เข้าสู่ระบบเมืองหลวง…แม้จะอึกทึกครึกโครมด้วยเสียงผู้คนจอแจแต่ในสายตาของหลานเยว่ กลับแลดูเงียบงันดุจสุสานนางมิได้มาเพื่อชื่นชมความศิวิไลหรือเสน่ห์แห่งความรุ่งเรืองหากแต่ก้าวเข้ามาเพื่อ มองหาโอกาสฝีเท้าของนางมั่นคงและสงบนิ่งขณะสายตากวาดมองสองข้างทางอย่างรอบคอบและเฉียบคมแผงขายขนม ปิ้งย่างเรียงรายส่งกลิ่นหอมเย้ายวนร้านน้ำชาชั้นดีในตรอกแคบคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
แต่ไม่ว่าจะมองที่ใดสิ่งที่หลานเยว่เห็นกลับไม่ใช่เพียงสีสันแห่งชีวิตแต่คือ วิถีแห่งปากท้อง ที่มีมูลค่าซ่อนอยู่
“งานเพาะปลูกงั้นหรือ?” นางแค่นเสียงเบา ๆ ในลำคออย่างเย็นชาเจ้าของร่างเดิมเคยยืนหยัดอยู่กับมันกัดฟันทนในความยากจนจนลมหายใจสุดท้ายหลุดลอย นางที่เป็นถึงอดีตนักฆ่าไม่ว่าจะคิดอย่างไรอาชีพนี้มันก็ไม่เหมาะสมกับนางทันใดนั้นฝีเท้าของนางก็หยุดลงหน้าร้านค้าโอสถแห่งหนึ่งกลิ่นสมุนไพรตลบอบอวลในอากาศตู้ยาสูงเรียงรายด้วยขวดโอสถหลากสี บ้างระบุชื่อ ยาระงับพิษ ยานอนหลับ ยาถอนพิษแต่สิ่งที่สะดุดสายตานางกลับเป็นอีกหมวดหนึ่งพิษร้าย ที่ถูกบรรจุอย่างประณีต พร้อมป้ายราคาอันสูงลิ่ว
ดวงตาของหลานเยว่สว่างวาบริมฝีปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเฉียบดั่งเสือที่พบรอยเหยื่อสำหรับผู้อื่น พิษคือหายนะ แต่สำหรับนางมันคือทองคำในที่สุด…หลังจากเฝ้าสังเกตวิถีชีวิตของผู้คน เดินลัดเลาะไปทั่วเมืองหลวงด้วยสายตาเยียบเย็นหลานเยว่ก็พบคำตอบเส้นทางในการยืนหยัดด้วยสองมือของตน
ไม่ใช่การเพาะปลูก ไม่ใช่การตักน้ำขุดดินหรือทอผ้าเย็บเสื้อแต่คือ... การเป็นผู้รังสรรค์โอสถพิษ
สำหรับคนทั่วไป นั่นอาจเป็นศาสตร์ต้องห้ามแต่นางคืออดีตนักฆ่าผู้เคยพรากชีวิตนับร้อยโดยไร้เสียงกรีดร้องการปรุงพิษสำหรับนาง…มันคือ ศิลปะกลิ่นสมุนไพรในร้านโอสถเมื่อครู่ยังคงติดอยู่ในปลายจมูกมันปลุกบางอย่างในความทรงจำให้ตื่นขึ้นความรู้… เทคนิค… และความแม่นยำที่ฝังลึกในสัญชาตญาณมันยังอยู่…ครบถ้วน ไม่เลือนหาย
"ถึงเวลาแล้ว..." เสียงพึมพำแผ่วเบาหลุดจากริมฝีปากนาง ขณะสายตายังทอดมองไปยังผู้คนในตลาดเมืองหลวงที่ยังคงคึกคัก "หากข้าอยู่ต่อแม้เพียงชั่วยาม...หลานจิ่วอวิ๋นอาจจะรอข้าอย่างกระวนกระวาย" รอยยิ้มอ่อนโยนแตะแต้มบนใบหน้า รอยยิ้มที่นางใช้เวลาหลายเดือนฝึกฝน…เพื่อมอบให้เด็กน้อยเพียงผู้เดียวนางพลิกกายหันหลังกลับอย่างไม่ลังเล
แม้เส้นทางจากเมืองหลวงกลับหมู่บ้านม่อหวนจะคดเคี้ยว ผ่านป่ารกและลาดชันแต่สำหรับหลานเยว่มันไม่ต่างจากลานฝึกฝีมือนางยืนสงบนิ่งอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ก่อนจะค่อย ๆ หลับตา สูดลมหายใจเข้าลึก...
