ログインภายในห้องไม้ทึมแสงที่มีกลิ่นอับและควันชากลบกลิ่นเลือดลาง ๆ พ่อค้าทาสร่างอ้วนจัดแจงยกถาดชามาด้วยมือของตนเอง ทั้งที่ปกติเขาจะไม่ลดตัวแตะต้องอะไรเช่นนี้เลย มือที่ถือถ้วยชาเบา ๆ นั้นสั่นไหวจาง ๆ อย่างแทบกลั้นไม่อยู่ แต่สีหน้าของเขากลับฝืนฉีกยิ้มอย่างผู้มีมารยาท ทว่าหลังดวงตาคู่นั้นยังแฝงเงาแห่งความหวาดกลัวไม่จาง
“ฮูหยินหลานอวี้ซิน… เด็กคนนี้ ถือได้ว่าเป็นสินค้า คุณภาพชั้นเลิศ…”“ตัวข้านั้น... อาจซื้อไม่ไหวเสียด้วยซ้ำ แต่ข้ามีผู้หนึ่งที่อาจสนใจ... สนใจมากพอจะทุ่มไม่อั้น” หลานอวี้ซินจิบชาด้วยท่วงท่าเยือกเย็น สีหน้าผ่อนคลายดั่งกำลังนั่งฟังเพลงขับกล่อมในสวน ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความลังเล
“ข้าไม่ติดหรอก... ว่าเจ้าจะตีราคาเท่าใด”“ข้าเพียงต้องการขายเจ้าเด็กนี่ให้พ้นเรือนก็เท่านั้น”
น้ำเสียงของนางเรียบง่ายนัก เรียบนิ่งเสียจนพ่อค้าทาสต้องกลืน เป้าหมายของนางไม่ใช่เงินทอง แต่คือ การลบล้าง การผลักไสเด็กคนหนึ่งให้หายไปจากโลกตลอดกาล
พ่อค้าทาสหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนรีบโน้มตัวเล็กน้อย เอ่ยด้วยเสียงกึ่งเร่งรีบ กึ่งประจบ
“ฮูหยิน… ชายผู้นี้ที่ข้ากล่าวถึงเขาเป็นผู้กว้างขวางในโลกใต้ดิน มีอิทธิพลในทุกตารางนิ้วของเมืองหลวง”“หากภายหน้าท่านมีความคิดจะทำการใหญ่... มีเขาอยู่ข้างกายก็จะมิใช่เรื่องยากเลย”
คำพูดนี้ แฝงนัยลึกมากกว่าการค้าทาส แต่หลานอวี้ซินเพียงพยักหน้าอย่างราบเรียบ
“ดี ถ้าเช่นนั้น... ข้าจะรอ”
เพียงแค่นั้น พ่อค้าทาสก็ก้าวถอยไปอย่างว่องไว สีหน้าเปื้อนเหงื่อพราวเต็มหน้าผาก เขาหันไปกระซิบกับเด็กรับใช้ของตน เสียงกระซิบสั้น กระชับ และร้อนรน
“ไป… ไปเรียกเขาเดี๋ยวนี้!”
เด็กรับใช้ที่ยืนก้มหน้าอยู่ตรงมุมห้อง เงยหน้าขึ้นอย่างตกใจดุจฟ้าผ่ากลางใจ สีหน้าของเขาซีดเผือดราวเห็นวิญญาณ เขามองผ่านร่างเล็กของหลานจิ่วอวิ๋นที่ยังนั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้อง ด้วยสายตาระคนไปด้วยความหวาดกลัวและสงสัย
“แต่ว่า... เด็กนี่... มัน…”
“ไป!” พ่อค้าทาสคำรามเสียงต่ำ ไม่ต้องการคำถามและทันใดนั้น เด็กรับใช้ก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างสุดแรงเท้าที่มีราวกับถูกหมาป่าไล่ล่า
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นและแช่มช้าก็ดังขึ้นจากทางเดินแคบด้านหลังห้อง มันไม่ใช่เสียงเร่งรีบของคนทั่วไป แต่กลับราวกับจังหวะของพญามัจจุราชที่ก้าวเดินอย่างมั่นคงเพื่อฉีกกระชากวิญญาณใครสักคน
ชายผู้มาเยือนสวมเครื่องแต่งกายหรูหรา ลวดลายละเอียดบ่งบอกถึงฐานะสูงส่ง ผ้าคลุมยาวลากพื้น และเหนือสิ่งอื่นใดบนใบหน้าของเขาคือหน้ากากสัตว์ทำจากเหล็กดำสนิท ปิดบังเค้าหน้าทั้งหมด เหลือเพียงดวงตาคมกริบที่เปล่งแสงเย็นเยียบ
เขาหยุดยืนกลางห้องโดยไม่ไหวติง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าทรงพลังอย่างประหลาด
“พาหลานจิ่วอวิ๋น ออกไปข้างนอกก่อน”
คำสั่งเพียงไม่กี่คำ กลับทำให้ทั้งห้องเงียบงัน
เด็กชายที่นั่งเล่นเงียบ ๆ อยู่กับของเล่นในมุมห้อง เบิกตากว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจและยินดีอย่างไร้เดียงสา
“ท่านลุง!”
