Masukยามอาทิตย์คล้อยต่ำ แสงสีส้มทองทอดผ่านกำแพงจวนหลาน หลอมรวมกับเงาไม้ให้บรรยากาศแลดูสงบเงียบ...จนเงียบเกินไป ราวกับเป็นการอำพรางพายุที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าาอย่างเงียบงันเสียงล้อเกี้ยวทองหยุดลงหน้าประตู เสียงฝีเท้าที่แม้เบาแต่มั่นคง ดังสะท้อนเข้ามาในเรือน พร้อมกลิ่นเครื่องหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ประตูไม้ถูกผลักออกช้า ๆ ก่อนร่างหนึ่งจะก้าวข้ามธรณีเข้ามาหลี่เถี่ยนกวง ขันทีใหญ่แห่งราชสำนัก ผู้ที่แม้ไม่มียศทหาร ไม่สวมชุดขุนนาง กลับทำให้บ่าวไพร่ทั้งจวนต้องรีบหลบตาและก้มหน้าลงโดยไม่ต้องมีใครสั่ง
ชุดแพรไหมสีม่วงเข้มลายมังกรในม่านเมฆเปล่งประกายเรืองรองในแสงอาทิตย์ยามเย็น ใบหน้าเรียบเนียนขาวซีดปราศจากหนวดเครา ริมฝีปากแต้มรอยยิ้มบางที่ยากจะบอกได้ว่าเป็นมิตรแท้ หรืออสรพิษในคราบผ้าไหม
แม่ทัพหลานซือเหยียนซึ่งขณะนั้นกำลังชงชาให้หลานชาย หันกลับมาช้า ๆ แววตาที่เคยมั่นคงสั่นไหวเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะปรับสีหน้าให้สงบนิ่งดังเดิม
“ท่านหลี่…ข้ามิคิดเลยว่าจะได้รับเกียรติจากท่านถึงเรือนหลังเล็กนี้” เสียงเขานิ่งเรียบ แต่ในอกกลับคล้ายมีก้อนน้ำแข็งวางทับอยู่แน่นขันทีใหญ่หัวเราะเบา ๆ อย่างสุภาพ ทว่าทุกถ้อยคำกลับเปี่ยมด้วยแรงกดดันที่มองไม่เห็น“เรือนนี้หรือ…ข้าเฝ้ามองมานานแล้ว” สายตาเขากวาดมองร่างของแม่ทัพอย่างเปิดเผย ดวงตาวาววับเหมือนนักสะสมที่พบของล้ำค่า
“แสงเย็นกำลังงดงาม...เหมาะนักกับการดื่มชาสักถ้วย พร้อมสนทนากับบุรุษที่ข้าชื่นชม” เสียงนั้นคล้ายคำชม แต่กลับเจือกลิ่นความต้องการที่รุกเร้าเกินขอบเขตของคำว่ามารยาท แม่ทัพหลานซือเหยียนนิ่งครู่หนึ่ง แผ่นหลังตึงเครียด แววตาอ่านสถานการณ์ราวกับอยู่กลางสนามรบ
“ข้าเกรงว่า…ข้าไม่คู่ควรจะรบกวนเวลาอันสูงค่าของท่าน” เขาตอบอย่างสุภาพแต่ชัดเจน
ขันทีใหญ่ยิ้มรับ “อย่าถ่อมตัวนักเลย…แม่ทัพหลาน ใต้หล้านี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายนัก ผู้ที่สง่างามทั้งยามชูดาบ…และยามวางดาบลง”
ถ้อยคำอ่อนโยนนั้น แฝงความหมายที่แทงลึกเกินกว่าเปลือกเสียง ราวกับสายลมหอมที่ซ่อนเข็มพิษเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ขึ้นใกล้เกินขอบเขตแห่งความสุภาพแม่ทัพหลานซือเหยียนขยับตัวเล็กน้อยโดยไม่ทันรู้ตัวสัญชาตญาณนักรบตื่นตัว เขารู้ดี ศัตรูตรงหน้ามิใช่ใช้ดาบ...แต่ใช้ อำนาจขันทีใหญ่อยู่ห่างเพียงหนึ่งช่วงลมหายใจเขาเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น“ในราชสำนักนี้…คนที่ข้าปรานี ไม่มีวันตกต่ำ”“แม่ทัพ นายกองมากหน้าหลายตา…ต่างยินดีถวายทั้งใจและกายให้ข้าโดยไม่แม้ต้องเอ่ยปากขอ”
เขากล่าวพลางทอดสายตาต่ำลง ละเอียดชัดเจนราวกับกำลังประเมินราคาอัญมณีหายาก รอยยิ้มบางเยือกเย็นปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก “ทว่าท่าน…กลับดื้อดึงนัก ข้ายิ่งชื่นชม”
ยังไม่ทันจบประโยค เสียงของแม่ทัพหลานซือเหยียนก็พุ่งแทรกเข้ามาด้วยความกร้าวกระด้าง
“อย่าได้เอาข้าไปเปรียบกับหมาที่วิ่งไล้เลียบาทเพียงเพื่อเศษกระดูก!”