พลังปราณภายในกายหมุนเวียนราวกับกระแสลมอ่อนจากจุดตันเถียนไหลเวียนลงสู่ปลายเท้าเบา…แต่ทรงพลัง
ฝ่าเท้าของนางแตะพื้นอย่างไร้น้ำหนักในชั่วพริบตาเดียว เงาร่างของนางก็ทะยานไปข้างหน้าใบไม้ที่ลอยร่วงยังไม่ทันตกถึงพื้นแต่หลานเยว่กลับพุ่งผ่านมันไปแล้ว
วิชาขั้นต้นแห่งการหลอมรวมปราณกับสัญชาตญาณการสังหาร... สมบูรณ์กว่าที่คิด นางคิดขณะร่างยังเคลื่อนที่ไม่หยุดการเคลื่อนไหวของนางแม่นยำ เงียบงัน และเหนือความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาเพียงไม่กี่ชั่วยามหรืออาจจะเรียกได้ว่า ไม่กี่ลมหายใจภาพของหมู่บ้านม่อหวนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า
แสงตะวันที่เริ่มคล้อยต่ำทาบทาเรือนไม้เก่ากลิ่นข้าวต้มลอยโชยจากครัวใกล้ ๆและเสียงใส ๆ ของเด็กชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นก่อนที่นางจะก้าวถึงลานบ้าน
"ท่านแม่กลับมาแล้ว!" หลานจิ่วอวิ๋นตะโกนอย่างดีใจ ก่อนจะวิ่งถลาเข้ามากอดนางแน่นหลานเยว่ยืนนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก ๆ อย่างแผ่วเบารอยยิ้มบนใบหน้าของนางในยามนี้หาใช่เพียงการแสดง…แต่มันมีบางสิ่งแทรกซึมอยู่จริง ๆบางสิ่งที่เรียกว่าการกลับบ้าน
หลานเยว่ยืนอยู่ริมหน้าต่างของบ้านไม้หลังเล็กสายตาเหม่อมองไกลออกไปยังขอบฟ้าที่ถูกย้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นภายในดวงตาที่ดูสงบนิ่งนั้น… กลับซ่อนแววแน่วแน่ไว้อย่างลึกล้ำนางตัดสินใจแล้ว
ว่าจะพาลูกชาย…ออกไปจากที่นี่ แม้หมู่บ้านม่อหวนจะเต็มไปด้วยผู้คนจิตใจดีแต่ความทุรกันดาร ความยากแค้น และความลำบากในชีวิตประจำวันล้วนเป็นพันธนาการที่นางไม่ต้องการให้หลานจิ่วอวิ๋นแบกรับเด็กชายตัวน้อยผู้บริสุทธิ์... สมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้นางจะหาเงินสักก้อนหนึ่งมากพอสำหรับการตั้งหลักในเมืองหลวงมากพอที่จะซื้อบ้านเล็ก ๆ ร้านค้าสักแห่ง และชีวิตใหม่ให้กับเขาชีวิตที่ไม่ต้องเร่ร่อน... ไม่ต้องสู้เพื่ออยู่รอดชีวิตที่เต็มไปด้วยโอกาส... ไม่ใช่ความลำบากที่กัดกินจิตใจ
สำหรับหลานเยว่ นางไม่เคยต้องการสิ่งใดเพื่อ ตัวเองแต่ในตอนนี้นางอยากได้ทุกสิ่ง...เพื่อลูกชายเพียงคนเดียวของนาง
ภายในกระท่อมไม้หลังเล็ก แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันสะท้อนประกายวาวในขวดแก้วหลากสีหลานเยว่นั่งนิ่งอยู่กลางห้อง มือเรียวของนางกำลังควบแน่นพลังปราณลงบนปลายนิ้วอย่างมั่นคงแผ่นสมุนไพรที่บดละเอียดแล้วกำลังถูกสกัดอย่างพิถีพิถัน ภายใต้กระบวนการที่ไม่มีใครลอกเลียนได้
พลังปราณ... ที่วันหนึ่งเคยถูกมองว่าพิการในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหัวใจหลักในการสังเคราะห์พิษร้ายและโอสถวิเศษความบริสุทธิ์ของธาตุและความเข้มข้นของตัวยาล้วนเหนือกว่าผลงานของนักปรุงโอสถคนใด
สมุนไพรทั้งหลาย นางเพียงแค่เก็บมาจากป่าใกล้หุบเขาหลังหมู่บ้านแต่เมื่อผ่านฝ่ามือของนาง... ทุกใบ ทุกราก ล้วนกลายเป็นอาวุธที่สามารถคร่าชีวิตหรือชุบชีวิตได้ในพริบตา
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ในยามเช้าของวันที่ฟ้าเปิดสตรีลึกลับผู้หนึ่งสวมผ้าคลุมยาวปกปิดรูปลักษณ์ได้อย่างมิดชิดยืนอยู่หน้าร้านโอสถใหญ่กลางเมืองหลวงเมื่อเจ้าของร้านเปิดขวดตัวอย่างเพียงหนึ่งขวดกลิ่นบางเบา... แต่เย็นเยียบ ราวกับมีพยัคฆ์เงาแผ่กลิ่นสังหารพุ่งออกมามือของเจ้าของร้านถึงกับสั่นระริก
“เจ้า…เจ้านี่มัน…” เขาอ้าปากอย่างตกตะลึง ลมหายใจสะดุดไปครู่หนึ่ง
พิษในขวดนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไป แม้แต่ในตลาดมืดของเมืองหลวงมันบริสุทธิ์ รุนแรง และนิ่งสงบอย่างน่าขนลุก ราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมสังหารในความเงียบหญิงสาวในผ้าคลุมกล่าวเสียงเรียบเย็น
“ข้ามีอีกหลายสิบขวด... เจ้าจะซื้อหรือไม่?”
เจ้าของร้านแทบไม่ลังเล รีบโค้งศีรษะต่ำด้วยความเร่งร้อน
“ข้า...ข้าต้องการทั้งหมด!”เขารีบกล่าวอย่างหวาดหวั่น ราวกับเกรงว่าสตรีปริศนาจะเปลี่ยนใจแล้วจากไป
พิษที่หลานเยว่รังสรรค์ขึ้น…มิใช่เพียงตัวยา หากแต่เป็น พลังทำลายล้างราวกับมีวิญญาณแห่งความตายสิงสู่อยู่ภายใน
แม้พิษเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อสังหารแม้ใครบางคนจะดับสิ้นลมหายใจเพราะพิษนี้ก็ไม่มีแม้ความสะทกสะท้านในดวงตาของนาง ไม่มีเสียงสะอื้นจากมโนธรรมเพราะนางคือ มือสังหารผู้ไร้หัวใจ
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







