เข้าสู่ระบบมือของนางเพิ่งเปื้อนเลือด… เลือดของกากเดนในคราบมนุษย์ทั้งห้า ทว่าบนใบหน้า…กลับแต้มรอยยิ้มบางเบา ราวกับผู้เพิ่งได้รับของขวัญล้ำค่าหลานเยว่จดจำการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าอย่างละเอียดมุมปากควรยกเพียงใด แววตาควรนุ่มเพียงไหน จึงจะเรียกว่า รอยยิ้มที่อบอุ่น คนพวกนี้ แม้ไร้ค่าในฐานะมนุษย์…แต่สำหรับเธอ พวกมันกลับมีคุณประโยชน์มหาศาลเพราะเป็น กระจก ที่สะท้อนกลับมาให้เธอเห็นว่า…รอยยิ้มของเธอในยามนี้ ดูอ่อนโยนแล้วหรือยัง
การพรากลมหายใจของพวกมัน ไม่ได้สร้างแรงสะเทือนใด ๆ ในใจของนาง ไม่มีความสำนึกผิด ไม่มีแม้แต่ความสงสารเพราะนี่…คือ ตัวตนที่แท้จริงของนาง
แสงแดดอุ่นยามสายสาดทาบบนพื้นใบไม้ ราวกับเป็นม่านแสงที่คอยกรองโลกให้ดูละมุนขึ้นร่างบางเคลื่อนไหวอย่างสงบเยือกเย็นจนกระทั่ง… เสียงล้อเกวียนและฝีเท้าม้ามาแต่ไกลรถม้าคันหนึ่งสวนทางมา เป็นชายชราและหลานสาวนั่งโดยสารอยู่ชายสูงวัยชะลอรถม้าเมื่อเห็นสตรีเดินลำพัง
“สาวน้อย… เดินคนเดียวแบบนี้ อันตรายนักนะ” เขาพูดด้วยความหวังดี น้ำเสียงแฝงความห่วงใยหลานเยว่หันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มสดใส… เรียบง่าย… แต่ผ่านการฝึกฝน“ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วง ข้าดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนราวสายน้ำไหลเอื่อย ชายชรายิ้มตอบ แต่ในแววตายังคงมีประกายเป็นห่วงหลงเหลือ เด็กสาวที่นั่งอยู่บนรถม้าหลานสาวของเขายิ้มแย้มแจ่มใสเธอฮัมเพลงเบา ๆ อย่างไร้เดียงสา โลกของเธอดูสงบเกินกว่าจะรู้ว่ามีมัจจุราชเดินสวนมา
หลานเยว่ยืนมองรถม้าที่เคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบ ๆ จากนั้น… นางลองยกมุมปากรอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเย็นชานางพยายามเลียนแบบรอยยิ้มของเด็กสาวเมื่อครู่
“แบบนี้… หลานจิ่วอวิ๋นจะชอบไหมนะ” เสียงพึมพำเบา ๆ หลุดจากริมฝีปากระหว่างเส้นทางที่ทอดผ่านหุบเขาและทุ่งหญ้าเสียงฝีเท้าของผู้คนที่สัญจรไปมา แต่สิ่งที่สะดุดตาทุกสายตา…กลับไม่ใช่ทิวทัศน์ หรือท้องฟ้าแจ่มใสหากเป็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งผู้เปล่งประกายดั่งบุปผาที่ผลิบานอยู่กลางทางเปลี่ยว
เหล่านักเดินทางที่เดินสวนทาง ต่างพากันหันหลังกลับไปมองบางคนหยุดฝีเท้า บางคนกระซิบกันเบา ๆ“นางคือใคร?”“เหตุใดถึงงามถึงเพียงนี้…”
หลานเยว่… เดินอย่างสงบ ราวกับไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ริมฝีปากของนางมีรอยยิ้มอ่อน ๆ แต้มไว้เสียงฮัมเพลงเบา ๆ ของนาง แผ่วผ่านอากาศดุจเสียงสายลมขับกล่อมราวกับว่าเธอคือหญิงสาวผู้ไร้เดียงสา ผู้ไม่รู้เลยว่าหนทางข้างหน้านั้น… แฝงไว้ด้วยอันตรายมากมายเพียงใด
แต่ใครจะรู้ว่ารอยยิ้มที่พวกเขาชื่นชมและเสียงเพลงที่พวกเขาหลงใหลต่างถูกกลั่นออกมาจากหัวใจของนักฆ่า…ผู้ไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียวที่จะปลิดชีพหากมีผู้ใดล่วงล้ำ
เวลาไม่นานนัก หลานเยว่ก็มาถึงเมืองหลวงกำแพงขนาดยักษ์ทอดตัวยาวสุดสายตาทหารยามสวมชุดเกราะยืนเฝ้าแน่นหนาผู้ใดจะผ่านประตูเมือง… ล้วนต้องผ่านการตรวจสอบโดยละเอียดแต่เมื่อเธอเข้าใกล้ร่างบางในชุดเรียบง่าย กลับดึงดูดสายตาแม้ไม่มีอาภรณ์หรูหรา แต่ความสง่างามของนางกลับเปล่งประกายเหนือสิ่งอื่นใดราวกับกลีบบุปผาแรกแย้มท่ามกลางพายุฝุ่น
ทหารยามผู้หนึ่งมองนางแล้วชะงักดวงตาเบิกขึ้นราวกับเห็นวิญญาณจากอดีต“เชิญ…”เขาพูดเพียงคำเดียว ก่อนจะเปิดทางให้นางผ่านโดยไม่แม้แต่เอ่ยถามชื่อ หรือแตะต้องสัมภาระ
“เฮ้! เจ้าทำบ้าอะไร?! ทำไมไม่ตรวจค้น?”เสียงตำหนิดังจากเพื่อนทหารอีกคนที่ยืนข้างกัน“ต่อให้นางเป็นแค่หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ก็ต้องตรวจ นี่มันกฎ!”