น้ำเสียงเขากระแทกกลางอากาศดังปานฟ้าผ่า กลบทุกเสียงภายในเรือน
“หากชีวิตนี้ต้องแลกศักดิ์ศรีกับความก้าวหน้า...ข้ายอมเป็นเพียงเงาในเรือนเก่า ดีกว่ายืนอยู่บนหอสูงที่เปื้อนคราบราคะของเจ้า!” คำพูดนั้นเสียดแทงลึก ราวกับตบกลางหน้าหลี่เถี่ยนกวงยังยืนนิ่ง ใบหน้าไม่สะท้าน แต่ในแววตาฉายประกายมืดวาบขึ้นชั่ววูบหนึ่งความเงียบปกคลุมก่อนที่ขันทีใหญ่จะหัวเราะเบา ๆ พร้อมหมุนกายกลับอย่างสง่างามแต่เพียงครู่เดียว ก่อนเท้าจะก้าวข้ามธรณีประตู เขาหยุด และกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่ว…แต่เปี่ยมด้วยอันตราย
“ข้าจะจำคำพูดของท่านไว้ให้แม่น...เพราะผู้ที่กล้าปฏิเสธข้า…มักจบด้วยชะตาที่ใคร ๆ ล้วนจำได้ไม่ลืม” จากนั้น ร่างของ หลี่เถี่ยนกวงจึงก้าวจากไปเหลือไว้เพียงลมหายใจที่ติดขัด...และเงาอำนาจที่มืดคลืนนอกประตู
เช้าตรู่วันถัดมา แสงแรกของอรุณยังแทบไม่ทันแทรกผ่านหมอกจาง เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้นที่หน้าจวนหลานซือเหยียน บ่าวไพร่วิ่งวุ่นด้วยสีหน้าวิตก ขณะที่ชายเจ้าของเรือนยังคงอยู่ในชุดคลุมเรียบง่าย เขาเดินออกมาช้า ๆ พร้อมแววตาแน่นิ่ง แต่ลึกในใจกลับเต้นระรัวอย่างไม่อาจควบคุม
“มีราชโองการ...ให้ท่านแม่ทัพหลานซือเหยียนเข้าเฝ้าโดยด่วน!” เสียงผู้นำสารกล่าวอย่างแข็งกร้าว แม้จะไม่ใช่เสียงของขันทีใหญ่หลี่เถี่ยนกวง แต่เพียงชื่อของบุคคลผู้นั้น...ก็คล้ายจะปรากฏอยู่ในเงาเบื้องหลังทุกถ้อยคำอยู่แล้ว
หลานซือเหยียนพยักหน้าเบา ๆ ไม่กล่าวอันใด เขาสวมอาภรณ์ทหารอย่างเรียบง่ายก่อนจะเดินออกจากเรือน
ภายในท้องพระโรง ณ ใจกลางราชสำนัก แผ่นกระดานทองทอดยาวใต้ฝ่าเท้าขุนนาง ผ้าม่านไหมสะท้อนแสงอรุณพาดผ่านปลายเสา เสียงสนทนาเงียบลงทันทีเมื่อหลานซือเหยียนปรากฏตัว ร่างสูงตรงดิ่งไปยังกลางห้องค้อมศีรษะลงอย่างนอบน้อมต่อเบื้องหน้าพระที่นั่งฮ่องเต้หนุ่มทอดพระเนตรเขาอย่างพินิจ ดวงเนตรแม้สงบนิ่งแต่กลับมีแววลังเลแฝงอยู่
“แม่ทัพหลาน…”“ราชสำนักมีมติเอกฉันท์ ให้ท่านเป็นผู้นำทัพออกไปปราบกลุ่มกบฏ”
คำประกาศนั้นเรียบง่าย แต่ทุกถ้อยคำกลับหนักอึ้งราวภูเขาทั้งลูกตกลงกลางอกแม่ทัพ เหล่าขุนนางบางคนหลุบตาลง บ้างก็กระซิบอย่างเงียบงัน แต่สายตาเพียงคู่เดียวที่มองมาโดยไม่ปิดบังเจตนาใดคือสายตาของ หลี่เถี่ยนกวงขันทีใหญ่ยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง แม้ไร้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่กลับอยู่สูงกว่าเสนาบดีหลายคน แววตาของเขาทอดมองมาราวกับจะกล่าวว่า “ข้าพูดแล้วใช่หรือไม่…ว่าเจ้า จะต้องจำคำข้าไปจนวันตาย”
หลานซือเหยียนก้มศีรษะลงอีกครั้ง แต่สายตายังคงจับจ้องพื้นอย่างหนักแน่น
“กระหม่อมรับพระบัญชา…”
