LOGINหลานหย่งจวิน คือบุรุษผู้เดินอยู่บนเส้นทางแห่งความทะเยอทะยานตั้งแต่เยาว์วัย เขาคือบุตรชายคนโตของแม่ทัพหลานซือเหยียน ผู้ได้รับการอบรมบ่มเพาะทั้งวรยุทธ์และปัญญา จนสามารถไต่เต้าสู่ตำแหน่งแม่ทัพได้ด้วยวัยยังไม่ถึงสามสิบปี
แต่ในหัวใจของเขานั้น…กลับไม่มีวันพอความสามารถมากเท่าใด ชื่อเสียงยิ่งใหญ่เพียงใด ล้วนไม่อาจกลบความจริงข้อหนึ่งเขาไม่มีทายาทคำตัดสินของหมอหลวงคือประโยคที่เหมือนค้อนเหล็กทุบใจให้แตกละเอียด
“นายท่าน…ท่านไม่สามารถมีบุตรได้” ความหวังที่จะมีผู้สืบทอด กลายเป็นบาดแผลที่กัดกินอยู่ทุกค่ำคืนเขาริษยาทุกคนที่มีสิ่งที่เขาไม่มี ทั้งลูก ทั้งครอบครัว แต่เมื่อบิดานำตัว หลานจิ่วอวิ๋น กลับเข้าสู่จวนตระกูลเด็กชายผู้ไร้เดียงสาแต่เปี่ยมด้วยความบริสุทธิ์ กลับเปล่งประกายอย่างน่าประหลาดในสายตาของเขา
แรกเริ่ม เขามองเด็กคนนี้เป็นภัยคุกคามเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาจแย่งชิงความรักจากบิดา และอาจแย่งทุกสิ่งที่เขาเฝ้ารอมาแสนนานแต่เมื่อบิดากล่าวว่า “เด็กคนนี้อาจมีประโยชน์กับเจ้า”
ประโยคนั้นราวกับประตูที่เปิดออกสู่ความเป็นไปได้ใหม่ในเมื่อเขาไม่มีผู้สืบทอดด้วยสายเลือดของตน งั้นก็จง หล่อหลอม ผู้สืบทอดขึ้นมาเองแม้ไม่ใช่ลูกในไส้…แต่หากปลุกปั้นจนเด็กคนนี้กลายเป็นยอดคนในอนาคตนั่นก็เพียงพอที่จะสลักชื่อ หลานหย่งจวิน ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน
เมื่อเวลาค่อย ๆ ผ่านไปสายตาที่เคยมองเด็กคนนี้ด้วยความริษยา เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความอบอุ่นมือที่เคยตั้งมั่นจะผลักไส ค่อย ๆ ยื่นออกไปอย่างลังเล และสุดท้ายก็วางลงบนศีรษะเด็กชายด้วยความอ่อนโยน
ในมุมหนึ่งของลานกว้างอันเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะของเด็กน้อย หลานอวี้ซิน ยืนสงบนิ่งใต้ร่มไม้ ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นภาพเบื้องหน้า พี่ชายของนาง หลานหย่งจวิน ผู้เคยเย่อหยิ่งเด็ดขาด บัดนี้กลับกำลังโน้มตัวลงหยอกล้อกับเด็กชายตัวเล็กด้วยแววตาเปี่ยมรัก
“ช่างเวทนาเสียจริง...” นางพึมพำออกมาเบา ๆ ราวกับพูดกับตนเอง“แค่เจอกับเล่ห์ของเด็กตัวน้อย ก็อ่อนระทวยเสียจนไม่เหลือเค้าความแข็งแกร่ง”
เสียงของนางราบเรียบ ทว่าเย็นชาราวกับน้ำแข็งกัดผิว ความสมเพชปะปนความริษยาแผ่กระจายในแววตา ก่อนจะเลื่อนไปหยุดยังลูก ๆ ของตนเองที่ยืนอยู่ไม่ไกลดวงตานั้นแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างในทันทีครั้งหนึ่ง ลูกของนางเคยเป็นดั่งดวงใจของบิดา เป็นหลักประกันตำแหน่ง เป็นความภาคภูมิใจสูงสุดแต่เมื่อ หลานจิ่วอวิ๋น ปรากฏขึ้น เด็ก ๆ เหล่านี้กลับกลายเป็นเพียงเงาจางในสายตาทุกคน
ไม่ใช่เพราะพวกเขาไร้พรสวรรค์ แต่เพราะแสงของเด็กคนนั้น…สว่างเกินไปจนกลืนทุกสิ่ง
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! ไม้เรียวในมือนางฟาดลงบนแขนขาของลูกด้วยความโมโห“ข้าบอกแล้วใช่ไหม! ให้พวกเจ้าฝึกให้หนักกว่านี้อีก!”
เสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ ดังขึ้นทันที ฮือ… ฮือ… พวกเขาไม่เข้าใจ ไม่รู้เลยว่าทำผิดอะไรมือเล็ก ๆ ยกขึ้นป้องกัน หวังเพียงให้ความเจ็บผ่านไปโดยเร็วไม้เรียวหักคามือ กระจายเป็นเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อย แต่อารมณ์ของหลานอวี้ซินยังไม่จางหายเสียงร้องของลูกกลับกลายเป็นสิ่งที่รบกวนโสตประสาทของนางยิ่งกว่าเดิม
“พอที…” นางบ่นเสียงต่ำ ก่อนหมุนตัวเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใยทิ้งไว้เพียงเสียงสะอื้นของเด็กน้อย
เสียงร้องไห้แหลมสูงของเด็กน้อยดังแว่วมากับสายลม หลานหย่งจวินชะงักมือที่กำลังลูบศีรษะหลานชาย หันไปมองต้นเสียงที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ใบหน้าคมคายของเขาค่อย ๆ แปรเปลี่ยน แววตาเยียบเย็นกลับกลายเป็นสว่างวาบขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากยกยิ้มอย่างไม่ปิดบัง
"ฮ่าฮ่า..."เขาหัวเราะเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความพึงใจ“หลานจิ่วอวิ๋น หลานลุง เจ้าช่างเป็นหลานที่วิเศษจริง ๆ...”
น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นซ้อนเร้นด้วยความสะใจ ลึกลงไปในใจ เขารู้ดีว่าเสียงสะอื้นเหล่านั้นคือผลลัพธ์ของบางสิ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองให้เปื้อนมือ แค่การปรากฏตัวของเด็กน้อยตรงหน้าก็เพียงพอจะสั่นคลอนความมั่นใจของหลานอวี้ซินผู้แสนเย่อหยิ่งมันคือชัยชนะเล็ก ๆ ที่เขาไม่ต้องเอ่ยคำใด
เขาไม่ลืมเลย ว่าในอดีตน้องสาวผู้นั้นเคยเยาะเย้ยเขาอย่างไรแม้เขาจะไร้ทายาท แต่อย่างน้อยตอนนี้... เขามีหลานชายคนหนึ่งที่เปล่งประกายเจิดจ้าเกินกว่าจะถูกกลบหลานจิ่วอวิ๋นในยามนี้ไม่เพียงแค่เป็นเด็กน้อยที่น่ารักไร้เดียงสา แต่คือเครื่องมือที่เขาใช้คลี่คลายเงามืดในใจของตนและเป็นแสงแห่งความหวังเดียว ที่อาจสืบทอดทุกอย่างแทนเขาได้
ภายในเรือนส่วนตัวที่มืดสลัว แสงตะเกียงเพียงดวงเดียวทาบเงาร่างหญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องนางคือหลานอวี้ซิน สีหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความคั่งแค้นจนไม่เหลือเค้าโครงของหญิงงามผู้สูงศักดิ์อีกต่อไป
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
เสียงหวดไม้เรียวดังสะท้อนก้องไปทั่วห้อง ราวกับเป็นเสียงกรีดร้องของหัวใจที่พังทลายลงทีละชั้น บ่าวรับใช้สองคนถูกลากเข้ามานั่งคุกเข่าต่อหน้า ก่อนจะถูกนางใช้แส้เฆี่ยนลงอย่างบ้าคลั่ง
"ไอ้เด็กต่ำตม! กล้าดีอย่างไรแย่งแสงจากลูกข้า!""เจ้าคิดว่าแค่มีพรสวรรค์ จะลบข้าออกจากตระกูลได้หรือ!?"
เสียงกรีดร้องจากปากบ่าวกับเสียงแส้ปะทะเนื้อผิวดังประสานกันไม่หยุดยั้ง จนห้องทั้งห้องกลายเป็นสนามประหารแห่งอารมณ์คลั่งแค้น
แววตาของหลานอวี้ซินแดงก่ำด้วยความเกลียดชัง สติที่เคยมั่นคงบัดนี้ถูกริดรอนด้วยความหวาดกลัวหวาดกลัวว่าอำนาจ สถานะ และความภูมิใจทั้งชีวิตจะถูกเด็กชายเพียงคนเดียวกลืนกินไปจนหมด
เงาของหลานจิ่วอวิ๋นในใจนางทวีขนาดขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นเงามืดที่บดบังแม้แต่ลูกในสายเลือดของตนเอง
“หากเจ้ายังอยู่ ข้าก็ไม่มีวันอยู่เหนือใครได้!”
เสียงแส้หยุดลงในที่สุด ร่างของบ่าวผู้เคราะห์ร้ายแทบไร้ลมหายใจ หยดเลือดซึมเปรอะพื้นไม้ ส่วนหลานอวี้ซินยืนนิ่ง หอบหายใจถี่ ดวงตาไร้แววสติ ณ ขณะนั้นเองหญิงผู้นี้ก็ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความริษยาและความกลัว ไม่หลงเหลือแม้เงาของความเป็นแม่ หรือ ความเป็นคน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