ชายคนนั้นเงียบไปครู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา… ทว่าหนักแน่น“นางคือคุณหนูหลานเยว่… บุตรสาวของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน” เสียงราวฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ
“ว่าอะไรนะ… เจ้าพูดว่าเป็นนาง จริงรึ?” ชื่อหลานเยว่ไม่ได้ทำให้ผู้คนคิดถึงความสามารถหากแต่เป็น คำครหา ที่เกาะติดมานานหญิงไร้ค่า ที่มีดีแค่เพียงความงาม
“ข้าคิดว่า… ท่านแม่ทัพสมควรได้รับรู้เรื่องนี้” เขาเฝ้ามองเงาหลังของหญิงสาวที่เพิ่งก้าวลับผ่านประตูเมืองไป… รอยยิ้มของนางยังแจ่มชัดอยู่ในห้วงตาไม่ใช่เพราะความงามของนาง...แต่เพราะ นางคือคนที่ไม่ควรจะมีตัวตนอีกแล้วนาง... คือคุณหนูหลานเยว่ ผู้ที่โลกภายนอกเชื่อว่า สาบสูญ ไปนานถึงห้าปีเต็ม
แม้นางจะเคยเป็นเพียงบุตรสาวผู้ไร้ค่าในสายตาผู้คนแม้นามของนางจะถูกลบเลือนจากบทสนทนาในตระกูลอย่างตั้งใจแต่สำหรับเขา... นางยังคงเป็นสายเลือดของตระกูลหลานสายเลือดของท่านแม่ทัพหลานซือเหยียน
ข่าวสารถูกส่งตรงถึง จวนแม่ทัพหลานซือเหยียน โดยมิปล่อยให้แม้เพียงแสงแดดคล้อยผ่านหัววันภายในห้องโถงกว้าง ชายผู้มีร่างกายสูงใหญ่ดั่งพยัคฆ์เหล็กนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้แดง ดวงตาของเขาลึก… หนักแน่น และไม่เปิดเผยสิ่งใดต่อภายนอกแม้จะล่วงเข้าสู่วัยกลางคน แต่รูปลักษณ์ของหลานซือเหยียนยังคงเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีแม้ร่องรอยแห่งกาลเวลาจะประดับอยู่ตามข้างขมับแต่เพียงแววตาของเขาก็เพียงพอจะทำให้เหล่าขุนนางต้องเบี่ยงหน้า
เมื่อข้ารับใช้รายงานว่า“นาง... กลับมาแล้ว บุตรสาวของท่าน ปรากฏตัวที่ประตูเมือง”
เสียงนั้นขาดหายเมื่อชายตรงหน้ายกมือขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงห้าม… และจบไม่มีแม้กระทั่งคำถามต่อจากปากของเขาไม่มีความตื่นเต้น ไม่ใคร่รู้ มีเพียงคำสั่งเดียวที่หลุดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ ราวกับสั่งถอนหายใจจากสรรพสิ่งทั้งปวง
“เจ้าออกไปได้...”
ข้ารับใช้ผงะเล็กน้อย ก่อนรีบค้อมศีรษะแล้วถอยจากห้องโถงไปอย่างเงียบงันเมื่อความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง บรรยากาศในห้องเหมือนหนักขึ้นจนแทบหายใจไม่ออกหลานซือเหยียนหลุบตามองแก้วน้ำชาที่วางอยู่ข้างมือสายน้ำสะท้อนใบหน้าของตนเอง... สงบนิ่ง แต่เย็นชา “ห้าปี…” เขาพึมพำ “…ห้าปีที่ข้าลืมนางไปแล้ว”
ดวงตาคมกริบของเขาปิดลงอย่างเชื่องช้า ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง…ในแววตานั้นปรากฏเงารอยบางอย่างไม่อาจเรียกได้ว่า ความรู้สึกและก็ไม่อาจแน่ชัดว่าเป็น ความว่างเปล่า
“ลูกไม่รักดี… จะกลับมาทำให้ชื่อของตระกูลหลานแปดเปื้อนใช่หรือไม่…”
คำพูดแผ่วเบา หลุดออกมาจากริมฝีปากไม่ใช่ด้วยความโกรธเกรี้ยว หากแต่เป็นเสียงสะท้อนที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันราวกับต้องการขับไล่เงาอดีตที่ไม่เคยเลือนหายไปจริงชายผู้ครองยศแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทำให้ศัตรูครั่นคร้ามด้วยเพียงหนึ่งกระบวนทัพกลับไม่สามารถ ยกโทษให้สายเลือดของตนเอง
ถึงแม้เขาจะไร้หัวใจแค่ไหนแต่เขาก็ยังไม่ อำมหิต ถึงเพียงนั้น…ที่คิดจะสังหารลูกของตัวเอง
“ต่อให้นางไร้ค่าสักเพียงใด…โลหิตของนาง… ก็คือโลหิตของข้า”
เสียงสุดท้ายหลุดออกมาแผ่วเบาแทบไม่ต่างจากเสียงถอนหายใจสายตาของเขาเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหันกลับไปมองโต๊ะเอกสารตรงหน้าอีกครั้งอย่างเรียบเฉยราวกับไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้น
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ




![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [นางร้าย]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