เขากล่าวโดยไร้แววปฏิเสธ เพราะเขารู้ดีหน้าฉากคือภารกิจของแผ่นดิน แต่เบื้องหลังนั้น…คือกลอุบายของขันทีผู้มักมากในอำนาจ ผู้ไม่อาจทนต่อการถูกปฏิเสธได้
ยามเช้าใต้ฟ้าสาง เสียงกลองศึกดังก้องสนั่นไปทั่วลาน เหล่าทหารนับพันยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ ดวงตาเต็มไปด้วยแรงศรัทธาและความมุ่งมั่น ชุดเกราะวาววับรับแสงอรุณแรกของวัน อากาศในเช้าวันนั้นเย็นจัด แต่แรงกล้าของแม่ทัพหลานซือเหยียนกลับทำให้ทุกลมหายใจอบอุ่นด้วยไฟแห่งศึกที่ใกล้เข้ามา
แม่ทัพหลานซือเหยียนยืนอยู่เบื้องหน้ากองพลในชุดเกราะพิธี แววตาแม้ยังแน่วแน่และทรงอำนาจเช่นเดิม แต่กลับมีเงาร่วงโรยบาง ๆ ซ่อนอยู่ลึกในดวงตา มือข้างหนึ่งของเขาลูบด้ามดาบที่ครั้งหนึ่งเคยถือไว้ด้วยมือที่มั่นคงแต่ตอนนี้กลับสั่นน้อย ๆ ด้วยความเหนื่อยล้าที่ไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก
เบื้องหลังเขา ไกลออกไปจากกองทหารชุดเกราะ มีอีกกลุ่มหนึ่งที่ยืนนิ่งเงียบราวกับภูตในเงาคือเหล่ามือสังหารชุดดำ ผู้เคลื่อนไหวราวกับไม่มีตัวตน ที่ติดตามมาพร้อมหลานเยว่หญิงสาวผู้มากับความตาย
"หากเจ้าไม่มา...ตระกูลหลานอาจสูญสิ้นทั้งตระกูล" ถ้อยคำที่เปล่งออกจากริมฝีปากของหลานซือเหยียน แม้จะเบา แต่หนักแน่นดั่งขุนเขาในแววตาของชายผู้ผ่านศึกนับไม่ถ้วน ไม่มีร่องรอยแห่งความหวาดหวั่นใดหลงเหลือ มีเพียงความแจ่มชัดจากประสบการณ์ที่เข้าใจดีถึงเล่ห์เหลี่ยมของโลกโดยเฉพาะโลกที่ชื่อว่า ราชสำนัก
"ข้าไม่ได้กลัวตาย" เขาเอ่ยเสียงเรียบ แผ่วต่ำ"แต่ตราบใดที่ข้ายังมีลมหายใจ...ชื่อของหลานซือเหยียน ยังเพียงพอจะทำให้พวกที่คิดกล้ำกรายตระกูลเราต้องหยุดคิด"
หลานเยว่ หญิงสาวผู้แบกหัวใจที่เย็นชาราวน้ำแข็งเธอ ไม่ใช่นายทหาร หากแต่คือ มือสังหาร ในเงามืดผู้ที่คุ้นชินกับกลิ่นคาวโลหิตยิ่งกว่าเสียงโห่ร้องในสนามรบเธอไม่เคยยอมใคร...และไม่เคยยอมแม้แต่โลก
แต่หลานซือเหยียนรู้ดีในใต้หล้านี้ มีเพียงคน ๆ เดียวที่เขาสามารถฝากความหวังไว้ได้ไม่ใช่เพราะความรัก...หากแต่เพราะความ แข็งแกร่งในยามที่เขาจับดาบได้ไม่มั่นคงเหมือนเก่าเขาจึงต้องพึ่งพานาง…แม้นางจะเคยเกลียดเขาจนไม่อยากเอ่ยนามเดียวกัน
และหลานเยว่...แม้จะไม่ต้องการศึก ไม่ปรารถนาอำนาจแต่ในใจลึกสุดของนาง นางเพียงต้องการ ความสงบนางต้องการเพียงที่แห่งหนึ่ง ที่ลูกของนาง หลานจิ่วอวิ๋น จะเติบโตโดยไม่มีใครแตะต้อง
หากการยื่นมือเข้าช่วยบิดา...คือราคาของความสงบในอนาคตนางก็ยินดีแลกมันไม่ใช่เพื่อตระกูลหลานไม่ใช่เพื่อบิดาผู้ไร้หัวใจแต่เพื่อ...