เสียงของเขาชัดเจนและเปี่ยมด้วยความไว้วางใจ แม้จะมองไม่เห็นแม้กระทั่งใบหน้าของชายตรงหน้า เด็กชายก็ยังส่งยิ้มอย่างบริสุทธิ์ให้ ดวงตาไร้เดียงสาคู่นั้นเปล่งประกายเหมือนได้พบญาติสนิท
ชายสวมหน้ากากสัตว์ไม่ได้เอ่ยตอบ ไม่แม้แต่จะขยับปาก เขาเพียงแค่ยืนอยู่เงียบ ๆ แต่ดวงตาใต้หน้ากากกลับทอประกายอ่อนโยนลึกล้ำ ราวกับกำลังมองเพชรล้ำค่าที่โลกนี้ไม่มีวันคู่ควร บ่าวรับใช้สาวก้าวเข้ามาอย่างเงียบงันก่อนจะค่อย ๆ จูงมือหลานจิ่วอวิ๋นออกไป เด็กชายหันหลังกลับอีกครั้ง ยิ้มให้ชายลึกลับ
“ข้าจะรอท่านนะขอรับ”
ประตูไม้ปิดลงอย่างช้า ๆ ปล่อยให้ภายในห้องหลงเหลือเพียงสองบุคคลหลานอวี้ซิน และบุรุษในหน้ากาก
หลานอวี้ซินยังคงยิ้ม ยิ้มที่สวยสง่าและเปี่ยมความมั่นใจตามแบบฉบับของสตรีผู้สูงศักดิ์ แต่ภายในใจของนาง... ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบเค้นหัวใจ
นางไม่คาดคิดเลยว่า... ในสถานที่เสื่อมโทรมที่สุดของเมืองหลวงแห่งนี้ จะมี บุคคลระดับนี้ปรากฏตัว และที่สำคัญกว่านั้นเขากลับรู้จักหลานจิ่วอวิ๋น เด็กที่นางคิดว่าไร้คนเหลียวแล และไม่ควรมีใครเห็นค่า
มากกว่านั้น... สายตาของชายผู้นี้ที่มองเด็กน้อยเมื่อครู่ ไม่ใช่เพียงสายตาของผู้ใหญ่ต่อเด็ก แต่คือสายตาที่บ่งบอกถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งเกินจะเข้าใจ
“ท่านผู้นี้… ใช่คนที่พ่อค้าทาสกล่าวถึงหรือไม่?”“หากเป็นเช่นนั้น ข้ายินดียิ่งนักที่ได้พบ”
ชายในหน้ากากยังคงยืนนิ่ง ไม่มีถ้อยคำตอบ ไม่มีท่าทีสั่นไหว แต่ความเงียบของเขากลับกดอากาศในห้องให้หนักอึ้ง ราวกับบรรยากาศก่อนพายุจะกระหน่ำ
ดวงตาใต้หน้ากากเพียงจ้องมองหลานอวี้ซินเนิ่นนานไม่ใช่ด้วยความหลงใหล ไม่ใช่ด้วยความสนใจ แต่เป็นสายตาของคนที่ กำลังวัดว่าอีกฝ่าย... ควรถูกกำจัดหรือไม่หลานอวี้ซินเริ่มสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง เส้นเลือดฝอยในฝ่ามือเริ่มเต้นถี่ แม้ริมฝีปากยังคงยิ้ม แต่ในใจนางเริ่มกรีดร้องอย่างเงียบงัน
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







