแต่ในดวงตากลับส่องประกายเยียบเย็นเฉียบขาด
สำหรับนาง… “มิตรภาพมิใช่สะพานเชื่อมใจ หากแต่คือเชือกที่ผูกเหยื่อไว้ไม่ให้หนี”
นางรู้ดี เด็กในวัยเยาว์นั้นช่างง่ายต่อการชักจูง รอยยิ้มจริงใจ เพื่อนเล่นผู้เข้าอกเข้าใจ ของเล่นสักชิ้นสองชิ้น หรือขนมหวานรสดีก็เพียงพอจะเปิดประตูแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจ และเมื่อความวางใจบังเกิด การล่อลวง... ก็ไม่ต่างจากการชวนเด็กน้อยหลงทางไปชมแสงดาว ในคืนเดือนมืด
ระหว่างที่หลานอวี้ซินยืนอยู่ใต้เฉลียงเรือน ชุดแพรไหมที่สวมพลิ้วไหวตามสายลมเบา กลิ่นดอกเหมยที่ปลิวมากับลมหนาวราวจะขับเน้นภาพของนางให้ยิ่งงดงามจับตา ทว่าหากมีผู้ใดล่วงรู้ถึงกระแสความคิดในหัวใจของนาง คงต้องหนาวสะท้านยิ่งกว่าสายลมใด
นัยน์ตาของนางทอดมองภาพเบื้องหน้า เด็กชายสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอย่างเบิกบาน เสียงหัวเราะใสซื่อของหลานจิ่วอวิ๋นประสานกับเสียงของบุตรนางดั่งดนตรีไร้เดียงสา เสียงที่ควรจะน่าชื่นใจสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป... แต่สำหรับหลานอวี้ซิน มันกลับเหมือนมีดปลายแหลมที่กรีดใจทุกครั้งที่ได้ยิน
รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้านาง มุมปากยกขึ้นอย่างพอเหมาะ เหมือนสตรีผู้เปี่ยมเมตตาเฝ้าชมลูกหลานเล่นสนุก หากแต่ในเบื้องหลังของดวงตาคู่นั้น กลับวาวโรจน์ด้วยความคิดอันดำมืด ลึกลงไปในสำนึก... คือเปลวเพลิงแห่งริษยาและโทสะที่แทบสะกดไว้ไม่อยู่
“ข้าจะกำจัดเจ้าเด็กสวะนี่อย่างไรดีนะ...”“ยิ่งเจ้าทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งอยากจะบดขยี้เจ้าให้แหลกคามือ”
ถ้อยคำในห้วงคิดนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยออกมา ราวกับพิษร้ายที่ไหลวนอยู่ในใจ ความงดงามภายนอกที่นางพึงภาคภูมิ กลับยิ่งตอกย้ำความอัปลักษณ์ภายในที่บิดเบี้ยวเกินเยียวยา
มือเรียวของนางยกขึ้นแตะแก้มเบา ๆ ประหนึ่งละอายแดด หากแท้จริงแล้วเป็นเพียงการกลบเกลื่อนสีหน้าเมื่อความคิดชั่วร้ายไหลทะลักออกมาจนแทบกลั้นไว้ไม่อยู่
ภาพเด็กสองคนกำลังไล่จับกันในสวนยิ่งย้ำเตือนนางถึงภัยที่กำลังเติบโตตรงหน้าภัยที่ไม่อาจปล่อยไว้ได้ รอยยิ้มที่นางส่งให้เด็ก ๆ ยังคงละมุนละไมไม่เปลี่ยน มือก็ยังโบกเบา ๆ เรียกให้กลับมารับขนมอีกชิ้น ราวกับนางคือแม่พระผู้เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย หลังจากที่เด็กน้อยรับขนมจากมือของนางไปอย่างไร้เดียงสา นางยังฝืนยิ้ม ตบไหล่เขาเบา ๆ อย่างเอ็นดู พลางส่งเขากลับไปวิ่งเล่นในสวนกับบุตรของตน ราวกับไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
แต่ทันทีที่หลังของหลานจิ่วอวิ๋นลับตา รอยยิ้มบนใบหน้านางก็ร่วงโรยลงราวกลีบบุปผาที่ถูกเหยียบย่ำ นางหันหลังทันที มุ่งหน้าไปยังอ่างน้ำล้างมือที่ตั้งอยู่ตรงเฉลียงด้วยฝีเท้ารวดเร็วผิดปกติ มือเรียวขาวราวหยกยื่นไปคว้ากระบวย ตักน้ำซัดใส่มือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องการชะล้างบางสิ่งที่มิอาจมองเห็น
“สกปรก… ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”“เด็กเวรนั่น... แค่สัมผัสก็เหมือนมือข้าถูกไฟเผา!”
นางสบถเสียงต่ำราวกับสาปแช่ง ผ่านไรฟันที่ขบแน่น เสียงนั้นเบานักจนแทบไม่อาจได้ยิน แต่เต็มไปด้วยพิษร้ายจนแม้แต่น้ำในอ่างยังเหมือนจะสั่นสะท้าน มือของนางยังคงล้างต่อเนื่อง ราวกับต้องการให้ผิวเนื้อหลุดลอกออกตามความสะอิดสะเอียนที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ
“ไร้เดียงสา? ฮึ… ข้ารู้ดีว่าเจ้ากำลังล่อลวงทุกคนด้วยภาพลวงตาเหมือนที่ข้าเคยทำ...”นางเงยหน้าขึ้น มองเงาตัวเองที่สะท้อนอยู่ในผิวน้ำ นัยน์ตาที่เคยงามจับใจ กลับฉายแวววาวโรจน์ด้วยความเคียดแค้น
ในวินาทีนั้น หลานอวี้ซินสัมผัสได้ถึงรอยร้าวบนหน้ากากที่เธอสวมใส่มาเนิ่นนานหน้ากากของหญิงผู้เลอโฉมและเปี่ยมเมตตา มันเริ่มแตกร้าว เผยให้เห็นตัวตนอันแท้จริงที่ดำมืดและน่าเกลียดเกินบรรยาย มือเปียกน้ำสั่นระริกไม่ต่างจากหัวใจที่กำลังสะท้านด้วยแรงริษยานางสูดลมหายใจลึก พยายามกลืนโทสะกลับลงไปในอกอีกครั้ง
“ยังไม่ถึงเวลา… ข้าจะรอ แต่เมื่อถึงวันนั้น เจ้าเด็กสารเลวนั่นจะไม่มีทางได้เห็นแสงตะวันอีกเลย”
นางลูบมือบนผ้าเช็ดเนื้อดี ก่อนเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นนวลละไมอีกครั้ง ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแต่ในใจ… พายุยังคงก่อตัวอย่างเงียบงัน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