เด็กชายผู้เดียวแสงสว่างเดียวในชีวิตที่มีแต่เงามืดของนาง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปสิบสี่ปี… ชื่อเสียงของ นักฆ่าไร้นาม ค่อย ๆ กลายเป็นเพียงตำนานเล่าขานในหมู่ผู้คน ถึงแม้ในโลกมืดจะยังมีใบสั่งตายมากมาย แต่ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขาออกมาเคลื่อนไหวอีก ราวกับได้หายลับไปจากยุทธภพ เหลือเพียงความเงียบงันที่แฝงไว้ด้วยปริศนาในเวลานี้ ภายในจวนตระกูลซู กลิ่นหอมอ่อนของชาอบอวลอยู่ในห้องโถง หลานเยว่ วัยสี่สิบปี นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องกระทบเรือนผมดำขลับที่ยังคงเงางาม ความงดงามของนางหาได้ลดทอนลงตามกาลเวลา หากแต่เพิ่มพูนด้วยเสน่ห์อันสงบเย็นและน่าเกรงขาม นางหันไปถามสามีด้วยเสียงอ่อนโยน แฝงด้วยความเย็นชาที่ไม่เคยเลือนหายไป“ท่านพี่… หลานจิ่วอวิ๋น ลูกของเราไปที่ใด?”คำถามของนางเหมือนหยดน้ำเย็นไหลผ่านกลางอก ซูจิ่งหลง ชายวัยหกสิบกว่า ที่แม้ร่างกายจะผ่านศึกและกาลเวลามานับไม่ถ้วน แต่ความสง่างามและอำนาจในแววตายังคงไม่เสื่อมคลาย เขายกยิ้มบาง ๆ ตอบเสียงนุ่ม แต่แฝงความเกรงใจ“เจ้าจะไปห่วงทำไมกัน… บัดนี้หลานจิ่วอวิ๋นเติบใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กตัวน้อยอีกต่อไป”สายตาของ หลานเยว่ หันมาสบเขา ดวงตาคู่นั้นนิ่งสนิทและเย็นชา ราวกับคมดาบที่ซ่อนอยู่ใต้ฝัก คำตอบนั้นไม่ใช่สิ่งท
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านซุ้มศาลาริมน้ำ เงาไม้ไหวระริกตามแรงลมเย็น เสียงน้ำกระทบฝั่งดังแผ่วเบา บรรยากาศรอบกายดูสงบสุขราวกับไม่มีคลื่นลมใด ๆ เคยเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ซูจิ่งหลงนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่รู้จักเบื่อ หลานเยว่ ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย มือเรียวยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ่อนช้อย แววตาเย็นชาไร้อารมณ์ ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงผู้นี้…ไม่เพียงแต่เป็นมือสังหาร แต่ราวกับเป็นผู้ชี้ขาดโชคชะตาของผู้คนเพียงแค่ปรายตามอง นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองเสมอไป เพียงกำหนดเส้นทางให้ เรื่องราวก็จะดำเนินไปอย่างที่นางปรารถนาชายหนุ่มพยายามสลัดภาพชะตากรรมอันน่าสมเพชของจ้าวหย่งหยูออกจากใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสะท้านทั้งจากความโหดเหี้ยมของฟ้า และจากสตรีผู้ลึกลับตรงหน้า“เจ้ามองอะไร” เสียงของนางดังขึ้นเรียบเย็น แต่กลับกระทบเข้ากลางใจเขาราวกับใบมีดบางเฉียบซูจิ่งหลงสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบยกยิ้มประดับใบหน้า พยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่าน “เปล่า… ข้าเพียงแค่รู้สึกดีที่มีเจ้าอยู่เคียงข้างเท่านั้น”รอยยิ้มของเขาดูจริงใจ แต่ดวงตากลับซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิดหลานเยว่ไม่กล่าวสิ่งใด นางเพียงวางถ้วยชาลงบนโ
แรกเริ่ม จ้าวหย่งหยู ยังยกยิ้มเยาะบนใบหน้า มันแสดงสีหน้าถือดีนักที่ได้เห็นอดีตบ่าวรับใช้ทำตัวราวกับสุนัขเชื่อง ๆ ยอมหมอบคลานต่อหน้า ทว่ากาลเวลาไม่เคยเข้าข้างใคร การรอคอยที่เนิ่นนานเกินไปกลับค่อย ๆ เผาอารมณ์อันบิดเบี้ยวของมันให้พลุ่งพล่านมันมาถึงตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปลี่ยนสี จนบัดนี้ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ คล้อยต่ำใกล้ตกดินแล้ว แต่เงาของเจ้าขี้ข้าก็ยังไม่กลับออกมาเสียที ใบหน้าที่เหยียดหยามในคราแรกจึงค่อย ๆ กลายเป็นความบิดเบี้ยวทั้งโกรธเกรี้ยวและน่าสมเพชเจ้าง่อยตะเบ็งเสียงพร่าหอบ ริมฝีปากสั่นกระตุก น้ำลายเหนียวไหลเลอะเป็นทาง“แค่กกก… อ่อกกก… เจ้า…เจ้าขี้-ชะ-ชั้นต่ำ! กล้าาา…ปล่อยให้ข้า…รอออ…นานถึงเพียงนี้เรอะะะ! ขะ-ข้ามาตั้งแต่ฟ้าา…ยังไม่ทันเปลี่ยนสี…จนตะวัน…จวนจะตกแล้ววว!”เสียงโวยวายแตกพร่า แผดก้องไปทั่วหน้าประตู ราวกับเด็กร่างพิการเอาแต่ใจในสลัมผู้ไม่รู้จักคำว่าอดทนหรือศักดิ์ศรีไม่นานนัก ประตูไม้เก่าโทรมค่อย ๆ ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดแล้วเปิดออกอย่างเชื่องช้า คล้ายเจตนาแอบทดสอบความอดกลั้นของนายเก่า อดีตบ่าวโค้งตัวลง น้ำเสียงราบเรียบคล้ายไร้เดียงสา“ขออภัยด้วยขอรับ… มันเป็นเพราะเรือนข้ารกและสกปรกมากเก
สำหรับบางคน…ความตายอาจเป็นเพียงการปลดปล่อย แต่สำหรับจ้าวหย่งหยู เศษเดนในร่างพิการผู้นี้ มันไม่ควรมีจุดจบที่เรียบง่ายถึงเพียงนั้นชีวิตของมันเต็มไปด้วยมลทินที่แม้ตัวมันเองยังจำไม่ได้ว่าก่อกรรมชั่วกับใครไปมากเท่าไรแล้วเคยสั่งลูกน้องรุมซ้อมบัณฑิตผู้ใฝ่ดีจนพิการ เพียงเพราะริษยาที่อีกฝ่ายมีสติปัญญาดีมากกว่าตนเคยฉุดคร่าสตรีงามที่สะดุดตา ไม่สนใจว่านางมีครอบครัวหรือฐานะเช่นไรเคยเหยียบย่ำชีวิตผู้คนจนพังพินาศนับครั้งไม่ถ้วนเพราะบารมีและอำนาจของบิดาอย่าง อัครเสนาบดีจ้าวเจี้ยนกั๋ว ที่คอยปกปิด เก็บกวาด และอุ้มชู ทำให้มันยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้จนถึงวันนี้แต่เมื่อเสาหลักล้มลงแล้ว โลกทั้งใบของมันก็ดิ่งลงเหวอย่างไร้ทางหนีค่ำคืนหนึ่ง ร่างพิการที่นั่งค่อมบนรถเข็นเก่า ๆ จมอยู่ในความมืด ดวงตาขุ่นหมองฉายแววโหยหวน น้ำเสียงแหบพร่าเล็ดลอดออกมาพร้อมหยาดน้ำตา“ท่ะ…ท่านพ่อ… ข้า…คึ-คิดถึงท่าน… เหลือเกิน…”เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของนายน้อยผู้เคยอหังการ แต่คือเสียงสะอื้นของเศษมนุษย์ที่ไร้ที่พึ่งตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่มีแม้แต่อาหารสักคำตกถึงปาก ความหิวกัดกินจนท้องไส้บิดเกร็ง แต่ถึงกระนั้น จ้าวหย่งหยู ก็ยังยึดมั่นในศักดิ์
ภายในจวนร้างที่เงียบงัน เสียงล้อรถเข็นยังคงเสียดสีพื้นหินดังเอี๊ยดอ๊าดไม่ขาดสาย จ้าวหย่งหยู เข็นตัวเองไปอย่างทุลักทุเล ใบหน้าบิดเบี้ยวชุ่มไปด้วยน้ำตาและน้ำลายที่ไหลยืดเลอะเปรอะคาง ร่างพิการสั่นเทาคล้ายจะล้มพังได้ทุกเมื่อทุกห้องที่มันเปิดเข้าไป ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายตู้หีบสมบัติถูกเปิดอ้า หยกงาม ทองคำ และเงินก้อนโตที่เคยเป็นภูเขาทรัพย์หายวับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ร่องรอยการกวาดล้างปรากฏทุกซอกมุม เหลือเพียงความว่างเปล่ากับความเย้ยหยันที่บีบคั้นหัวใจอันบิดเบี้ยวมันสั่นระริกทั้งร่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น หัวเราะปนสะอื้นเสียงแหบพร่า“ฮึ่กก… ฮือออ… มะ-ไม่… ไม่นะะะ… ทรัพย์… ซะ-สินของข้าาาาา… ทองคำของข้าาา! ฮ่ะ…ฮึ่กก!”หยาดน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูออกมานั้น มิใช่เพราะมันเสียใจที่ถูกเหล่าคนรับใช้ทอดทิ้ง แต่เป็นเพราะ เกราะกำบังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของมันทรัพย์สมบัติที่พ่อทิ้งไว้ถูกพรากไปจนสิ้นมันรู้ดีแก่ใจ ว่าที่ผ่านมาอำนาจและรัศมีที่มันอวดอ้างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเงาของบิดาผู้ล่วงลับ กับกำแพงทองคำที่ห้อมล้อมคุ้มครองมัน หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียง ซากพิการอัปลักษณ์ที่ไร้ค่า เดิ
ภายในห้องโถงที่เงียบสงัด แสงตะเกียงเพียงไม่กี่ดวงส่องให้เห็นเงาเรียงรายของผู้คนที่ยืนรอคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง มือสังหารนับร้อยในชุดดำสนิท ปิดบังใบหน้าแน่นหนา ราวกับเป็นเงามืดที่ไร้ตัวตน แต่ละคนแผ่รังสีอันตรายคล้ายคมดาบที่ซ่อนอยู่ในฝัก ทุกสายตาหันมาจับจ้องยังสตรีเพียงผู้เดียวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าหลานเยว่ เอนกายเล็กน้อยบนเก้าอี้ไม้ แววตาคมเรียบเฉยดั่งผืนน้ำแข็งที่ไร้คลื่นกระเพื่อม ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเพียงเสี้ยว ราวกับกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ต้องใส่ใจนัก ก่อนเสียงเย็นยะเยือกจะเอื้อนเอ่ยออกมา“สังหารสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในร่างคนพวกนั้นให้สิ้นซาก… และชิงเอาทรัพย์สินของมันมาให้หมด”น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งเสียจนชวนขนลุก คล้ายกับนางไม่ได้สั่งการล้างชีวิตผู้คนนับร้อย แต่เป็นเพียงการบอกให้คนของนางไปดูแลสวนหรือจัดการเรื่องบ้านเรือน ความเย็นชานี้เองทำให้ทุกคำยิ่งดังก้องและหนักหน่วงนางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยสายตาที่เฉียบคม “เหลือชีวิตไว้แต่เพียง…เจ้าง่อย และคนที่ไม่เกี่ยวข้อง”ถึงแม้นางจะสั่งฆ่าอย่างไร้ความปรานี แต่ก็ไม่มีวันเอ่ยคำให้พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ คำสั่งของหลานเยว่เด็ดขาด นางต้องการเพ







